ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เดินเกมกันเต็มสูบทีเดียว สำหรับผู้ชี้ขาดความเป็นไปทุกกระเบียดนิ้วของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งคงเป็นใครไม่ได้นอกเสียจาก นช.ทักษิณ ชินวัตร เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนก็ได้ออกมาโฟนอินปลุกระดมจัดทัพคนเสื้อแดง เพื่อให้เตรียมตัวเป็นกันชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นที่เรียบร้อย และล่าสุดก็ได้ออกมาส่งสัญญาณการเมืองด้วยการเสนอหน้าออกมาให้สัมภาษณ์สื่อที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
ทั้งนี้ เว็บไซต์สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า นช.ทักษิณ ได้กล่าวเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองไทยด้วยความเชื่อมั่นและฮึกเหิมเต็มสูบว่า ความขัดแย้งของคู่แข่งทางการเมืองในประเทศไทย จะสามารถหาทางปรองดองได้ในปีนี้ และหลีกเลี่ยงการปะทะกันอย่างรุนแรง เหมือนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของตนบริหารประเทศ มาได้ 7 เดือนกว่า มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ และตนเองยังมีความหวังต้องการกลับประเทศไทยในปีนี้
“น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำงานอย่างหนักเพื่อประชาชน มีความเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมาก สามารถทำงานร่วมกับกองทัพโดยไม่มีความขัดแย้ง ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีเสียงประชาชนราว 66 ล้านคนสนับสนุนให้แก้ไข เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยจะไม่ซ้ำรอยที่มีการต่อสู้บนท้องถนน เพราะมีความปรองดองมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่วนตัวไม่มีความต้องการที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่อยากจะเป็นเพียงที่ปรึกษาให้น้องสาว"
แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ เมื่อนักข่าวบลูมเบิร์กถามว่า จะยอมรับโทษในเรือนจำ เพื่อช่วยให้สถานการณ์บ้านเมืองสงบหรือไม่ นช.ทักษิณ ประกาศต้องอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ผมไม่ได้มีความผิดอะไร”
หรือหมายความว่า นช.ต้องการกลับประเทศไทยในปลายปี 2555 นี้ ในตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และที่สำคัญคือเป็นการกลับมาอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยอยู่เหนือกฎหมายและไม่ต้องติดคุก
ทั้งนี้ การที่นช.ทักษิณกล้าประกาศเช่นนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในอำนาจของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในฐานะเป็นเจ้าของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่สามารถกดรีโมตชี้นิ้วสั่งการไปทางไหนก็ได้
ขณะเดียวกันเมื่อจับประเด็นและสาระสำคัญแล้ว จำเลย ที่ นช.ทักษิณและบรรดาลิ่วล้อพรรคเพื่อไทยต้องการโฟกัสให้ชัดก็คือ “กระบวนการยุติธรรม” อันเป็นสาเหตุทั้งหมดทั้งปวง ที่ทำให้ทุกวันนี้ นช.ทักษิณ ต้องเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างแดน
ยิ่งล่าสุด เกมที่บรรดาลิ่วล้อพยายามเดินเกมก็คือ การรุกไล่ รื้อทิ้ง พยายามปรับโครงสร้างกระบวนการยุติธรรม ดังที่ เป็ดเหลิม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเสียยกใหญ่ว่า การมีศาลคู่ถือเป็นศาล ที่แตกแขนงออกไป น่าจะมีระบบตรวจสอบ แต่ก็ไม่ทราบว่าระบบตรวจสอบจะเป็นอย่าง ไร สมมติว่าศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองก็น่าจะมีระบบตรวจสอบ หากจะกลับไปใช้ศาลเดี่ยว ซึ่งคงไม่สามารถพูดชี้นำ ส.ส.ร.ได้ แต่ถ้าจะมีศาล ก็ควรมีระบบตรวจสอบ
“ไม่มีใครไม่เคารพศาล แต่เราไม่เคารพ คตส.ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติ อีกทั้ง คตส.ก็เป็นอริกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อเอาคนที่เป็นอริมาสอบสวนย่อมทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจ เมื่อศาลตัดสินคดีศาลก็ไม่มีทางเลือกอื่นส่วนจะมีอะไรที่จะลบล้างคำตัดสินของศาลได้นั้น ผมคิดว่าคดีได้ตัดสินไปแล้วก็จบ ไม่มีอะไร และไม่ขอตอบว่า พ.ร.บ.ปรองดองจะสามารถลบล้างคำตัดสินของศาลได้หรือไม่”ร.ต.อ.เฉลิมอธิบาย
ทั้ง นช.ทักษิณและเป็ดเหลิมพูดตรงกันเป๊ะว่า ต้องการรื้อศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง ซึ่งย่อมแน่นอนว่า ต้องกระทำผ่านการแก้รัฐธรรมนูญอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ขณะเดียวกัน จะว่าไปแล้วเกมการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ถือว่ายังดำเนินไปอีกยาว นั่นก็ถือเป็นไพ่หน้าแรกของบรรดาเดอะแก๊งลิ่วล้อชินวัตรซึ่งเดินเกมอีกทางเพื่อแผ้วทางช่วยนายใหญ่ให้กลับประเทศโดยไม่มีความผิดติดตัว แต่หากจับสังเกตช่วงนี้ให้ดีจะเห็นว่าบรรดาหัวขบวนออกมาเปิดเกมเล่นไพ่สองหน้าประเด็นปรองดอง อาทิ นช.ทักษิณ ก็ได้ออกมาพูดแบบชัดถ้อยชัดคำแล้วว่า ความขัดแย้งของคู่แข่งทางการเมืองในประเทศไทย จะสามารถหาทางปรองดองได้ในปีนี้
ไม่เว้นแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ดูเหมือนจะพุ่งเป้าที่ประเด็นการปรองดองเช่นกัน โดยขณะที่ได้เดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น อย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 6-10 มี.ค. ก็ยังกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายโยชิฮิโกะ โนดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยว่าสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยขณะนี้ เข้าสู่ภาวะปกติ และรัฐบาลกำลังเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ
หรือจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิมที่ออกมาเด้งรับลูกพี่ด้วยการเชลียร์จนขนหน้าแข้งติดลิ้นยาวเป็นกิโลฯ ว่า มีวิธีพา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับไทยภายในปีนี้ แต่ไม่ขอบอก วันนี้บ้านเมืองต้องการความปรองดอง ถึงเวลาที่บ้านเมืองต้องหันหน้าเข้าหากัน โดยขณะนี้ตนได้ยกร่างพระราชบัญญัติปรองดองเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน ต้องบอกว่าช่างบังเอิญแบบตลกร้ายเสียเหลือเกิน เมื่อฉับพลันทันที หลังจากที่บรรดาหัวขบวนส่งสัญญาณออกมาแล้ว “สถาบันพระปกเกล้า” ได้ออกข้อเสนอร้อนแรง ท้าทายสังคมไทย และที่ต้องขีดเส้นใต้ก็ น่าจะถูกใจ นช.ทักษิณ ชนิดที่ว่าพร้อมส่งดอกไม้ช่อโตไปขอบคุณเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าที่เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นประธาน เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมาในหัวข้อประเด็นการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ได้ถูกนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขานุการ กมธ.ปรองดอง นำมาขยายว่า ในส่วนการดำเนินดีกับผู้ถูกกล่าวหาจากการตรวจสอบของ คตส. มีข้อเสนอ 3 ทางเลือก คือ
ทางเลือกที่ 1 ให้ดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาด้วยกระบวนการยุติธรรมตามปกติโดยให้พิจารณาเฉพาะผลการพิจารณาของ คตส.สิ้นผลลง และโอนคดีทั้งหมดให้ ป.ป.ช.ดำเนินการใหม่ แต่ไม่กระทบถึงคดีที่ถึงที่สุดแล้ว
ทางเลือกที่ 2 ให้เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดยคตส.ทั้งหมด และให้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปกติ โดยให้ถือว่าคดีดังกล่าวไม่ขาดอายุความ
ทางเลือกที่ 3 ให้เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส.ทั้งหมด และไม่นำคดีที่อยู่ระหว่างกระบวนการและการตัดสินไปแล้วมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกใดจะต้องไม่มีการฟ้องร้อง คตส.ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดี ที่ต้องโฟกัสคงต้องเป็นข้อเสนอที่ 3 กล่าวคือคือเพิกถอนผลทางกฎหมายในคดีที่ดำเนินการโดยคตส. ทั้งหมด แล้วยังมีเงื่อนไขไม่นำคดีที่อยู่ระหว่างกระบวนการและการตัดสินไปแล้วมาพิจารณาใหม่อีกนั้น เท่ากับว่า คดีความต่างๆ ที่คตส.ดำเนินการมานั้นถูกล้มล้างไปทั้งหมด และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลมาจากการดำเนินการของ คตส. ถูกเพิกถอนให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
ที่สำคัญคือ ทางเลือกนี้ ทรัพย์สินที่ยึดไปจากพ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้าน ก็ให้คืนแก่เจ้าของ คดีความต่างๆ ที่ศาลตัดสินลงโทษจำคุกหรืออยู่ระหว่างการติดตามผู้ต้องหามาดำเนินคดี ก็ถูกล้างไปทั้งหมดเช่นกัน
ที่สำคัญคือทางเลือกนี้จะปูทางให้นช.ทักษิณ กลับประเทศอย่างสง่าผ่าเผย ทรัพย์สินที่ถูกยึดจะได้รับคืน คดีที่อยู่ในชั้นศาลฎีกาฯ จะถูกล้มล้างไปด้วย ตัวอย่างคดีที่ นช.ทักษิณ ตกเป็นผู้ต้องหาและจะถูกล้มล้างไป อาทิ คดีที่ดินรัชดาฯ ที่มีผลให้ต้องร่อนเร่อยู่ในต่างแดน คดีเอ็กซิมแบงก์ คดีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และคดีอื่นๆ ยาวติดตัวเป็นหางว่าว
...พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านี่เป็นข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้า หากใครอ่านเพียงผิวเผินคงจะพาลนึกไปว่าเป็นข้อเสนอของบรรดาลิ่วล้อนายใหญ่แห่งดูไบเป็นแน่แท้ เพราะเมื่อดูในรายละเอียดแต่ละข้อแล้ว คงไม่ต้องบอกว่าใครจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากข้อเสนอนี้ เพราะสรุปง่ายๆ คือ ล้มล้างคดีความที่ คตส.เคยทำการไต่สวน สอบสวนชี้มูลความผิด หรือฟ้องคดีทั้งหมด
และหากยิ่งพิจารณาจากข้ออื่นด้วยแล้วต้องบอกว่าเข้าทางพรรคเพื่อไทย นปช. ทักษิณและพวกทุกประเด็น ทั้งการจ่ายเงินเยียวยาม็อบป่วนเมือง การสร้างพิพิธภัณฑ์ยกย่อง การนิรโทษกรรมคดีความผิดทางการเมือง ที่สำคัญคือ การเพิกถอนผลทางกฎหมายในคดีที่ดำเนินการโดยคตส. ซึ่งเป็นปฐมเหตุให้ชะตาชีวิตของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผันเปลี่ยนกระทั่งกลายเป็นนักโทษหนีคดีจนทุกวันนี้
ถามว่า เพราะอะไร นช.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนไทยทุกคน โดยเมื่อต่อสู้ในชั้นศาลฎีกาฯ แล้ว ศาลพิพากษาว่ามีความผิดต้องติดคุก แต่กลับไม่ต้องเข้าคุก แถมจะยังได้รับโอกาสให้ขึ้นศาลอีกครั้งในยุคที่น้องสาวและตนเองได้กระชับอำนาจการเมืองเอาไว้หมดสิ้นแล้ว
นอกจากนี้แล้วไม่ใช่เพียง นช.ทักษิณ เท่านั้น ที่จะได้รับการนิรโทษกรรมตามทางเลือกที่ 3 แต่บรรดาพวกพ้องนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายวัฒนา เมืองสุข ที่ถูกกล่าวหาในโครงการบ้านเอื้ออาทร นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกกล่าวหาในคดีซีทีเอ็กซ์ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มชินคอร์ป รวมทั้งบรรดาข้าราชการที่รับใช้จนติดร่างแห ล้วนแล้วแต่จะพ้นบ่วงคดีทั้งหมดทั้งสิ้น
ดังนั้น คงต้องถามว่า นี่คือร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ที่ เป็ดเหลิม ประกาศนักหนาว่าร่างไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่
ข้อเสนอปรองดองเพื่อหวังสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมด้วยการโละคดีของคตส.ที่ซุกซ่อนเป้าหมายเพื่อให้ทักษิณและพวกพ้นผิดอย่างแยบยล เป็นอีกหนึ่งในเกมรุกที่มาทุกทิศทางของ นช.ทักษิณ ในเป้าหมายกลับมาเมืองไทยโดยไม่มีความผิดติดตัวอีกครั้ง