ศูนย์ข่าวเชียใหม่ - ผู้ว่าฯตากสั่งจ่ายทันที 5,000 บาท จนท.ป่าไม้-ชรบ.หลังจับได้รายแรกกะเหรี่ยงสัญชาติพม่าลอบเผาป่าในเขตป่าสงวนวอด ขณะที่เหยื่อหมอกควันป่วยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แพทย์เตือนออกจากบ้านควรคาดหน้ากาก ปิดปากปิดจมูก “วรวัจน์” ขึ้นเชียงใหม่นำขบวนรณรงค์แก้ปัญหาหมอกควันไฟป่า ระบุนายกฯสั่งทุกภาคส่วนเร่งแก้ให้เห็นผลใน 1 สัปดาห์และต้องส่งรายงานทุกวัน ขณะที่ค่าฝุ่นเชียงใหม่ทุบสถิติเกิน 200 ไมโครกรัมแล้ว
รายงานข่าวจากจังหวัดตากแจ้งว่า เมื่อวานนี้ (7 มี.ค.) นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้สั่งให้จ่ายเงินสินบนนำจับจำนวน 5,000 บาทให้แก่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่จับกุมนายอาหน่าย อายุ 20 ปี ชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า ที่บุกรุกจุดไฟเผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่สอดรอยต่อเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ เสียหายไปกว่า 1 ไร่ และหากไม่สามารถดับได้ทันจะทำให้ป่าไม้บริเวณดังกล่าวเสียหายมากกว่า 20 ไร่ ซึ่งการจับกุมผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่ารายนี้ถือเป็นรายแรก โดยจะได้มีการส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งมีโทษจำตั้งแต่ 2 ปี จนถึง 10 ปีและปรับตั้งแต่ 20,000- 100,000 บาท ตามฐานความผิดการเผาป่า
โดยก่อนหน้านี้นายสมควร พรมมา หัวหน้าหน่วยป้องกันปราบปรามและรักษาป่าไม้ที่ ตก.5 ห้วยไม้แป้น อ.แม่สอด จ.ตาก ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีแรงงานต่างด้าวลักลอบจุดไฟเผาป่าที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติแม่สอด หมู่ 10 บ้านปางวัว ต.มหาวัน อ.แม่สอด จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้และ ชรบ.รุดไปที่เกิดเหตุพบแรงงานต่างด้าวกำลังจุดไฟเผาป่าที่เชิงเขาท้ายหมู่บ้าน จึงไล่ติดตามจับกุมและสามารถจับกุมตัวได้ระหว่างที่พยายามจะหลบหนี
ทราบชื่อคือนายอาหน่าย อายุ 20 ปี เป็นชาวกะเหรี่ยง สัญชาติพม่า ไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือบัตรประจำตัวใดๆที่แสดงตัวให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวมาสอบสวน ทราบว่านายอาหน่ายเป็นแรงงานเถื่อนไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือบัตรอนุญาตให้อยู่ในประเทศเป็นการชั่วคราว และกำลังจะบุกรุกเผาป่าเพื่อทำไร่สวนพริกและมะเขือเทศ โดย จนท.สอบสวนทราบอีกว่านายอาหน่ายได้เคยจุดไฟเผาป่ามาแล้วหลายครั้ง
รายงานข่าวแจ้งว่า บริเวณดังกล่าวมีการบุกรุกป่าและลักลอบเผาทำไร่จำนวนมาก ซึ่งพบว่ามีพื้นที่ป่าไม้ถูกเผาไปแล้วมากกว่า 20 ไร่ สำหรับในการบุกรุกเผาป่ารายนี้ พื้นที่ถูกเผาไปแล้วกว่า 1 ไร่ และหากไม่สามารถดับทันป่าจะถูกเผามากกว่า 20 ไร่ ในพื้นที่ใก้ลเคียงระหว่างป่าสงวนแห่งชาติแม่สอดกับอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ
สำหรับบริเวณด้านหลังหมู่บ้านปางวัว เป็นหมู่บ้านสีแดง เป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มนายทุนชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง และมีอาวุธ สำหรับการบุกรุกป่าและลักลอบเผาทำไร่จำนวนมาก พบว่ามีพื้นที่ป่าไม้บริเวณใก้ลเคียง ถูกเผาไปแล้วนับ 100 ไร่ ส่วนแรงจูงใจในการเผาป่าเพื่อปลูกพืชเลื่อนลอย และเพื่อจับสัตว์ป่า เช่นไก่ป่า หมู่ป่า และอีเห็น ส่วนสัตว์ใหญ่เช่นกวาง และอื่นๆหมดจากป่านี้ไปนานแล้ว
**เหยื่อหมอกควันเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
รายงานข่าวจากจังหวัดตากแจ้งถึงสถานการณ์หมอกควันในหลายพื้นที่ของจังหวัดตากว่าขณะนี้ยังส่อเค้ารุนแรง และส่งผลกระทบกับประชาชนเป็นวงกว้างเพราะมีผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจและโรคตาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มากขึ้นกว่าเท่าตัว
นายแพทย์ปัจจุบัน เหมหงษา สาธารณสุขจังหวัดตาก ได้เตือนประชาชนว่าในช่วงนี้อย่าออกไปยืนในที่โล่งแจ้ง หากจำเป็นควรสวมหน้ากากนิรภัย โดยเฉพาะเด็กเล็กไม่ควรออกไปอย่างเด็ดขาดเพราะภูมิคุ้มกันโรคอ่อน ซึ่งการออกกำลังแม้จะเป็นผลดีแต่ช่วงนี้ควรงดเพราะในอากาศมีสิ่งแขวนลอยจำนวนมาก อาจจะเข้าสู่ร่างกายทำให้เจ็บป่วยได้
**“วรวัจน์”นำขบวนรณรงค์ “หยุดเผา”
ส่วนที่จังหวัดเชียงใหม่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์แก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและคุณภาพอากาศตามโครงการ NO BURN “หยุดเผาเพื่อลมหายใจ” ร่วมกับหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการเริ่มต้นปฏิบัติโครงการ รวมพลังร่วมแก้ปัญหาและเยียวยาผู้ประสบภัยจากวิกฤตหมอกควันด้วยพลังจิตอาสา ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนทั้ง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำขบวนรถและเดินรณรงค์ เริ่มจากบริเวณหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไปสิ้นสุดที่บริเวณลานประตูท่าแพ
นายวรวัจน์ ระบุว่า นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนให้เสร็จสิ้นภายใน 1 สัปดาห์ โดยการประชุมดังกล่าวได้สั่งการให้ตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบดำเนินการกวดขันจับกุมผู้ลักลอบทำการเผาป่าทุกพื้นที่ หากฝ่าฝืนมีโทษให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาทและได้ประสานกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วยองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล นำรถน้ำที่มีอยู่ช่วยออกมาฉีดล้างถนนและต้นไม้ทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้สร้างความชุ่มชื้นให้กับอากาศ ทำให้กลุ่มควันและฝุ่นละอองเกิดการจับตัวและจางหายลง
**ผู้ว่าฯเชียงใหม่ระดมฉีดน้ำวันที่ 2
ด้าน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ระดมกำลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันฉีดน้ำรอบคูเมืองทั้งสี่ด้านเป็นวันที่ 2 ต่อจากวานนี้ (7 มี.ค.) เพื่อสร้างความชุ่มชื้นในอากาศในพื้นที่รอบคูเมืองเชียงใหม่ โดย ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า ถือเป็นภารกิจที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สภาพอากาศโดยรวมดีขึ้น ซึ่งในขณะนี้หน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างก็ดำเนินงานในด้านต่างๆ กันอย่างแข็งขัน
ส่วนที่รัฐบาลระบุว่าหากพื้นที่จังหวัดใดไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หมอกควันไฟป่าได้จะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า การทำงานทุกอย่างล้วนแต่ต้องมีความรับผิดชอบทั้งสิ้น ซึ่งความรับผิดชอบก็ถือเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้ที่รับผิดชอบเกิดความตั้งใจในการทำงานด้วยเช่นกัน สำหรับตนไม่รู้สึกหนักใจในเรื่องดังกล่าว แต่ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องเร่งดำเนินการ รวมทั้งต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดให้ช่วยกันทำให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงให้ได้
**ค่าฝุ่นชม.ทุบสถิติเกิน200ไมโครกรัม
รายงานข่าวแจ้งว่า แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการออกทำกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ มากมาย เพื่อขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันแก้ไขและบรรเทาปัญหาหมอกควันและคุณภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฏว่า เกิดผลชัดเจนในการลดความรุนแรงของปัญหาลงแต่อย่างใด
โดยวานนี้ (7 มี.ค.) สภาพตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงถูกหมอกควันปกคลุมหนาทึบเช่นเดิม และดูจะมากกว่าช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา โดยสถานการณ์หมอกควันไฟป่าวานนี้ (7 มี.ค.) พบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ของจังหวัดเชียงใหม่ได้เพิ่มสูงจนเกินระดับ 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรไปแล้ว
โดยเวลา 16.00 น.ที่สถานีตรวจวัดอากาศศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ วัดค่า PM10 ได้ที่ 202.86 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ที่ 136 ส่วนที่สถานีตรวจวัดรงเรียนยุพราชวิทยาลัย วัดค่า PM10 ได้ 150.40 และวัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศได้ที่ 113 ซึ่งค่า PM10 ที่ตรวจวัดได้เมื่อวานนี้ ถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมากอีกด้วย
ขณะที่กรมควบคุมมลพิษ ได้สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และ จ.ลำพูน วานนี้ (7 มี.ค.) ว่า พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมโครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 47-268.1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ขณะที่ดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ไปจนถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ
รายงานข่าวจากจังหวัดตากแจ้งว่า เมื่อวานนี้ (7 มี.ค.) นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้สั่งให้จ่ายเงินสินบนนำจับจำนวน 5,000 บาทให้แก่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่จับกุมนายอาหน่าย อายุ 20 ปี ชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า ที่บุกรุกจุดไฟเผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่สอดรอยต่อเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ เสียหายไปกว่า 1 ไร่ และหากไม่สามารถดับได้ทันจะทำให้ป่าไม้บริเวณดังกล่าวเสียหายมากกว่า 20 ไร่ ซึ่งการจับกุมผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่ารายนี้ถือเป็นรายแรก โดยจะได้มีการส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งมีโทษจำตั้งแต่ 2 ปี จนถึง 10 ปีและปรับตั้งแต่ 20,000- 100,000 บาท ตามฐานความผิดการเผาป่า
โดยก่อนหน้านี้นายสมควร พรมมา หัวหน้าหน่วยป้องกันปราบปรามและรักษาป่าไม้ที่ ตก.5 ห้วยไม้แป้น อ.แม่สอด จ.ตาก ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีแรงงานต่างด้าวลักลอบจุดไฟเผาป่าที่บริเวณป่าสงวนแห่งชาติแม่สอด หมู่ 10 บ้านปางวัว ต.มหาวัน อ.แม่สอด จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้และ ชรบ.รุดไปที่เกิดเหตุพบแรงงานต่างด้าวกำลังจุดไฟเผาป่าที่เชิงเขาท้ายหมู่บ้าน จึงไล่ติดตามจับกุมและสามารถจับกุมตัวได้ระหว่างที่พยายามจะหลบหนี
ทราบชื่อคือนายอาหน่าย อายุ 20 ปี เป็นชาวกะเหรี่ยง สัญชาติพม่า ไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือบัตรประจำตัวใดๆที่แสดงตัวให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวมาสอบสวน ทราบว่านายอาหน่ายเป็นแรงงานเถื่อนไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือบัตรอนุญาตให้อยู่ในประเทศเป็นการชั่วคราว และกำลังจะบุกรุกเผาป่าเพื่อทำไร่สวนพริกและมะเขือเทศ โดย จนท.สอบสวนทราบอีกว่านายอาหน่ายได้เคยจุดไฟเผาป่ามาแล้วหลายครั้ง
รายงานข่าวแจ้งว่า บริเวณดังกล่าวมีการบุกรุกป่าและลักลอบเผาทำไร่จำนวนมาก ซึ่งพบว่ามีพื้นที่ป่าไม้ถูกเผาไปแล้วมากกว่า 20 ไร่ สำหรับในการบุกรุกเผาป่ารายนี้ พื้นที่ถูกเผาไปแล้วกว่า 1 ไร่ และหากไม่สามารถดับทันป่าจะถูกเผามากกว่า 20 ไร่ ในพื้นที่ใก้ลเคียงระหว่างป่าสงวนแห่งชาติแม่สอดกับอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ
สำหรับบริเวณด้านหลังหมู่บ้านปางวัว เป็นหมู่บ้านสีแดง เป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มนายทุนชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง และมีอาวุธ สำหรับการบุกรุกป่าและลักลอบเผาทำไร่จำนวนมาก พบว่ามีพื้นที่ป่าไม้บริเวณใก้ลเคียง ถูกเผาไปแล้วนับ 100 ไร่ ส่วนแรงจูงใจในการเผาป่าเพื่อปลูกพืชเลื่อนลอย และเพื่อจับสัตว์ป่า เช่นไก่ป่า หมู่ป่า และอีเห็น ส่วนสัตว์ใหญ่เช่นกวาง และอื่นๆหมดจากป่านี้ไปนานแล้ว
**เหยื่อหมอกควันเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
รายงานข่าวจากจังหวัดตากแจ้งถึงสถานการณ์หมอกควันในหลายพื้นที่ของจังหวัดตากว่าขณะนี้ยังส่อเค้ารุนแรง และส่งผลกระทบกับประชาชนเป็นวงกว้างเพราะมีผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจและโรคตาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มากขึ้นกว่าเท่าตัว
นายแพทย์ปัจจุบัน เหมหงษา สาธารณสุขจังหวัดตาก ได้เตือนประชาชนว่าในช่วงนี้อย่าออกไปยืนในที่โล่งแจ้ง หากจำเป็นควรสวมหน้ากากนิรภัย โดยเฉพาะเด็กเล็กไม่ควรออกไปอย่างเด็ดขาดเพราะภูมิคุ้มกันโรคอ่อน ซึ่งการออกกำลังแม้จะเป็นผลดีแต่ช่วงนี้ควรงดเพราะในอากาศมีสิ่งแขวนลอยจำนวนมาก อาจจะเข้าสู่ร่างกายทำให้เจ็บป่วยได้
**“วรวัจน์”นำขบวนรณรงค์ “หยุดเผา”
ส่วนที่จังหวัดเชียงใหม่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์แก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและคุณภาพอากาศตามโครงการ NO BURN “หยุดเผาเพื่อลมหายใจ” ร่วมกับหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการเริ่มต้นปฏิบัติโครงการ รวมพลังร่วมแก้ปัญหาและเยียวยาผู้ประสบภัยจากวิกฤตหมอกควันด้วยพลังจิตอาสา ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนทั้ง 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำขบวนรถและเดินรณรงค์ เริ่มจากบริเวณหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไปสิ้นสุดที่บริเวณลานประตูท่าแพ
นายวรวัจน์ ระบุว่า นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนให้เสร็จสิ้นภายใน 1 สัปดาห์ โดยการประชุมดังกล่าวได้สั่งการให้ตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบดำเนินการกวดขันจับกุมผู้ลักลอบทำการเผาป่าทุกพื้นที่ หากฝ่าฝืนมีโทษให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาทและได้ประสานกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วยองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล นำรถน้ำที่มีอยู่ช่วยออกมาฉีดล้างถนนและต้นไม้ทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้สร้างความชุ่มชื้นให้กับอากาศ ทำให้กลุ่มควันและฝุ่นละอองเกิดการจับตัวและจางหายลง
**ผู้ว่าฯเชียงใหม่ระดมฉีดน้ำวันที่ 2
ด้าน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ระดมกำลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันฉีดน้ำรอบคูเมืองทั้งสี่ด้านเป็นวันที่ 2 ต่อจากวานนี้ (7 มี.ค.) เพื่อสร้างความชุ่มชื้นในอากาศในพื้นที่รอบคูเมืองเชียงใหม่ โดย ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า ถือเป็นภารกิจที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สภาพอากาศโดยรวมดีขึ้น ซึ่งในขณะนี้หน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างก็ดำเนินงานในด้านต่างๆ กันอย่างแข็งขัน
ส่วนที่รัฐบาลระบุว่าหากพื้นที่จังหวัดใดไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หมอกควันไฟป่าได้จะถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า การทำงานทุกอย่างล้วนแต่ต้องมีความรับผิดชอบทั้งสิ้น ซึ่งความรับผิดชอบก็ถือเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้ที่รับผิดชอบเกิดความตั้งใจในการทำงานด้วยเช่นกัน สำหรับตนไม่รู้สึกหนักใจในเรื่องดังกล่าว แต่ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องเร่งดำเนินการ รวมทั้งต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดให้ช่วยกันทำให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงให้ได้
**ค่าฝุ่นชม.ทุบสถิติเกิน200ไมโครกรัม
รายงานข่าวแจ้งว่า แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการออกทำกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ มากมาย เพื่อขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันแก้ไขและบรรเทาปัญหาหมอกควันและคุณภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฏว่า เกิดผลชัดเจนในการลดความรุนแรงของปัญหาลงแต่อย่างใด
โดยวานนี้ (7 มี.ค.) สภาพตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงถูกหมอกควันปกคลุมหนาทึบเช่นเดิม และดูจะมากกว่าช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา โดยสถานการณ์หมอกควันไฟป่าวานนี้ (7 มี.ค.) พบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ของจังหวัดเชียงใหม่ได้เพิ่มสูงจนเกินระดับ 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรไปแล้ว
โดยเวลา 16.00 น.ที่สถานีตรวจวัดอากาศศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ วัดค่า PM10 ได้ที่ 202.86 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ที่ 136 ส่วนที่สถานีตรวจวัดรงเรียนยุพราชวิทยาลัย วัดค่า PM10 ได้ 150.40 และวัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศได้ที่ 113 ซึ่งค่า PM10 ที่ตรวจวัดได้เมื่อวานนี้ ถือว่าเป็นสถิติที่สูงที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมากอีกด้วย
ขณะที่กรมควบคุมมลพิษ ได้สรุปสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และ จ.ลำพูน วานนี้ (7 มี.ค.) ว่า พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมโครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 47-268.1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ขณะที่ดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ไปจนถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ