xs
xsm
sm
md
lg

8จว.เหนือสำลักควันยอดผู้ป่วยพุ่งไม่หยุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ทุกจังหวัดภาคเหนือตอนบนเจอวิกฤตหมอกควันหนัก พบฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศเฉลี่ย 24 ชั่วโมงที่กว๊านพะเยาสูงสุดเกือบถึง 300 ไมโครกรัม/ลบ.ม.แล้ว ขณะที่ยอดผู้ป่วยพุ่งไม่หยุด ผอ.โรงพยาบาลพะเยา เผยพบผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่ม 74% คนเป็นภูมิแพ้เพิ่ม 73% ด้านสถานการณ์หมอกควันที่ตาก ที่รับจากไฟไหม้ป่าพม่าส่งผลกระทบราษฎรฝั่งไทยหนักขึ้น จนสายการบินเอกชน “นกแอร์”ยังบินเข้าแม่สอดไม่ได้ แผนส่ง ฮ.บินดูจุดเกิดไฟป่า ยังต้องระงับชั่วคราว

กรมควบคุมมลพิษได้รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ผ่านเว็บไซต์ (http://aqmthai.com/) วานนี้ (27 ก.พ.)ว่า พบปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 26.7-295.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม.เมตร คุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับดีถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ จ.เชียงราย พะเยา ลำปาง น่าน ลำพูน แพร่ แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ พบฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานและอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ

โดยค่าเฉลี่ยระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เช้าวานนี้ (27 ก.พ.) ที่ จ.พะเยา สูงที่สุดในประเทศ สถานีตรวจวัดอุทยานการเรียนรู้กว๊านพะเยา วัดได้สูงถึง 278.71 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

รองลงมือคือ จ.เชียงราย ที่ประสบปัญหาฝุ่นละอองในอากาศเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยที่สถานีตรวจวัดเชียงราย วัดค่าได้ถึง 249.88 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

ส่วนที่ จ.ลำปาง ถือเป็นพื้นที่ที่มีระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงอันดับต้น ๆ ของประเทศอีกครั้ง ซึ่งสถานีตรวจวัดโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าสี อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง วัดค่าได้ถึง 199.08 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ,สถานีสำนักงานการประปาส่วนภูมิภาคแม่เมาะ วัดได้ 162.17 ไมโครกรัมฝลบ.ม. ,ส่วนสถานีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสบป้าด วัดได้ 171.29 ไมโครกรัมฝลบ.ม. ,สถานีศาลหลักเมือง วัดได้ 173.21 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

ขณะที่ จ.น่าน เป็นอีกพื้นที่ที่มีปัญหา โดยที่สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเทศบาลเมืองน่าน วัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก ได้ถึง 198.46 ไมโครกรัม/ลบ.ม., ที่ จ.ลำพูน สถานีตรวจวัดสนามกีฬา อบจ.ลำพูน วัดได้188.71 ไมโครกรัม/ลบ.ม.,ที่ จ.แพร่ สถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดแพร่วัดได้ 167.42 ส่วนที่ จ.แม่ฮ่องสอน ปรากฏว่า ขณะนี้ระดับฝุ่นละอองก็เพิ่มขึ้นสูงถึง 159.42 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

สำหรับ จ.เชียงใหม่ ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่ง ที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศเกินค่ามาตรฐาน 120 ไมโครกรัม/ลบ.ม.อย่างต่อเนื่อง โดยมีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง จนถึงเช้าวานนี้(27 ก.พ.) ณ สถานีศาลากลางเชียงใหม่ อยู่ที่ 125.33 ไมโครกรัม/ลบ.ม. และโรงเรียนยุพราช กลางเมืองเชียงใหม่ วัดได้ 138.67 ไมโครกรัม/ลบ.ม. อย่างไรก็ตาม ล่าสุดระดับฝุ่นละอองในอากาศใน จ.เชียงใหม่ เริ่มลดระดับความรุนแรงลงบ้าง แต่ก็ยังเกินค่ามาตรฐาน

ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษ ยังคงประกาศขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการลดและควบคุมการเผาในที่โล่งอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการงดการเผาริมทาง งดการเผาในพื้นที่ป่าและไฟป่า รวมถึงขอความร่วมมือจากประชาชนงดเผาขยะ เศษวัสดุการเกษตร และกิ่งไม้ใบหญ้า เป็นต้น เพื่อลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้น

**ชายแดนแม่สอดยังอยู่ใต้หมอกควัน

รายงานข่าวจาก อ.แม่สอด จ.ตาก แจ้งว่า จนถึงวานนี้ (27 ก.พ.) พื้นที่ชายแดนแม่สอด ยังคงถูกปกคลุมด้วยหมอกควันไฟป่า รุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันแล้ว ทั้งยังไม่วี่แววว่าจะคลี่คลายลง ไฟป่าและการจุดไฟเผาที่ดินเพื่อทำการเกษตรของเกษตรกร บวกกับไฟป่าฝั่งพม่า ทำให้ทัศนะวิสัยต่ำ มองเห็นได้ระยะใกล้ รวมทั้งสร้างผลกระทบกับชาวบ้านฝั่งไทย

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสังเกตการณ์บริเวณด่านสะพานมิตรภาพไทย-พม่า อ.แม่สอด จ.ตาก ตรงข้ามจังหวัดเมียวดี ของประเทศพม่า พบว่า จากปัญหาหมอกควันในพม่าส่งผลให้ท้องฟ้าสลัว และในเวลากลางคืนจะมองเห็นไฟไหม้ป่าในหลายพื้นที่เป็นบริเวณกว้างหลายพื้นที่ เนื่องจากเกษตรกรพม่าเผาตอซังข้าวและซังข้าวโพด ซึ่งมีปลูกกันมาก แล้วลุกลามเข้าเขตป่าไม้สัก ซึ่งมีปลูกมากบริเวณนั้น โดยสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจาก ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด

และจากสภาพทัศนวิสัยการมองเห็นลดต่ำลง ทำให้เฮลิคอปเตอร์ของทหารไม่สามารถขึ้นบินสำรวจพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกเผาได้ จากเดิมที่ทหาร-ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มีกำหนดขึ้น ฮ.บินสำรวจเพื่อดูจุดที่เกิดไฟป่าเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ตามที่นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้ประสานกับกองกำลังนเรศวรเพื่อจัดเจ้าหน้าที่ขึ้น ฮ.บินสำรวจป่าตามแนวชายแดน ก่อนที่จะส่งกำลังเจ้าหน้าที่ไปดับ แต่ไม่สามารถขึ้นบินได้ เนื่องจากมีหมอกควันปกคลุมหนาแน่น เกือบถึงระดับเกินมาตรฐาน

ขณะที่สายการบินนกแอร์ที่เคยบินจากสนามบินนครแม่สอด-สนามบินสุวรรณภูมิ ต้องหยุดบินติดต่อกันเป็นวันที่ 4 นักบินไม่สามารถนำเครื่องลงจอดได้ จนต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการแจ้งให้ไปขึ้นเครื่องที่สนามบินจังหวัดพิษณุโลก จนกว่าสถานการณ์หมอกควันจะบรรเทาเบาบางลง แต่คาดว่าภายใน 2-3 วันนี้อากาศจะไม่เปิดเพราะยังคงมีไฟป่าลุกลามทั้งไทย-พม่า

**ผู้ว่าฯเชียงใหม่ขึ้นเครื่องบินดูทำฝนเทียม

วันเดียวกันที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางไปยังท่าอากาศยานกองบิน 41 จ.เชียงใหม่ เพื่อขึ้นเครื่องบินติดตามดูการปฏิบัติการทำฝนเทียมของของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ที่เริ่มปฏิบัติการเป็นวันแรก โดยการดำเนินการทำฝนเทียมของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือในครั้งนี้ถือเป็นมาตรการหนึ่งในการบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในพื้นที่ภาคเหนือในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงได้ตัดสินใจดำเนินการทำฝนเทียมให้เร็วขึ้น หลังจากปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอนและดัชนีคุณภาพอากาศของหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือเพิ่มสูงเกินกว่าค่ามาตรฐาน

ม.ล.ปนัดดา กล่าวก่อนขึ้นเครื่องบินเพื่อติดตามดูการทำฝนเทียมในครั้งนี้ว่า การทำฝนเทียมที่ จ.เชียงใหม่ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในพื้นที่ภาคเหนือ โดยตั้งเป้าเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากหมอกควันที่ปกคลุมหนาแน่นในพื้นที่ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าการดำเนินการในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยให้สถานการณ์หมอกควันไฟป่าที่เกิดขึ้นบรรเทาความรุนแรงลงได้

**คนพะเยาป่วยโรคทางเดินหายใจทะลัก74%

ด้านนายแพทย์เธียรชัย คฤหโยธิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพะเยา เปิดเผยถึงสถิติผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ที่รับผลกระทบจากปัญหาหมอกควันที่ส่งผลกระทบรุนแรงในพื้นที่จังหวัดพะเยา ว่า จากรายงานสถิติผู้ป่วยของโรงพยาบาลพะเยา ตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ. - 25 ก.พ.55 ที่ผ่านมาพบว่า มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง จาก 4 กลุ่มโรคหลัก คือ ผู้ป่วยกลุ่มโรคตาอักเสบ จากเดิมจำนวน 52 ราย เพิ่มขึ้น 68 ราย หรือคิดเป็น17%, กลุ่มโรคหลอดเลือดและหัวใจจากเดิม 945 ราย เพิ่มขึ้น 1,212 ราย หรือคิดเป็น 28%, กลุ่มโรคทางเดินหายใจทุกชนิด จากเดิม 449 รายเพิ่มขึ้น 789 ราย หรือคิดเป็น 74% และกลุ่มภูมิแพ้ จากเดิมจำนวน 83 รายเพิ่มขึ้น 144 หรือคิดเป็น 73%

นายแพทย์เธียรชัย บอกอีกว่า ช่วงนี้ขอให้ประชาชนงดออกกำลังกายในที่โล่งแจ้ง และหากจำเป็นต้องเดินทางออกนอกบ้านต้องหาหน้ากากอนามัยสวมใส่ โดยขณะนี้ทางโรงพยาบาลพะเยาได้นำหน้ากากอนามัยออกแจกจ่ายประชาชนเพื่อป้องกันหมอกควัน ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่แล้ว

**คร.เผยหมอกควันพ่นพิษป่วยพุ่งหลายเท่าตัว

ทางด้าน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์หมอกควันใน 8 จังหวัด ภาคเหนือว่า ได้รับรายงานในพื้นที่ จ.ลำพูน และพะเยา พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองและโรคตาอักเสบเพิ่มสูงขึ้น โดยโรคถุงลมโป่งพอง จ.ลำพูน มีอัตราป่วยเพิ่มจาก 112 ต่อแสนประชากรเป็น 172 ต่อแสนประชากร จ.พะเยา เพิ่มจากอัตราต่ำกว่า 100 ต่อแสนประชากรเป็น 323 ต่อแสนประชากร และโรคตาอักเสบ จ.ลำพูน อัตราป่วยเพิ่มจาก 534 ต่อแสนประชากรเป็น 823 ต่อแสนประชากร ส่วน จ.พะเยา เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 16 ต่อแสนประชากรเป็น 112 ต่อแสนประชากร

นอกจากนี้ โรคอื่นๆ เช่น โรคหัวใจทุกชนิดมีอัตราป่วยเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน ส่วนที่ จ.ลำปาง เนื่องจากเป็นระยะแรกของการประสบปัญหาหมอกควันจึงยังไม่มีรายงานผู้ป่วยเพิ่ม คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะมีรายงานอัตราป่วยเพิ่มขึ้นอีก โดยปริมาณหมอกควันที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่ที่ 200 ไมโครกรัมต่อคิวบิกเมตรขึ้นไป

นพ.พรเทพ กล่าวด้วยว่า นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบเป็นนโยบายให้โรงพยาบาลทุกแห่งในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน สำรองเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง ปอดบวม หัวใจ เบาหวาน ความดัน ซึ่งจะมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน.
กำลังโหลดความคิดเห็น