xs
xsm
sm
md
lg

หมอกควันภาคเหนือวิกฤต ชม.แตะ200ไมโครกรัม/ลบ.ม. สั่งควบคุมเข้มการเผาทุกชนิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สภาพอากาศที่จังหวัดเชียงใหม่ วิกฤตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมควบคุมมลพิษ ได้รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ ซึ่งผลการตรวจวัดที่ จ.เชียงใหม่ พบว่าเมื่อเวลา 10.00 น.วานนี้ (26 ก.พ.) ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กบริเวณสถานีตรวจวัดโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย กลางเมืองเชียงใหม่ สูงถึง 176.54 ไมโครกรัม/ลบ.ม.แล้ว
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - สภาพอากาศภาคเหนือวิกฤตหนักขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดพบระดับฝุ่นละอองกลางเมืองเชียงใหม่ใกล้ถึง 200 ไมโครกรัม/ลบ.ม.แล้ว ขณะที่เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง และลำพูน อ่วมกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะกว๊านพะเยา พบปริมาณ PM10 พุ่งสูงสุดถึง 237.46 ไมโครกรัม/ลบ.ม.แล้ว สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งควบคุมการเผาทุกชนิดที่เป็นการเพิ่มควันอย่างเข้มงวด ด้าน "อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ" คาดอีกประมาณ 2 วัน สถานการณ์ฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือจะดีขึ้น จากอิทธิพลของพายุโซนร้อน

กรมควบคุมมลพิษ ได้รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือว่า ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 76.2 - 237.46 ไมโครกรัม/ลบ.ม. คุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งผลการตรวจวัดจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือตอนบน มีระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เกินค่ามาตรฐาน 120 ไมโครกรัม/ลบ.ม.ทั้งสิ้น โดยที่ จ.เชียงใหม่ พบว่า เมื่อเวลา 10.00 น.วานนี้ (26 ก.พ.) ระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กบริเวณสถานีตรวจวัดโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย กลางเมืองเชียงใหม่ สูงถึง 176.54 ไมโครกรัม/ลบ.ม.แล้ว ขณะที่บริเวณศาลากลางเชียงใหม่ วัดได้ 100.55 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

ส่วน จ.พะเยา มีระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เฉลี่ย 24 ชั่วโมง สูงที่สุดในประเทศ โดยสถานีตรวจวัดที่อุทยานการเรียนรู้กว๊านพะเยา วัดได้ถึง 237.46 ไมโครกรัม/ลบ.ม. รองลงมาคือจังหวัดแพร่ สถานีอุตุนิยมวิทยา จ.แพร่ วัดค่าได้ 233.17 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

ขณะที่ จ.ลำปาง ก็ยังคงมีระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศมากกว่า 200 ไมโครกรัม/ลบ.ม.ต่อเนื่อง โดยสถานีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าสี อ.แม่เมาะ วัดได้ 206.96 ไมโครกรัม/ลบ.ม. , สถานีการประปาภูมิภาคแม่เมาะ วัดได้ 210.21 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ส่วนที่ศาลหลักเมืองลำปาง วัดค่าได้ 173.21 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

เช่นเดียวกับที่ จ.ลำพูน ที่ยังคงเป็นพื้นที่ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควันต่อเนื่องอีก โดยล่าสุดผลการตรวจวัดระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กเฉลี่ย 24 ชั่วโมง จนถึงวันเสาร์ที่ 25 ก.พ.55 มีมากถึง 180.42 ไมโครกรัม/ลบ.ม. และที่สถานีเทศบาลเมืองน่าน ก็วัดได้เกินมาตรฐาน คือ 151.71 ไมโครกรัม/ลบ.ม. รวมถึงเชียงราย ที่หนีไม่พ้นปัญหานี้ด้วยเช่นกัน โดยพบว่า ระดับฝุ่นละออง ยังคงอยู่สูงถึง 151.67 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

กรมควบคุมมลพิษ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการลดและควบคุมการเผาในที่โล่งอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการงดการเผาริมทาง งดการเผาในพื้นที่ป่าและไฟป่า รวมถึงขอความร่วมมือจากประชาชนงดเผาขยะ เศษวัสดุการเกษตร และกิ่งไม้ใบหญ้า เป็นต้น เพื่อลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์หมอกควันที่เกิดขึ้น

ผู้ว่าฯตากสั่ง อปท.ระดมฉีดน้ำขึ้นฟ้า

นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวถึงสภาพอากาศในพื้นที่ 5 อำเภอชายแดน อ.แม่สอด-พบพระ แม่ระมาด ท่าสองยาง และ อ.อุ้มผางว่า ได้เกิดหมอกควันค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะใน 5 อำเภอที่มีเขตติดต่อกับประเทศพม่า สร้างผลกระทบหลายด้าน ทั้งการคมนาคม เช่นเครื่องบินลงจอดสนามบินไม่ได้-การเดินทางโดยรถยนต์ต้องเพิ่มความระมัดระวัง ต้องเปิดไฟหน้า เพราะมองไม่ค่อยเห็น ฯลฯ ซึ่งเบื้องต้นได้ประสานกับกองกำลังนเรศวร ให้ทหารเข้าตรวจสอบพื้นที่หากพบการเผาในพื้นที่ก็ให้เร่งดับเป็นการด่วน พร้อมกับประสานรถน้ำดับเพลิงจากทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ทุกพื้นที่ที่มีหมอกควันให้ใช้รถน้ำดับเพลิงระดมพ่นฉีดน้ำในอากาศ เพิ่มความชื้น และการใช้สเปรย์น้ำฉีดขึ้นอากาศ เพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควันให้บรรเทาเบาลง

“หมอกควันที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นการเผาป่าและพื้นที่ทำการเกษตรในฝั่งประเทศพม่า ที่ช่วงนี้มีการเผาไร่จำนวนมาก ควันจึงลอยข้ามมาฝั่งไทย ซึ่งก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ แต่ก็ได้ให้นายอำเภอประสานขอความร่วมมือไปแล้ว ในส่วนของการทำฝนเทียมนั้นได้ประสานกับสำนักฝนหลวง เพื่อทำฝนเทียม แต่จากการบินสำรวจพื้นที่ทราบว่าความชื้นสัมพัทธ์ยังไม่เพียงพอจึงยังไม่สามารถโปรยสารเคมีได้ คาดว่าน่าจะเริ่มทำฝนเทียมได้ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้” ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าว

หมอกควันคลุ้งทำ“พังโม่ตาลา”ทรุด

รายงานข่าวจาก จ.ลำปาง แจ้งว่า สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในขณะนี้คือช่วงกลางคืนและตอนเช้าอากาศจะกลับมาหนาวเย็น ส่วนช่วงกลางวันอากาศจะร้อนและยังปกคลุมไปด้วยหมอกควันจำนวนมากด้วย ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนแล้ว ช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ก็เริ่มได้รับผลกระทบ โดยพังโม่ตาลา วัย 51ปี ซึ่งอยู่ในการดูแลของมูลนิธิเพื่อนช้าง ได้เกิดอาการอ้าปากค้าง ย่อตัวนั่งและล้มลงนอน โดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อ 25 ก.พ.55 ที่ผ่านมา

ซึ่งสัตวแพทย์ได้เร่งตรวจอาการจึงพบว่าการเปลี่ยนแปลงของอากาศส่งผลให้ช้างเกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย และเกิดอาการเจ็บท้องจนทรุดตัวลง สัตว์แพทย์จึงได้ฉีดยากระตุ้นระบบทางเดินอาหาร และฉีดยาบำรุง ก่อนที่จะนำมะขามเปียกผสมเกลือเม็ดให้โม่ตาลากิน เพื่อช่วยในการย่อยและขับถ่าย

ทั้งนี้ หลังจากที่พังโม่ตาลา ได้รับยากระตุ้นและกินมะขามเปียกไปเกือบสองชั่วโมงก็ได้ขับถ่ายเอาก้อนอาหารออกมา ก้อนแรกมีน้ำหนักถึง 8 กิโลกรัม หลังจากนั้นได้ขับถ่ายอุจจาระออกมาอีกสองก้อน มีน้ำหนักครั้งละเกือบสองกิโลกรัม ทำให้อาการปวดท้องเริ่มดีขึ้น แต่สัตวแพทย์ก็ยังคงให้มะขามเปียกและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดเนื่องจากอาการท้องอืดหากไม่รักษาโดยเร็วช้างอาจจะล้มได้เนื่องจากเศษอาหารที่ติดอยู่ในกระเพาะจำนวนมากไม่ย่อย นอกจากให้มะขาเปียกแล้วยังต้องพาช้างเดินออกกำลังกายไปพร้อมๆกันด้วย

อธิบดีฯคาดอีก2วันสถานการณ์จะดีขึ้น

ด้านนายวิจารณ์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศช่วงเช้าวานนี้ (26 ก.พ.) ทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ มีค่าตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐาน โดยสูงสุดอยู่ที่จังหวัดลำปาง ค่า 279 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาอยู่ที่จังหวัดลำพูน ค่า 275 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จึงประสานไปยังผู้ว่าราชการ 8 จังหวัดภาคเหนือให้ตรวจหาจุดที่มีการเผาไหม้จากภาพถ่ายดาวเทียม พบว่า มีทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจหาจุดเผาไหม้ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมาพบว่า ลดลงเหลือประมาณ 980 จุด จากประมาณ 2,000 จุด ทั่วทั้งภูมิภาคอินโดจีน โดยเชื่อว่า อีก 2 วัน สถานการณ์ฝุ่นละอองน่าจะดีขึ้น เนื่องจาก กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า จะมีพายุโซนร้อน ทำให้มีฝนตกกระจายในหลายพื้นที่

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวอีกว่า ยังต้องจับตาสภาพปัญหาฝุ่นละอองอย่างใกล้ชิด เพราะหลายพื้นที่ยังมีการเผาไหม้เศษวัสดุทางการเกษตร แม้ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะพยายามทำความเข้าใจกับเกษตรกร แต่เมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวย ก็ไม่อาจห้ามประชาชนบางส่วนได้ ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 28 - 29 ก.พ.นี้ จะประชุมกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง ที่ประเทศเวียดนาม เพื่อหารือการแก้ปัญหาการเผาไหม้ในภูมิภาค ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องขอความร่วมมือระหว่างประเทศ พร้อมกันนี้ ยังเตือนเด็ก สตรีมีครรภ์ คนชรา และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายช่วงเช้าที่มีปัญหาหมอกควันหนาแน่น และใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละออง โดยสามารถติดตามสถานการณ์ได้ที่เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ
กำลังโหลดความคิดเห็น