xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กลิ่นเหล้า “เป็ดเหลิม” หรือจะกลบกลิ่นคาว “นกแก้ว” ที่สวรรค์ชั้น 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-แม้วันนี้กลิ่นคาวปูจะดูจางหายกลิ่น “คละคลุ้ง” ไปจากชั้น 7 โรงแรมสี่ฤดูหรูหรา อันเนื่องมาจากถูกกลบด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ที่โชยตลบอบอวลไปทั่วรัฐสภาอันทรงเกียรติ เมื่อคืนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เมื่อเป็ดเหลิม “ลุงขี้เมา” ออกลายตำรวจเก่า “เมารัก” พาลหาเรื่องประท้วง จนถูก ส.ส.หญิง แฉผ่านกล้องทีวีไปทั่วประเทศว่า “เหลิมเมา” (อีกแล้ว) เอิ๊ก!

แม้กรณีดังกล่าวจะกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศจนดูเหมือนจะกลบข่าวคาวปูจนมิด แต่เชื่อเถอะว่า เมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์จางหาย กลิ่นคาวปูก็จะกลับมาส่งกลิ่นคละคลุ้งอีก เพราะในเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังไม่ออกมาเปิดปากบอกความจริงต่อสังคมให้ละเอียดชัดเจนด้วยตัวของเธอเอง พร้อมนำกล้องวงจรปิดมาเปิดให้สาธารณชนได้ดู เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของ “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย” ว่าเธอเอาเวลาประชุมสภาไปทำอะไร กับใคร อย่างไร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์

แต่น่าแปลกที่เธอกลับตอบเรื่องนี้ผ่าน “เฟซบุ๊ก” ด้วยถ้อยคำที่วนเวียน “ซ้ำซาก” ยาวเหยียด แต่ไม่ช่วยให้สังคมเกิดความกระจ่างแต่อย่างใด และที่สำคัญ นี่มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วหรือ?

เพราะการที่ “นายกฯยิ่งลักษณ์” ใช้วิธีเขียน “เฟซบุ๊ก” ชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นการสื่อสารทางเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ซักถามถึงเรื่องราวและรายละเอียดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ผ่านมานักข่าวถามเธอก็ไม่ชี้แจง สภาถามเธอก็ไม่ตอบ พอคนเขาจินตนาการและโจษขานไปทั้งเมืองอันเนื่องมาจากพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ เธอก็หาว่า “รังแกผู้หญิง” โถ...! มีนายกฯประเทศไหนเขาแก้มลทินตัวเองผ่านเฟซบุ๊ก!?

ขณะเดียวกัน ยิ่งเธอมีพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ หลบเลี่ยงที่จะตอบความจริงที่เกิดขึ้นอยู่อย่างนี้ สังคมยิ่งอยากรู้ความจริงว่า เธอซุกซ่อนอะไรไว้ที่ชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เธอ “อม” ความลับอะไรมาจากที่แห่งนั้นจึงไม่อาจเปิดปากตอบคำถามที่มัน “เคลียร์” ให้ประชาชนเขาคลายความสงสัยว่า “นายกฯหญิงคนแรก” ของพวกเขาไปทำสวรรค์วิมานอะไร กับใคร อย่างไร ถึงบนชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เธอคงไม่คิดนะว่าเรื่องนี้มันจะถูกกลบและจบง่ายๆ เพราะพฤติกรรมน่าอับอายของ “ขี้เมา” คนเดียว ?

และถ้าเป็นไปได้โปรดใช้สติปัญญาและวิจารณญาณ (ถ้าหากยังพอมีอยู่บ้าง) ว่านี่เป็นเรื่องของการตรวจสอบจริยธรรมของ "ผู้นำ" และถ้าหากเธอยังพอมีสำนึกต่อประชาชนหลงเหลืออยู่บ้าง ก็ขอให้หยุดหลบเลี่ยงการตรวจสอบ หยุดชักแม่น้ำทั้งห้า หยุดเล่นลิ้นตลบตะแลง แล้วนำกล้องวงจรปิดมาเปิดเผยให้สาธารณชนได้เห็นกันทั้งประเทศว่า “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประทศไทย” ไปทำอะไร กับใคร และผู้ใดเป็นคนจองห้อง ? ถึงเวลาที่ต้องให้ "หลักฐาน" กับ "พยานในที่เกิดเหตุ" ได้พูดบ้าง เพราะประชาชนเขาอยากรู้และอยากเห็นกับตา ว่านายกฯ หญิงคนแรกของเขาไปกับใคร เดินเข้าห้องไหน ระหว่างห้องพักกับห้องประชุม ?

และขอร้องว่า “อย่าดัดจริต” บอกว่าไม่ถนัดเล่นการเมือง เพราะคนเป็นนายกฯ คือคนที่เสนอตัวเข้ามาสู่วงการเมือง เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นถึงนายกรัฐมนตรีอย่ามาทำเป็นไม่ประสีประสา อย่ามาทำเป็น “แอ๊บแบ๊ว” เพราะเห็นได้ชัดว่าทุกถ้อยคำในเฟซบุ๊กที่เธอร่ายออกมา มันคือลีลาทางการเมืองล้วนๆ !

ที่สำคัญที่สุด คือ อย่าทำตัวเป็น “อีแอบ” เอาความเป็นเพศหญิงมาเป็นเกราะป้องกัน “บังหน้า” ใช้มารยาหญิง “ออดอ้อนออเซาะ” ขอความเห็นใจ เบี่ยงเบนประเด็น อาศัยความเป็นเพศหญิงของตัวเองเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปกป้องตัวเองจากการตรวจสอบ และอย่าเที่ยวกล่าวหาคนอื่นที่วิพากษ์วิจารณ์ "นายกรัฐมนตรี" ว่าเป็นพวกข่มเหงรังแกเพศหญิง

เพราะเธอกำลังอ้างความเป็น “ผู้หญิง” เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองอย่างชัดเจน เอาเพศหญิงมาบังหน้า เพื่อปิดบังอำพรางการกระทำของตนเองมิให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกตรวจสอบ เพราะถ้าเธอไม่เสแสร้งแกล้งโง่ เธอก็ต้องรู้ดีว่า ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นเพศหญิงหรือชาย แต่สาระสำคัญอยู่ที่ตำแหน่ง “นายกฯ” คือ ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ความสุจริต โปร่งใส และสามารถตอบข้อข้องใจของสาธารณชนได้อย่างกระจ่างชัด ไม่ใช่เอะอะอะไรก็อ้างว่า “รังแกผู้หญิง”

อย่างไรก็ตาม การที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยนำ “ความเป็นหญิง” มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เอาความเป็นเพศหญิงมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ ทำให้มีกลุ่ม "ผู้หญิง" และคนทำงานด้านสิทธิสตรี นักวิชาการ จำนวนเกือบสองร้อยคน ร่วมกันลงชื่อท้ายจดหมายเปิดผนึก ว่าด้วยเรื่องการใช้ "ความเป็นหญิง" เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยโจทย์ใหญ่ที่มีการระบุไว้ในจดหมายเปิดผนึกว่า "...การอ้างความเป็นหญิงด้วยเจตนาหลีกเลี่ยงตอบข้อซักถาม เบี่ยงเบน บิดเบือนประเด็นข้อเท็จจริง และอาจถึงกับปกปิดความผิดพลาดอันเนื่องจากความไม่เดียงสา ไร้ประสบการณ์ ด้อยประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคมประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นการทำให้สถานภาพสตรีไทยประสบภาวะ ‘ถอยหลังเข้าคลอง’ อย่างยิ่ง..."

ทั้งนี้ ในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ อย่างเช่น

"การเรียกร้องโอกาส การกล่าวอ้างทวงสิทธิ์ ทวงเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้หญิงให้เป็นที่ยอมรับ สมควรกระทำอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้หญิงถูกเลือกปฏิบัติ หรือกีดกันจากกฎหมาย สังคม การเมืองและวัฒนธรรม แต่มิใช่และไม่สมควรกระทำเพื่อเรียกร้องความเห็นใจต่อความประพฤติส่วนตัวที่ มิได้เกี่ยวกับการถูกกีดกันใดๆ หรือที่ร้ายยิ่งกว่านี้ ก็คือ สร้างสิทธิพิเศษหลีกหนีหน้าที่อันพึงปฏิบัติต่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และตรวจสอบ ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 30 ระบุไว้ชัดเจนว่า หญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมกับชาย นั่นย่อมหมายความว่า นายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นเพศใด เมื่อไม่เข้าประชุมสภา ก็ต้องชี้แจงสาเหตุอย่างตรงไปตรงมา นายกรัฐมนตรีไม่มีสิทธิ์กล่าวอ้างว่าเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี หรือสาเหตุอื่นใดในอันที่จะไม่ชี้แจงการไม่เข้าประชุมสภา"

หรือที่น่าคิดยิ่งว่า...

"การนำ ‘ความเป็นหญิง’ มาใช้เป็นเหตุผลอย่าง ‘เอาสีข้างเข้าถู’ ในการบริหารบ้านเมืองและตอบข้อซักถามของสังคมเช่นนี้ นอกจากไม่สมควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่ลูกผู้หญิงคนใด ทำให้ประชากรหญิงซึ่งรวมถึงผู้นำสตรีในทุกวงการ เศรษฐกิจ การศึกษา การเมืองและวัฒนธรรม ต้องพลอยเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ที่บรรพบุรุษสตรีไทยได้สะสมสร้างมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยังอาจนำสังคมประเทศชาติไปสู่วิธีคิด ที่เบี่ยงเบนและเดินผิดทางจนอาจหายนะได้ในที่สุด"

การนำ “ความเป็นหญิง” มาใช้เป็นเหตุผลในกรณีต่างๆ อย่างผิดกาลเทศะ โดย “นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย” จะเป็นการสร้างมาตรฐานที่ผิดๆ สร้างเหตุที่ในทางกฎหมายเรียกว่า “บรรทัดฐาน” ไปในทิศทางที่เบี่ยงเบนและผิดเจตนารมณ์ของหลักการความเท่าเทียมทางเพศ ที่ประชาคมโลกยึดถือกันเป็นสากล...

สุดท้าย, ถ้าหาก “นายกฯยิ่งลักษณ์” บริสุทธิ์ใจจริง ก็ควรออกมาอธิบายพร้อมเอา “กล้องวงจรปิด” มาเปิดให้ประชาชนคลายความสงสัยว่า “นายกฯหญิงคนแรก” ของเขาใช้เวลาราชการและทิ้งหน้าที่การประชุมสภา ไปปฏิบัติภารกิจอะไร กับใคร อย่างไร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ หากมีความมั่นใจว่าภารกิจลับ “ว.5ชั้น7” ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่ได้ไปทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามจริงๆ “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร เอา “กล้องวงจรปิด” มาเปิดพร้อมกับคำชี้แจงแถลงไขให้มันชัดเจนไปเลย

เพราะความจริงมันอยู่ในนั้น!

ไม่ต้องเสียเวลาให้ใครไปนั่งเทียนเขียนเฟซบุ๊ก
ไม่มีประโยชน์ที่จะให้พวก “ขี้ข้า” ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ออกมาตอบแทน
ไม่มีประโยชน์ที่จะให้เป็ดเหลิม “ลุงขี้เมา” ออกมากล่าวอ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไป

ประชุมร่วมกับบุคคลอีก 7-8 คน อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะมันไม่มีความน่าเชื่อถือว่า “เป็ดเหลิม” แกพูดตอนเมาเหล้า หรือเมารัก... เอิ๊ก!
กำลังโหลดความคิดเห็น