ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คงต้องยอมรับกันว่า การชุมนุมใหญ่ของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่ “โบนันซ่ารีสอร์ท” เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมาภายใต้ชื่อ “การหยุดรัฐประหารเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ” นั้น “ทรงพลัง” และสำแดงถึง “ความยิ่งใหญ่” ให้สังคมได้ประจักษ์ถึงแสนยานุภาพในกองทัพส่วนตัวของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” อย่างมีนัยสำคัญทางการเมืองชนิดไม่อาจกระพริบตา
สื่อบางสำนักได้รายงานตัวเลขของกลุ่มคนเสื้อแดงจากทั่วทุกสารทิศซึ่งมาร่วมตัวกันที่โบนันซ่ารีสอร์ทของเสี่ยไพวงษ์ เตชะณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่ามีจำนวนถึงเรือนแสนเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ตัวเลขกองทัพแดงดังกล่าวคือประจักษ์พยานซึ่งยืนยันถึงมวลชนที่มีจริงและจับต้องได้ของคนเสื้อแดง
ยิ่งการสำแดงแสนยานุภาพดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังขับเคลื่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นที่ชัดเจนว่า การชุมนุมครั้งนี้จึงไม่ต่างอะไรจากการประกาศให้รับรู้ว่า พวกเขาคือกองทัพประชาชนที่พร้อมจะต่อสู้เพื่อ นช.ทักษิณในทุกรูปแบบและวิธีการ พวกเขาคือกองทัพประชาชนที่พร้อมจะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยพร้อมจะชนกับทุกคนที่เสนอหน้าคัดค้าน
ประกอบกับเมื่อวิเคราะห์ถ้อยคำในการวิดีโอลิงก์จากดูไบ ของ นช.ทักษิณก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความวุ่นวายทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทยได้เป็นอย่างดี เพราะในค่ำคืนวันนั้น นช.ทักษิณได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า แท้ที่จริงแล้วเขาคือนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศไทย มิใช่ผู้เป็นน้องสาว และเป้าหมายสูงสุดของเขาก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตนเองโดยไม่ยอมรับคำตัดสินและกระบวนการยุติธรรมของไทย
เป็นรัฐธรรมนูญของรัฐไทยใหม่ที่สถาปนาขึ้นเพื่อ นช.ทักษิณเป็นการเฉพาะ
**เจ้ามูลเมืองบัญชาทัพเรดการ์ดรุกแก้รธน.
ความจริงประการหนึ่งที่สังคมไทยควรจะต้องรับรู้ก็คือ ไม่ต้องไปถามว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและกลุ่มคนเสื้อแดงกำลังวางแผนที่จะทำอะไรกับแผ่นดินไทย
เนื่องเพราะคำตอบย่อมมิใช่การไปแสวงหาความจริงจากนางสาวยิ่งลักษณ์
หากแต่คือการจับตาความเคลื่อนไหวภายใต้คำบัญชาการของ นช.ทักษิณ เพราะเหตุการณ์หลายครั้งหลายคราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาคือนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศไทย มิใช่โคลนนิงผู้น้อง
ด้วยเหตุดังกล่าว การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา และคำประกาศต่อหน้าสาวกของ นช.ทักษิณจึงมีนัยสำคัญยิ่ง เพราะนั่นคือ Red Map ซึ่งทำให้เห็นทิศทางการขับเคลื่อนทางการเมืองของ นช.ทักษิณที่จะมีต่อราชอาณาจักรไทยได้อย่างหมดเปลือก
คำพูดตลอดเวลาเกือบ 30 นาทีในคืนนั้นชัดเจนในตัวเองว่า นช.ทักษิณมีอิทธิพลครอบงำรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และมวลชนคนเสื้อแดงมากน้อยเพียงใด
นช.ทักษิณประกาศชัดเจนว่า อีกไม่นานเขาจะกลับประเทศไทย
“บอกให้รู้ว่าดูไบนี้คิดถึงพี่น้องมาก แล้วก็ยิ่งเห็นการต่อสู้ยิ่งเห็นน้ำใจของพี่น้องแล้วมันมีความรู้สึกว่า อยากกลับไปรับใช้ อยากกลับไปช่วย อยากกลับทำให้พี่น้องมีความสุขทุกคน ผมคิดว่าไม่นานหรอกครับ บอกได้เลยว่ามันกินใจผมลึกมาก”
คำถามก็คือ นช.ทักษิณมั่นใจได้อย่างไรว่าจะสามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ในเร็ววันนี้โดยที่ไม่ต้องติดคุกติดตะราง
แน่นอน หนทางเดียวที่จะทำให้เป็นเช่นนั้นได้ก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะยังไม่มีรายละเอียดว่าออกมาจากฟากรัฐบาลจะแก้มาตราไหน หมวดใดบ้าง แต่ก็พอจะจับสัญญาณได้ไม่ยากเย็นนักจากคำให้สัมภาษณ์ของบริวารแวดล้อมที่โยนหินถามทางออกมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขมาตรา 309 เพื่อลบล้างความผิดให้ นช.ทักษิณ ตลอดรวมถึงคำให้สัมภาษณ์ของนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่เสนอให้ยุบองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ฯลฯ พร้อมขับไล่ ป.ป.ช. แล ก.ก.ต.ชุดปัจจุบันให้พ้นไปจากตำแหน่ง ซึ่งแม้จะมีการพลิกลิ้นในภายหลังแต่ก็ทำให้สังคมรู้ซึ้งถึงเจตนาที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม นช.ทักษิณย่อมรู้ดีว่า หนทางที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะกระแสคัดค้านของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณก็ทรงพลังชนิดไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน ดังนั้น นช.ทักษิณจึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นอาวุธในการต่อสู้กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเหมือนเมื่อครั้งเหตุการณ์ชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง
และด้วยเหตุดังกล่าว การเช็กกำลังรบของกองทัพแดงจึงมีความจำเป็น ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของการจัดชุมนุมใหญ่ที่โบนันซ่ารีสอร์ทภายใต้ชื่อ “การหยุดรัฐประหารเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ”
ทั้งนี้ นช.ทักษิณได้วางยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนทางการเมืองเอาไว้อย่างแยบยล ทั้งการหว่านสารพัดโครงการประชานิยมเพื่อวาดฝันให้กับคนเสื้อแดง การสั่งการให้เร่งช่วยเหลือและเยียวยาคนเสื้อแดงที่สู้ตายถวายหัวให้กับตนเอง และปิดท้ายด้วยการตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์
กล่าวสำหรับการตกเขียวซื้อใจคนเสื้อแดงนั้น นช.ทักษิณประกาศชัดเจนว่า รัฐบาลภายใต้การชี้นำของเขาคลอดสารพัดโครงการประชานิยม และประกาศชัดเจนว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไปบ้านเมืองจะดีขึ้น การขับเคลื่อน แก้ปัญหาต่างๆ จะดีขึ้น
โครงการขายฝันโครงการแรกก็คือ การสร้างรถไฟความเร็วสูงที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีนมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท โดยจะลงมือก่อสร้างในปลายปี 2555 นี้ใน 2 เส้นทางคือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่และกรุงเทพฯ-นครราชสีมา
โครงการขายฝันโครงการที่สองคือ โครงการสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลเพื่อไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือแบบจีทูจีจากรัฐบาลจีเช่นเดียวกับโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูง และใช้เวลาในการก่อสร้าง 3 ปีครึ่ง
โครงการขายฝันโครงการที่สามคือโครงการแจกแท็บเล็ตให้เด็กนักเรียน ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์นอกจากจะแจกให้กับเด็กชั้น ป.1 จำนวน 800,000 ตัวแล้ว ยังจะขยายไปแจกให้กับเด็กชั้น ม.1 อีก 800,000 เครื่อง โดย นช.ทักษิณคุยโวโอ้อวดว่าจะทำให้เด็กไทยฉลาดขึ้น
จากนั้นนายใหญ่แห่งดูไบก็ฉลาดเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงกองกำลังส่วนตัวนี้เอาไว้ด้วยการออกคำสั่งให้ “ประธาน นปช. และแกนนำทั้งหลายทั้งที่มีตำแหน่งและไม่มีตำแหน่ง ได้ช่วยดูแล รวบรวมกันมาเอาเรื่องราว เอกสารทั้งหมดส่งราชการเพื่อเยียวยาพี่น้องคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ ใน 3 เดือน เพราะทิ้งไว้นานเกินไป ส่วนผู้ติดคุกให้เร่งดำเนินการประกันตัว”
นี่คือการแก้เกมเรื่องเงินเยียวยา 7.75 ล้านที่กำลังถูกตั้งคำถามจากคนเสื้อแดงว่า ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงไม่เร่งรีบดำเนินการทั้งๆ ที่มีอำนาจเต็มมืออยู่ในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากชักแม่น้ำทั้ง 5 โฆษณาชวนเชื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นช.ทักษิณก็วกกลับมาที่หัวใจสำคัญที่ต้องการประกาศต่อคนเสื้อแดง นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
“วันนี้พวกเรายังไม่หมดภารกิจนะครับ จนกว่าเราจะได้ประชาธิปไตยคืนมา วันนี้ได้มาส่วนหนึ่งแล้วคือการให้ไปเลือก ส.ส.ร. เพราฉะนั้นเราจะต้องช่วยกันดูแลเอาคนที่มีหัวใจประชาธิปไตยจริงๆ มาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยครับ ถ้าหัวใจไม่เป็นประชาธิปไตย มาร่างยังไงมันก็ไม่เป็นประชาธิปไตย....วันนี้รัฐธรรมนูญเราต้องยอมรับวา มันไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่มีการเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้อำนาจประชาชนไว้ต่ำมากนะครับ คนเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากประชาชนทั้งประเทศแต่ปรากฏว่าต้องมาตกอยู่ภายใต้การพิจารณาของคนไม่กี่คน ซึ่งไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนเลย เล่นพวกก็ได้ ไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้”
“เพราะฉะนั้น วันนี้มันต้องเป็นระบบที่มีการถ่วงดุลอย่างดีนะครับ ซึ่งเรื่องของประชาธิปไตยนี้ ผมได้ทราบมาว่า คุณจตุพรพูดที่สภาเมื่อคืนนี้ พูดได้ดีมากนะครับ ก็ขอชื่นชม วัฒนา เมืองสุขก็พูดได้ดี เรื่องของเหตุการณ์ที่ทำไมต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะว่าเนื่องจากว่า การไม่เป็นประชาธิปไตย การไม่มีความยุติธรรม การที่ผู้รักษากติกาขาดความยุติธรรมก็ทำให้บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย แล้วก็มีเรื่องเหตุการณ์บาดหมาง ทะเลาะเบาะแว้งแตกแยกกัน ก็เพราะความไม่มียุติธรรมนั่นเองนะครับ ถ้าทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองอย่างยุติธรรมนะครับ ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นกลาง บ้านเมืองจะไม่เป็นอย่างนี้ บ้านเมืองเป็นอย่างนี้เพราะหลายฝ่ายได้เลือกข้าง โดยไม่คำนึงถึงกติกาที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เรามั่นใจว่าถ้าเป็นของประชาชนทุกอย่างจะเป็นกติกาที่เป็นกลางและเป็นธรรม บ้านเมืองจะได้กลับสู่ภาวะปกติ”นช.ประกาศเจตจำนงที่ชัดเจนว่าต้องการแก้รัฐธรรมนูญและอยู่เบื้องหลังการแก้รัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงก็ประกาศพร้อมตอบสนองคำสั่งของ นช.ทักษิณอย่างเต็มอัตราศึกเช่นกัน ดังคำประกาศของ “สหายปูน-นางธิดา ถาวรเศรษฐ” ประธาน นปช.ที่เพิ่งรับตำแหน่งอย่างสดๆ ร้อนๆ ว่า “คนเสื้อแดงยังไม่เสร็จภารกิจ ต้องต่อสู้ต่อไป ขอให้คนเสื้อแดงสามัคคีกันไว้”
หรือดังที่ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” ว่าที่รัฐมนตรีของคนเสื้อแดงที่ นช.ทักษิณอุปโลกน์หยอดคำหวานให้ประกาศชัดเจนว่า “เรายังมีภาระในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนบรรลุผล เพราะเชื่อว่าระหว่างทางยังมีขวากหนามอยู่ คนเสื้อแดงก็มาแสดงสัญลักษณ์ของความพร้อมว่าถ้ามีอำนาจหรือกลไกใดนอกระบอบประชาธิปไตยที่จะกระทำการโค่นล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนเสื้อแดงก็พร้อมจะต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐบาลนี้ และระบอบประชาธิปไตย”
พร้อมกันนั้นก็ได้มีการเปิดตัวหัวหมู่ทะลวงฟันของคนเสื้อแดงด้วยการประกาศตัวกรรมการกลางของ นปช.ให้ได้เห็นหน้ากันอย่างจะๆ ว่า มีใครคุมกำลังในภาคส่วนไหนของประเทศไทยบ้าง ซึ่งประกอบไปด้วย....
นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ เป็นรองประธาน นปช.พื้นที่ กทม.และปริมณฑล
นายนิสิต สินธุไพร เป็นรองประธาน นปช.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นายพายัพ ปั้นเกตุ เป็นรองประธาน นปช.ภาคกลาง
นายสมหวัง อัสราศี เจ้าของบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ามิตซูชิต้า เป็นรองประธาน นปช.ภาคตะวันตก
นายไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เป็นรองประธาน นปช.ภาคเหนือ
นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท เป็นรองประธาน นปช.ภาคใต้
และนายวรชัย เหมะ เป็นรองประธาน นปช.ภาคตะวันออก
นี่คือการจัดทัพเรดการ์ดเพื่อเตรียมตัวรองรับปฏิบัติการขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญฉบับรัฐไทยใหม่ ซึ่งเชื่อได้ว่า ในอีกไม่ช้า เหตุการณ์จะถึงจุดแตกหักและเกิดสงครามกลางเมืองอันเป็นผลมาจากความเหิมเกริมของระบอบทักษิณอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
**ลอกคราบรธน.รัฐไทยใหม่ แผนยึดประเทศ-ล้มศาล-ฟอกผิดแม้ว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สำคัญยิ่งที่สังคมจะต้องจับตาอย่างใกล้ชิดก็คือ แล้วหน้าตาของรัฐธรรมนูญฉบับไทยใหม่นั้น นช.ทักษิณมีความมุ่งมาดปรารถนาให้มีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร
และในที่สุดทุกอย่างก็คลี่คลาย เพราะมีการเปิดหน้าออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเจตนาของรัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' น้องสาวสุดที่รักของ นช.ทักษิณที่กระเหี้ยนกระหือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยแอบอ้างว่าทำเพื่อปฏิรูปการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยนั้น แท้จริงแล้วนอกจากจะต้องการทำเพื่อฟอกผิดให้แก่นักโทษหนีคดีแห่งดูไบแล้ว ยังต้องการยึดอำนาจทั้งในฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และอำนาจตุลาการไว้ในมือทั้งหมด ต้องการล้มองค์อิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง
เจตนาดังกล่าวฉายชัดจากท่าทีของพรรคเพื่อไทย และ นปช.ซึ่งที่ผ่านมาเคยเสนอให้มีการยกเลิก มาตรา 309 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองการกระทำใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) ปี 2549 ซึ่งเป็นฉบับของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ( คมช.) ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ซึ่งแปลง่ายๆ ก็คือการยกเลิกผลพวงทุกสิ่งอย่างที่เกิดจากการดำเนินการของ คมช.อันจะส่งผลให้การทำงานของคณะกรรมการการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ในคดีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นอันต้องถูก 'โละทิ้ง' ทั้งหมด
นั่นก็คือการ 'ฟอกผิด' ให้ทักษิณนั่นเอง !!
เป็นเจตนาที่ฉายชัดจากท่าทีของ “นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์” แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ที่เสนอให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งตุลาการ !!
เป็นเจตนาที่ฉายชัดจากคำพูดของ “นายวัฒนา เมืองสุข” ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งกรรมาธิการ (กมธ.)พิจารณาร่างแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้เสนอความเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะเหลือองค์กรอิสระเท่าที่จำเป็น ควรยุบศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง แล้วเปลี่ยนเป็นแผนกหนึ่งในศาลฎีกา !!
“ จุดอ่อนของรัฐธรรมนูญปี 2550 มีหลายประการ เช่น 1.ดุลยภาพแห่งอำนาจไม่สมดุล ฝ่ายตุลาการตรวจสอบไม่ได้ทำให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง 2.องค์กรอิสระขาดการตรวจสอบ กว่าครึ่งถูกสรรหาโดยประธานองค์กรอิสระ 3.การเข้าสู่อำนาจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญไม่สัมพันธ์กับอำนาจที่มา ทั้งนี้การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรจะเหลือองค์กรอิสระเท่าที่จำเป็นอาทิ ศาลรัฐธรรมนูญกับศาลปกครอง สามารถให้ศาลฎีกาเปิดแผนกขึ้นมาแทนได้ เวลามีคดีก็ส่งไปที่แผนกนั้นๆ แล้วคัดผู้พิพากษาศาลฎีกาขึ้นมารับผิดชอบ หรือศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งก็ยังไม่จำเป็นต้องมี เพราะไม่ได้มีคดีเกิดขึ้นทุกวัน เช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ สามารถใช้แผนกของศาลฎีกาได้ ส่วนองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หากรัฐธรรมนูญเขียนวิธีการสรรหาใหม่ ก็ต้องสรรหาใหม่ แต่ถ้ามีสปิริตควรจะลาออกไปก่อน ไม่ควรจะนั่งอยู่แล้ว ” นายวัฒนา ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2555
แน่นอนว่า แนวคิดในยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อลิดรอนและยึดอำนาจตุลาการนั้นย่อมถูกคัดค้านอย่างหนักทั้งจากภาคประชาชน นักวิชาการ พรรคร่วมฝ่ายค้าน และบรรดาตุลาการของศาล รวมถึงองค์อรอิสระต่างๆ ซึ่งในส่วนของภาคประชาชนนั้นก็ได้มีการเคลื่อนไหวจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสยามสามัคคีซึ่งนัดชุมนุมที่สวนลุมพินีเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ได้นัดประชุมแกนนำทั่วประเทศเพื่อกำหนดท่าทีในวันที่ 10 มี.ค.นี้
ขณะที่ท่าทีของฝ่ายตุลาการนั้นปรากฏว่ามีมีหลายองค์ออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน โดย นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกมาตอกกลับนายวัฒนาที่เสนอให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง โดยให้ไปเป็นแผนกหนึ่งในศาลฎีกาว่า การตั้งศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญปี 40ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าดีที่สุดในโลก และเรียกร้องให้เอารัฐธรรมนูญฉบับนี้คืนมา
“อยากถามกลับไปว่าการตั้งศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับไหน ฉบับปี 40 ใช่หรือไม่ ก็ไหนชื่นชมกันนักว่ารัฐธรรมนูญ 40 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในโลก และเรียกร้องให้เอารัฐธรรมนูญ 40 คืนมา แต่ถ้าจะยุบศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ก็แสดงว่ารัฐธรรมนูญ 40 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาล มันแย่มาก ใช้ไม่ได้โดยสิ้นเชิงใช่หรือไม่ หรือว่าที่จะยุบเลิกศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเพราะคนที่มีอำนาจตัดสินไม่ใช่พวกฉัน”
“จะให้ไปเป็นแผนกหนึ่งในศาลฎีกา ไม่มีปัญหาเลย แต่ไปถามว่าศาลฎีกาก่อนทำไหวหรือไม่ เพราะขนาดแยกมาเป็นศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาก็ยังมีคดีค้างอยู่ประมาณ 40,000 คดี ลองไปถามดูว่าคดีที่ค้างนานที่สุดเป็นคดีของปีไหน แล้วยังจะรับไหวอีกหรือ อีกทั้งโครงสร้างมันก็คนละอย่าง ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ผู้พิพากษา ตุลาการ เป็นข้าราชการประจำ แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ และที่บอกว่าองค์กรตุลาการถูกตรวจสอบไม่ได้นั้น ก็ไม่จริง เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเคารพ ด้วยความสุจริต สามารถทำได้อยู่แล้ว ยิ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่มีบทบัญญัติเรื่องละเมิดอำนาจศาล ด่าก็ยังได้ ถ้าตุลาการเห็นว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทก็นำความจริงไปสู่กันในศาลได้ ” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ แสดงความเห็นต่อข้อเสนที่ให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง
เช่นเดียวกับศาลปกครองที่ถึงขั้นลุกขึ้นมาตั้งโต๊ะแถลงตอบได้นายวัฒนาเลยทีเดียว โดย นายไพโรจน์ มินเด็น โฆษกศาลปกครอง ระบุว่า การแกไขรัฐธรรมนูญนั้นสามารถทำได้แต่ประเด็นสำคัญคือ จะต้องบอกที่มาที่ไปว่าเจตนารมณ์ในการแก้ไขเพื่อแก้ปัญหาใด และหากจะแก้ไขเกี่ยวกับศาลปกครอง ก็ต้องชี้แจงให้ชัดว่าศาลปกครองมีปัญหาอะไร และแก้รัฐธรรมนูญแล้วจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร ส่วนที่มองว่าปริมาณคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครอง มีจำนวนน้อย จึงควรยุบรวมเป็นแผนกในศาลฎีกา ก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากปัจจุบันคดีที่เข้าสู่ศาลฯ มีปริมาณมาก ปีละ 6-7 พันคดี ซึ่งตลอดเวลา 11 ปี ของการมีศาลปกครอง ก็ได้พิจารณาคดีแล้วเสร็จไปกว่า 7 หมื่นคดี และทุกวันนี้ก็ยังมีคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลอย่างต่อเนื่อง
“หากจะมองว่าองค์กรศาลถูกตรวจสอบไม่ได้ ก็เห็นว่าไม่จริง โดยเฉพาะศาลปกครอง เรามีกระบวนการตรวจสอบมาก เนื่องจากการทำงานเป็นรูปขององค์คณะตุลาการ แต่ละคนตรวจสอบกันเองอยู่แล้ว เวลาวินิจฉัยคดี และการวินิจฉัยคดีของแต่ละองค์คณะ ก็จะถูกถ่วงดุลโดยตุลาการผู้แถลงคดี เมื่อศาลปกครองกลางมีคำวินิจฉัย หากผู้ฟ้องคดี หรือผู้ถูกฟ้องไม่เห็นด้วย ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ อีกทั้งคำพิพากษา ก็ลงในราชกิจจานุเบกษา สามารถให้ประชาชนเข้าตรวจสอบ และวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงวิชาการได้ ขณะที่ในส่วนตัวของตุลาการ ก็จะมีคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง หรือ กศป. ซึ่งมีวุฒิสภาร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการให้อยู่ในจริยธรรม ดูแลในเรื่องวินัยต่างๆ ประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่ยุติธรรม ยังต้องอยู่ใต้ประมวลกฎหมายอาญา หมวดว่าด้วยความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ยุติธรรม มาตรา 201 และ 202 ซึ่งจะมีโทษสูงกว่าข้าราชการปกติ ถ้าจะยุบเลิกโดยมาจากเหตุผลนี้ หรือจะแก้ไขในเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งของตุลาการ ก็ต้องไม่ให้องค์กรใด หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้ามาแทรกแซงการทำงานตุลาการได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะทำให้ระบบยุติธรรมเสียหาย ความยุติธรรมไม่เกิดแน่นอน”นายไพโรจน์อธิบายให้เห็นภาพอย่างชัดเจน
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าองค์กรยุติธรรมที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องการจะยุบทิ้งนั้นล้วนแต่เป็นองค์กรที่ผลงานในการพิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดกับนักการเมืองที่มีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ 'พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร'
โดยผลงานของศาลรัฐธรรมนูญ ได้แก่ 1) คดีแสดงบัญชีทรัพย์สินฯอันเป็นเท็จของ พ.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งศาลตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี 2) คดียุบพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2550 เพราะมีการทุจริตในการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ที่เรียกว่ากรณีบ้านเลขที่ 111 และ 3) คดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อปี 2551 เนื่องจากมีการทุจริตในการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลให้นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ 5 ปี เป็นจำนวนมาก
ส่วนผลงานของศาลปกครอง ได้แก่ 1) คดี กฟผ.ซึ่งศาลปกครองตัดสินว่ากระบวนการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตผิดกฎหมาย ส่งผลให้ไม่อาจแปรรูปได้ ทำให้ กฟผ.รอดปากเหยี่ยวปากกา ยังคงดำรงสถานะรัฐวิสาหกิจมาได้จนถึงทุกวันนี้ 2) คดีท่อก๊าซ ปตท.เมื่อปี 2550 ซึ่งศาลปกครองตัดสินให้ยึดคืนท่อก๊าซ และสิทธิในการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตเลียมทางท่อ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากเห็นว่าทรัพย์สินดังกล่าวถูกสร้างด้วยงบประมาณของรัฐก่อนที่จะมีการแปรรูป ปตท.ซึ่งปัจจุบันได้กลายสภาพไปเป็นบริษัทมหาชนแล้ว และ3) การตัดสินให้ มาตร 6 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มีผลบังคับใช้ ซึ่งส่งผลให้การดำเนินการใดที่จะส่งกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนจะดำเนินการมิได้ จนกว่าจะมีการจัดทำผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รับฟังความเห็นจากภาคประชาชน และมีความเห็นจากองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมออกมาเสียก่อน
เฉกเช่นเดียวกับ ป.ป.ช.ที่ระบอบทักษิณต้องการขับไล่กรรมชุดปัจจุบันออกไปนั้น ก็เพิ่งแสดงผลงานอันเอกอุด้วยการมีคำสั่งให้อาอายัดทรัพย์สินของ “นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม” รักษาการปลัดกระทรวงคมนาคม ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติเป็นที่ดินจำนวน 3 แปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 3 รายการมูลค่ารวมประมาณ 20 ล้านบาท ตบหน้า “นายธงทอง จันทรางศุ” ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวซึ่งเพิ่งมีมติไปก่อนหน้านี้ให้ยุติการสืบสวนเหตุไม่มีมูลเพียงพอ
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ กระแสข่าวจากวงในระบุว่า การดำเนินการของรัฐบาลในการเลือก ส.ส.ร. เพื่อมารื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้นเป็นเพียงแค่พิธีกรรมประชาธิปไตยที่สร้างภาพตบตาว่าเป็นกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชน และเอา ส.ส.ร.เป็นยันต์กันผีเท่านั้น เพราะแท้ที่จริงแล้วว่ากันว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่การรอตีตราประทับจาก 'นายใหญ่แห่งดูไบ' เสียก่อน
เมื่อสามารถร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ล้างคดีให้ทักษิณ และรวบอำนาจทุกอย่างไว้ในมือได้เสร็จสรรพ ก็เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายทักษิณก็สามารถจะปรับโครงการการบริหารประเทศ ปรับโครงสร้างตุลาการให้เป็นอย่างไรก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าถึงตอนนั้นการสถาปนา “รัฐไทยใหม่” ภายใต้ “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เพื่อรอวันให้นายใหญ่คนเสื้อแดงและระบอบทุนนิยมสามานย์กลับมาเถลิงอำนาจปกครองประเทศอีกครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
เรียกว่าเป็นของง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ !!