ASTVผู้จัดการรายวัน - บูรณาการข่าวความมั่นคง! "เหลิม" เผยตั้ง "วิเชียร" แม่ทัพคุมงานข่าวต้านก่อการร้าย สรุปรายงานนายกฯ ทุกสัปดาห์ ย้ำนโยบายไทยไม่เป็นศัตรูกับใคร "เพรียวพันธ์" เผยมาเลเซียขอขยายระยะเวลาการควบคุมต่อออกไปอีก เหตุเพิ่งได้กลั่นกรองหนังสือที่ทางการไทยส่งไปให้ ส่วน "มาดานี" ยังให้การปฏิเสธ ด้านทูตอิสราเอลถก ”สุกำพล” ผวาลอบฆ่า ขอทหาร รปภ.ทูตอิสราเอลเพิ่ม
วานนี้ (27 ก.พ.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมบูรณาการหน่วยงานด้านการข่าวว่า ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการ สมช. เป็นแม่งานร่วมกับสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) โดยกำหนดเป็นหน่วยงานหลัก หน่วยงานรอง และหน่วยงานสนับสนุนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ที่ผ่านมาหน่วยข่าวกรอง สามารถควบคุมสถานการณ์และรักษาความปลอดภัยได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อมาบูรณาการกันแล้วต่อไปการทำงานก็จะดียิ่งขึ้น เพราะทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ลำพังหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ศรภ. สขช. สมช. นอกจากนั้นตนยังได้ย้ำในที่ประชุมว่า ครม.มอบหมายให้ตนมาทำงานกับข่าวกรอง อย่าถือว่าตนมาควบคุมงาน เพราะเป็นนักการเมือง แต่ขอให้คิดว่ามาช่วยทำงาน และได้ย้ำด้วยว่า เราจะดูแลเรื่องความปลอดภัยของประเทศ ไม่ให้กระทบภาครัฐ หรือไม่ให้มีการก่อเหตุอะไรในประเทศ โดยยึดหลักไม่เป็นศัตรูกับประเทศใด แต่จะเป็นมิตรกับทุกประเทศ
"การทำงานในหน้าที่ตรงนี้จะไม่ใช้เรื่องการเมืองภายในประเทศโดยเด็ดขาด ประเทศไหนจะทะเลาะกันช่างเขา ประเทศเราไม่ทะเลาะกับใคร รักษาความเป็นไทยและรักษาความสงบเรียบร้อย จากนี้ไป พล.ต.อ.วิเชียร จะเป็นคนกำกับงานทั้งหมด และนัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันอาจจะเดือนละครั้ง หากมีความจำเป็นเร่งด่วนเรียกประชุมทุกชั่วโมง ยืนยันว่าเราสามารถรักษาสถานการณ์ได้ ทุกอย่างยังปกติเรียบร้อย" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการ สมช. กล่าวว่าในเบื้องต้นหน่วยงานด้านการข่าวคงจะมีการประชุมหารือกันสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ สมช.เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ สขช. ศรภ. ตำรวจสันติบาล กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีหน่วยงานรอง ที่ประกอบด้วย กอ.รมน.กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กระทรวงยุติธรรม และ ธปท.
ส่วนหน่วยงานสนับสนุน คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงไอซีที กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมการลงทุน ป.ป.ส. ปปง. โดยให้ทำหน้าที่สืบสวนหาข่าวบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ควบคุมบริหารข่าวกรอง วิเคราะห์ และประมวลข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ บุคคล และกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ทั้งนี้ในสถานการณ์ปกติทุกหน่วยงานจะมีตัวแทนรวมตัวกันเป็นประชาคมข่าวเพื่อ แลกเปลี่ยนสถานการณ์กันทุกวัน และจะมีการประชุมสรุปสถานการณ์ทุกสัปดาห์เพื่อรายงานให้นายกฯรับทราบ แต่ถ้าเหตุการณ์วิกฤติจะมีการตั้งวอร์รูม ซึ่งจะมีการประชุมหัวหน้าหน่วยงานทุกวันเพื่อสรุปสถานการณ์ให้นายกฯทราบทุกวัน
**"เหลิม"มอบนโยบายตรวจคนเข้าเมือง
ต่อมาเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.)เพื่อมอบนโยบายด้านความมั่นคง และด้านการข่าว โดยมี พล.ต.ท.เจตน์ มงคหัตถี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม.ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุม
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวก่อนเข้าประชุมว่าในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยเป็นพนักงานสอบสวนมาก่อน ซึ่งคนที่ทำงานด้านนี้มา จะทราบดีว่าเรื่องคดีจะไม่ให้สัมภาษณ์เพราะจะทำให้เสียรูปคดี ที่เดินทางมาสตม.เนื่องจากตนรับผิดชอบในด้านการข่าว ซึ่งสตม.ก็ถือเป็นด่านแรกที่ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศจะต้องเจอ แต่ระยะหลังมีประเทศอื่นๆ เข้ามาทะเลาะกันในบ้านเรา แต่นโยบายของรัฐบาลหากมีประเทศอื่นเข้ามาทะเลาะกันในประเทศของเรา เราจะไม่โต้ตอบ และไม่ยอมให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานกระทำความผิดในการก่อการร้าย ทั้งนี้ในการเดินทางมาประชุมร่วมกับ สตม.ก็เพื่อซักซ้อมความเข้าใจให้เป็นไปในทางเดียวกัน ทั้ง 3 ด้านทั้งหน่วยงานหลัก หน่วยงานรอง และหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน เพื่อบูรณาการด้านการข่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความกังวลในสถานการณ์ด้านความมั่นคงหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความกังวลอยู่บ้างกับสถานการณ์ความมั่นคงในช่วงนี้ แต่ไม่น่าหนักใจ มั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่คงต้องเพิ่มความรัดกุมมากขึ้นเพื่อความไม่ประมาท ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะเมืองไทยยังน่าอยู่ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธใครจะก่อเหตุร้ายอะไรก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองใครจะทำไม่ดีก็ทราบก่อน
**มาเลย์ขยายเวลาคุมตัวชาวอิหร่าน**
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.เปิดเผยหลังเป็นประธาน มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย ให้แก่ อิค ตันศรี อิสมาอิล บิน ฮัจญี โอมาร์ ผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซีย และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ให้แก่ ดาตุค เสรี อาคิล บิน บุลัต ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลมาเลเซีย ถึงการส่งตัวผู้ต้องหาชาวอิหร่านมายังประเทศไทย ว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีการพูดคุยกัน เพราะว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ แต่วันนี้เป็นวันครบกำหนด 14 วัน ที่ประเทศมาเลเซียจะควบคุมชาวอิหร่านที่ศาลไทยออกหมายจับ แต่ทางการมาเลเซียขอขยายระยะเวลาการควบคุมต่อออกไปอีก เพราะเพิ่งได้กลั่นกรองหนังสือที่ทางการไทยส่งไปให้ ซึ่งเป็นอำนาจของทางการมาเลเซีย ส่วนการรับตัวกลับเรายังไม่ได้เตรียมการอะไรมากมาย
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวถึงการจับกุม 3 ชาวอิหร่าน ว่าได้ใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวอยู่ เพราะกลุ่มชาวอิหร่านไม่ได้หลบหนีเข้าเมือง แต่วีซ่าหมดอายุไม่ได้ไปต่อ และพบว่าเคยติดต่อกับกลุ่มผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่ก่อเหตุระเบิดแต่ยังไม่มีหลักฐานโยงไปถึงว่าเกี่ยวข้องอย่างไร ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาวีซ่าหมดอายุเท่านั้น และอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม
**"มาดานี" ยังปฏิเสธเกี่ยวข้อง **
ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (บก.ตปพ.) ได้ควบคุมตัว นายมาดานี เซเยส เมอร์เดต อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิด 3 จุด ซอยปรีดีพนมยงค์ 31 มาสอบปากคำเพิ่มเติม หลังสามารถสืบสวนจับกุมตัวได้ที่ห้องพักอาคารนาซ่าเวกัส
พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม.กล่าวว่า ขณะนี้ได้ควบคุมตัวนายมาดานี ไว้เพื่อสอบปากคำโดยใช้ พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง เบื้องต้นจากการตรวจสอบหนังสือวีซ่าของนายมาดานี พบว่าหมดอายุ ซึ่งมีระยะเวลาแค่ 60 วันโดยไม่ได้มีการต่อใบอนุญาต ยังสอบอยู่ระหว่างการสอบปากคำว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีระเบิดหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นผู้ต้องยังให้การปฏิเสธ
"หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการแจ้งข้อหาเพิ่มทันที แต่หากสอบสวนแล้วพบว่านายมาดีนี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีระเบิด ทาง สตม.ก็จะทำการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมืองต่อไป"
ส่วนนายราฮิมี ราดิราจ และนางมาห์บุบห์ ทัสเบฮี สองสามีภรรยาที่ถูกจับพร้อมกันนั้น พบว่ามีหนังสือเดินทางอย่างถูกต้อง และสอบสวนแล้วก็พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีจึงปล่อยตัวไป แต่ยังไม่ได้ติดต่อพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ที่รับผิดชอบคดีระเบิด มาร่วมสอบปากคำนายมาดานี
***ทูตยิวถก ”สุกำพล” ป้องก่อการร้าย รปภ.ทูตเข้มผวาลอบฆ่า ด้าน “สุกำพล”อ้างไม่ได้คุยเรื่องก่อการร้าย พร้อมส่งทหารรปภ.ทูตอิสราเอลเพิ่ม รับคนยิวต้องระวังเหตุเป็นเป้าบึ้ม
เมื่อเวลา15.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม นายอิตซัค โชฮัม เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เดินทางเข้าพบพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ของไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศ ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากหน่วยอรินทราชมาดูแลความปลอดภัยขบวนรถยนต์ของทูตอิสราเอลที่เดินทางมาที่กระทรวงกลาโหมด้วย โดยภายหลังการหารือเต็มคณะ นายอิตซัคได้มีการพูดคุยสองต่อสองกับพล.อ.อ.สุกำพล เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อมูลสถานการณ์การก่อการร้ายในประเทศไทย และหารือถึงการประสานงานทางด้านการข่าวเพื่อป้องกันการก่อการร้ายในอนาคต นอกจากนี้นายอิตซัค ยังได้มีการต่อสายโทรศัพท์ถึงนายเอฮุด บารัค รมว.กลาโหมอิสราเอล เพื่อให้พูดคุยกับพล.อ.อ.สุกำพลเป็นการส่วนตัวด้วย
ภายหลังการหารือ พล.อ.อ.สุกำพล เปิดเผยว่า นายอิตซัคมาพบตนประมาณ 20 นาทีเท่านั้น โดยมาแสดงความยินดีที่ตนมารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม ไม่ได้คุยเรื่องซับซ้อนอะไร และได้เชิญตนกับทีมงานไปอิสราเอล เพื่อไปเยี่ยมชมกองทัพอิสราเอล ส่วนประเด็นเรื่องก่อการร้าย เรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่ทางอิสราเอลคงติดตามข่าวของเขาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการขอความร่วมมือเกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้ายนั้น ไม่ว่าใครให้ข้อมูลมาจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือใครเราก็ร่วมมือกันอยู่แล้ว ตำรวจสากลก็ร่วมมือกัน ทีมงานด้านความมั่นคงดูแลอยู่ ทุกชาติร่วมมือกันอยู่ไม่เฉพาะอิสราเอลเท่านั้น ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้เป็นการพูดคุยทีมใหญ่ไม่ได้พูดคุยกันส่วนตัว
“ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยของเอกอัครราชฑูตอิสราเอลนั้น เป็นเรื่องของท่าน แต่เราบอกว่าเราพร้อม หากท่านจะขอการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เราก็จะเพิ่มให้ อย่างไรก็ตามท่านก็ต้องระวังตัวเอง เพราะคนอิสราเอลอยู่ที่ไหนก็ต้องระวังตัวเองอยู่แล้ว สถานการณ์เป็นอย่างนี้ก็คงเพิ่มในด้านของท่าน ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ถ้าต้องการเพิ่มเติมอย่างไรก็บอกมา เราก็จะไปช่วย ทั้งนี้ทูตอิสราเอลพูดว่า นักท่องเที่ยวของ 2 ชาติมีความสัมพันธ์กันมาก นักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เข้ามาเมืองไทยก็มาก แต่ไทยไปเที่ยวอิสราเอลน้อยกว่า ส่วนผู้ต้องหาจากเหตุการณ์ระเบิด ที่หลบหนีไปประเทศมาเลเซียนั้น จากที่มาเลเซียบอกว่าจะส่งมาวันนี้ก็ยังไม่ได้ เขาขอตัวไว้สอบสวนหาข้อมูล แต่คงจะเร็วๆ นี้ เขาขอดีเลย์เล็กน้อย”รมว.กลาโหม กล่าว.
วานนี้ (27 ก.พ.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมบูรณาการหน่วยงานด้านการข่าวว่า ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการ สมช. เป็นแม่งานร่วมกับสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) โดยกำหนดเป็นหน่วยงานหลัก หน่วยงานรอง และหน่วยงานสนับสนุนในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ที่ผ่านมาหน่วยข่าวกรอง สามารถควบคุมสถานการณ์และรักษาความปลอดภัยได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อมาบูรณาการกันแล้วต่อไปการทำงานก็จะดียิ่งขึ้น เพราะทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ลำพังหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ศรภ. สขช. สมช. นอกจากนั้นตนยังได้ย้ำในที่ประชุมว่า ครม.มอบหมายให้ตนมาทำงานกับข่าวกรอง อย่าถือว่าตนมาควบคุมงาน เพราะเป็นนักการเมือง แต่ขอให้คิดว่ามาช่วยทำงาน และได้ย้ำด้วยว่า เราจะดูแลเรื่องความปลอดภัยของประเทศ ไม่ให้กระทบภาครัฐ หรือไม่ให้มีการก่อเหตุอะไรในประเทศ โดยยึดหลักไม่เป็นศัตรูกับประเทศใด แต่จะเป็นมิตรกับทุกประเทศ
"การทำงานในหน้าที่ตรงนี้จะไม่ใช้เรื่องการเมืองภายในประเทศโดยเด็ดขาด ประเทศไหนจะทะเลาะกันช่างเขา ประเทศเราไม่ทะเลาะกับใคร รักษาความเป็นไทยและรักษาความสงบเรียบร้อย จากนี้ไป พล.ต.อ.วิเชียร จะเป็นคนกำกับงานทั้งหมด และนัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันอาจจะเดือนละครั้ง หากมีความจำเป็นเร่งด่วนเรียกประชุมทุกชั่วโมง ยืนยันว่าเราสามารถรักษาสถานการณ์ได้ ทุกอย่างยังปกติเรียบร้อย" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการ สมช. กล่าวว่าในเบื้องต้นหน่วยงานด้านการข่าวคงจะมีการประชุมหารือกันสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้ สมช.เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ สขช. ศรภ. ตำรวจสันติบาล กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีหน่วยงานรอง ที่ประกอบด้วย กอ.รมน.กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กระทรวงยุติธรรม และ ธปท.
ส่วนหน่วยงานสนับสนุน คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงไอซีที กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมการลงทุน ป.ป.ส. ปปง. โดยให้ทำหน้าที่สืบสวนหาข่าวบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ควบคุมบริหารข่าวกรอง วิเคราะห์ และประมวลข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ บุคคล และกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ทั้งนี้ในสถานการณ์ปกติทุกหน่วยงานจะมีตัวแทนรวมตัวกันเป็นประชาคมข่าวเพื่อ แลกเปลี่ยนสถานการณ์กันทุกวัน และจะมีการประชุมสรุปสถานการณ์ทุกสัปดาห์เพื่อรายงานให้นายกฯรับทราบ แต่ถ้าเหตุการณ์วิกฤติจะมีการตั้งวอร์รูม ซึ่งจะมีการประชุมหัวหน้าหน่วยงานทุกวันเพื่อสรุปสถานการณ์ให้นายกฯทราบทุกวัน
**"เหลิม"มอบนโยบายตรวจคนเข้าเมือง
ต่อมาเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.)เพื่อมอบนโยบายด้านความมั่นคง และด้านการข่าว โดยมี พล.ต.ท.เจตน์ มงคหัตถี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม.ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุม
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวก่อนเข้าประชุมว่าในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยเป็นพนักงานสอบสวนมาก่อน ซึ่งคนที่ทำงานด้านนี้มา จะทราบดีว่าเรื่องคดีจะไม่ให้สัมภาษณ์เพราะจะทำให้เสียรูปคดี ที่เดินทางมาสตม.เนื่องจากตนรับผิดชอบในด้านการข่าว ซึ่งสตม.ก็ถือเป็นด่านแรกที่ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศจะต้องเจอ แต่ระยะหลังมีประเทศอื่นๆ เข้ามาทะเลาะกันในบ้านเรา แต่นโยบายของรัฐบาลหากมีประเทศอื่นเข้ามาทะเลาะกันในประเทศของเรา เราจะไม่โต้ตอบ และไม่ยอมให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานกระทำความผิดในการก่อการร้าย ทั้งนี้ในการเดินทางมาประชุมร่วมกับ สตม.ก็เพื่อซักซ้อมความเข้าใจให้เป็นไปในทางเดียวกัน ทั้ง 3 ด้านทั้งหน่วยงานหลัก หน่วยงานรอง และหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน เพื่อบูรณาการด้านการข่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความกังวลในสถานการณ์ด้านความมั่นคงหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความกังวลอยู่บ้างกับสถานการณ์ความมั่นคงในช่วงนี้ แต่ไม่น่าหนักใจ มั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่คงต้องเพิ่มความรัดกุมมากขึ้นเพื่อความไม่ประมาท ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะเมืองไทยยังน่าอยู่ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธใครจะก่อเหตุร้ายอะไรก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองใครจะทำไม่ดีก็ทราบก่อน
**มาเลย์ขยายเวลาคุมตัวชาวอิหร่าน**
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.เปิดเผยหลังเป็นประธาน มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย ให้แก่ อิค ตันศรี อิสมาอิล บิน ฮัจญี โอมาร์ ผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซีย และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ให้แก่ ดาตุค เสรี อาคิล บิน บุลัต ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลมาเลเซีย ถึงการส่งตัวผู้ต้องหาชาวอิหร่านมายังประเทศไทย ว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีการพูดคุยกัน เพราะว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ แต่วันนี้เป็นวันครบกำหนด 14 วัน ที่ประเทศมาเลเซียจะควบคุมชาวอิหร่านที่ศาลไทยออกหมายจับ แต่ทางการมาเลเซียขอขยายระยะเวลาการควบคุมต่อออกไปอีก เพราะเพิ่งได้กลั่นกรองหนังสือที่ทางการไทยส่งไปให้ ซึ่งเป็นอำนาจของทางการมาเลเซีย ส่วนการรับตัวกลับเรายังไม่ได้เตรียมการอะไรมากมาย
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวถึงการจับกุม 3 ชาวอิหร่าน ว่าได้ใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวอยู่ เพราะกลุ่มชาวอิหร่านไม่ได้หลบหนีเข้าเมือง แต่วีซ่าหมดอายุไม่ได้ไปต่อ และพบว่าเคยติดต่อกับกลุ่มผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่ก่อเหตุระเบิดแต่ยังไม่มีหลักฐานโยงไปถึงว่าเกี่ยวข้องอย่างไร ซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาวีซ่าหมดอายุเท่านั้น และอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม
**"มาดานี" ยังปฏิเสธเกี่ยวข้อง **
ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (บก.ตปพ.) ได้ควบคุมตัว นายมาดานี เซเยส เมอร์เดต อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาชาวอิหร่านที่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิด 3 จุด ซอยปรีดีพนมยงค์ 31 มาสอบปากคำเพิ่มเติม หลังสามารถสืบสวนจับกุมตัวได้ที่ห้องพักอาคารนาซ่าเวกัส
พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม.กล่าวว่า ขณะนี้ได้ควบคุมตัวนายมาดานี ไว้เพื่อสอบปากคำโดยใช้ พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง เบื้องต้นจากการตรวจสอบหนังสือวีซ่าของนายมาดานี พบว่าหมดอายุ ซึ่งมีระยะเวลาแค่ 60 วันโดยไม่ได้มีการต่อใบอนุญาต ยังสอบอยู่ระหว่างการสอบปากคำว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีระเบิดหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นผู้ต้องยังให้การปฏิเสธ
"หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการแจ้งข้อหาเพิ่มทันที แต่หากสอบสวนแล้วพบว่านายมาดีนี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีระเบิด ทาง สตม.ก็จะทำการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมืองต่อไป"
ส่วนนายราฮิมี ราดิราจ และนางมาห์บุบห์ ทัสเบฮี สองสามีภรรยาที่ถูกจับพร้อมกันนั้น พบว่ามีหนังสือเดินทางอย่างถูกต้อง และสอบสวนแล้วก็พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีจึงปล่อยตัวไป แต่ยังไม่ได้ติดต่อพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ที่รับผิดชอบคดีระเบิด มาร่วมสอบปากคำนายมาดานี
***ทูตยิวถก ”สุกำพล” ป้องก่อการร้าย รปภ.ทูตเข้มผวาลอบฆ่า ด้าน “สุกำพล”อ้างไม่ได้คุยเรื่องก่อการร้าย พร้อมส่งทหารรปภ.ทูตอิสราเอลเพิ่ม รับคนยิวต้องระวังเหตุเป็นเป้าบึ้ม
เมื่อเวลา15.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม นายอิตซัค โชฮัม เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เดินทางเข้าพบพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ของไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศ ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากหน่วยอรินทราชมาดูแลความปลอดภัยขบวนรถยนต์ของทูตอิสราเอลที่เดินทางมาที่กระทรวงกลาโหมด้วย โดยภายหลังการหารือเต็มคณะ นายอิตซัคได้มีการพูดคุยสองต่อสองกับพล.อ.อ.สุกำพล เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อมูลสถานการณ์การก่อการร้ายในประเทศไทย และหารือถึงการประสานงานทางด้านการข่าวเพื่อป้องกันการก่อการร้ายในอนาคต นอกจากนี้นายอิตซัค ยังได้มีการต่อสายโทรศัพท์ถึงนายเอฮุด บารัค รมว.กลาโหมอิสราเอล เพื่อให้พูดคุยกับพล.อ.อ.สุกำพลเป็นการส่วนตัวด้วย
ภายหลังการหารือ พล.อ.อ.สุกำพล เปิดเผยว่า นายอิตซัคมาพบตนประมาณ 20 นาทีเท่านั้น โดยมาแสดงความยินดีที่ตนมารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม ไม่ได้คุยเรื่องซับซ้อนอะไร และได้เชิญตนกับทีมงานไปอิสราเอล เพื่อไปเยี่ยมชมกองทัพอิสราเอล ส่วนประเด็นเรื่องก่อการร้าย เรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่ทางอิสราเอลคงติดตามข่าวของเขาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการขอความร่วมมือเกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้ายนั้น ไม่ว่าใครให้ข้อมูลมาจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือใครเราก็ร่วมมือกันอยู่แล้ว ตำรวจสากลก็ร่วมมือกัน ทีมงานด้านความมั่นคงดูแลอยู่ ทุกชาติร่วมมือกันอยู่ไม่เฉพาะอิสราเอลเท่านั้น ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้เป็นการพูดคุยทีมใหญ่ไม่ได้พูดคุยกันส่วนตัว
“ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยของเอกอัครราชฑูตอิสราเอลนั้น เป็นเรื่องของท่าน แต่เราบอกว่าเราพร้อม หากท่านจะขอการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เราก็จะเพิ่มให้ อย่างไรก็ตามท่านก็ต้องระวังตัวเอง เพราะคนอิสราเอลอยู่ที่ไหนก็ต้องระวังตัวเองอยู่แล้ว สถานการณ์เป็นอย่างนี้ก็คงเพิ่มในด้านของท่าน ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ถ้าต้องการเพิ่มเติมอย่างไรก็บอกมา เราก็จะไปช่วย ทั้งนี้ทูตอิสราเอลพูดว่า นักท่องเที่ยวของ 2 ชาติมีความสัมพันธ์กันมาก นักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เข้ามาเมืองไทยก็มาก แต่ไทยไปเที่ยวอิสราเอลน้อยกว่า ส่วนผู้ต้องหาจากเหตุการณ์ระเบิด ที่หลบหนีไปประเทศมาเลเซียนั้น จากที่มาเลเซียบอกว่าจะส่งมาวันนี้ก็ยังไม่ได้ เขาขอตัวไว้สอบสวนหาข้อมูล แต่คงจะเร็วๆ นี้ เขาขอดีเลย์เล็กน้อย”รมว.กลาโหม กล่าว.