ASTVผู้จัดการรายวัน - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แจ้งยอดสินเชื่อสุทธิของ 14 ธนาคารพาณิชย์ไทย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2555 มีจำนวน 7.58 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.17 หมื่นล้านบาท จาก 7.53 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ขณะที่ สินเชื่อในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กปรับลดลง โดยการขยายตัวของสินเชื่อนั้น เป็นผลมาจากความต้องการสินเชื่อทั้งในส่วนของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน เพื่อฟื้นฟูความเสียหายที่ได้รับจากภาวะอุทกภัย และการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นสำคัญ แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันบางส่วนจากการเข้าสู่ฤดูกาลชำระคืนหนี้ของภาคธุรกิจ
ด้านยอดเงินฝาก ณ สิ้นเดือนมกราคม 2555 มีจำนวน 7.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.98 หมื่นล้านบาท จาก 7.24 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ส่วนยอดเงินฝากในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กปรับลดลง โดยด้านตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม (ซึ่งมีตั๋วแลกเงินเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ) ลดลง 4.07 หมื่นล้านบาท จาก 1.73 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 มาที่ 1.68 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของเงินฝากและการลดลงของตั๋วแลกเงินนั้น ส่วนหนึ่งคงจะเป็นผลจากปรับกลยุทธ์การระดมเงินออมของธนาคารพาณิชย์ เพื่อรองรับการเรียกเก็บเงินนำส่งเพื่อช่วยชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ และการบังคับใช้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลตั๋วแลกเงินของหน่วยงานต่างๆ ในอนาคต
สำหรับแนวโน้มสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยช่วง 3 – 6 เดือนข้างหน้านี้ อาจกล่าวได้ว่า ธนาคารพาณิชย์ไทย คงต้องเผชิญกับหลากหลายปัจจัยที่ดูดซับสภาพคล่องในระบบให้ตึงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจแและครัวเรือนยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี รวมถึงการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคมนี้ คงมีผลต่อภาพการจัดสรรเงินออมของผู้ฝากเงิน ที่ต้องการกระจายเงินออม และแสวงหาผลตอบแทนในระดับที่ต้องการ ตามความเสี่ยงที่ผู้ฝากแต่ละรายสามารถยอมรับได้ และการเดินหน้าโครงการลงทุนของภาครัฐ ทั้งภายใต้กรอบงบประมาณและกฎหมายพิเศษ เพิ่มความต้องการระดมเงินทุน และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันสภาพคล่อง
ทั้งนี้ จากปัจจัยกดดันสภาพคล่องดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธนาคารพาณิชย์คงจะต้องเตรียมการวางแผนรับมือภาวะสภาพคล่องที่อาจมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นในระยะข้างหน้า ส่งผลให้น่าที่จะยังเห็นธนาคารพาณิชย์ออกผลิตภัณฑ์เงินออมที่มีเงื่อนไขหลากหลาย และตรงใจผู้ออมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว น่าจะเป็นผลดีในการช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ออม ขณะที่ คงต้องติดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับประเด็นการกำหนดอัตราเงินนำส่งที่เรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ ตาม พ.ร.ก.บริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 ซึ่งจะมีผลต่อแนวทางปฏิบัติต่อไป ตลอดจนกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อันรวมถึงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลตั๋วแลกเงินของหน่วยงานต่างๆด้วย
ด้านยอดเงินฝาก ณ สิ้นเดือนมกราคม 2555 มีจำนวน 7.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.98 หมื่นล้านบาท จาก 7.24 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ส่วนยอดเงินฝากในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กปรับลดลง โดยด้านตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม (ซึ่งมีตั๋วแลกเงินเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ) ลดลง 4.07 หมื่นล้านบาท จาก 1.73 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 มาที่ 1.68 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของเงินฝากและการลดลงของตั๋วแลกเงินนั้น ส่วนหนึ่งคงจะเป็นผลจากปรับกลยุทธ์การระดมเงินออมของธนาคารพาณิชย์ เพื่อรองรับการเรียกเก็บเงินนำส่งเพื่อช่วยชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ และการบังคับใช้หลักเกณฑ์การกำกับดูแลตั๋วแลกเงินของหน่วยงานต่างๆ ในอนาคต
สำหรับแนวโน้มสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยช่วง 3 – 6 เดือนข้างหน้านี้ อาจกล่าวได้ว่า ธนาคารพาณิชย์ไทย คงต้องเผชิญกับหลากหลายปัจจัยที่ดูดซับสภาพคล่องในระบบให้ตึงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจแและครัวเรือนยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี รวมถึงการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคมนี้ คงมีผลต่อภาพการจัดสรรเงินออมของผู้ฝากเงิน ที่ต้องการกระจายเงินออม และแสวงหาผลตอบแทนในระดับที่ต้องการ ตามความเสี่ยงที่ผู้ฝากแต่ละรายสามารถยอมรับได้ และการเดินหน้าโครงการลงทุนของภาครัฐ ทั้งภายใต้กรอบงบประมาณและกฎหมายพิเศษ เพิ่มความต้องการระดมเงินทุน และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันสภาพคล่อง
ทั้งนี้ จากปัจจัยกดดันสภาพคล่องดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธนาคารพาณิชย์คงจะต้องเตรียมการวางแผนรับมือภาวะสภาพคล่องที่อาจมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นในระยะข้างหน้า ส่งผลให้น่าที่จะยังเห็นธนาคารพาณิชย์ออกผลิตภัณฑ์เงินออมที่มีเงื่อนไขหลากหลาย และตรงใจผู้ออมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว น่าจะเป็นผลดีในการช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ออม ขณะที่ คงต้องติดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับประเด็นการกำหนดอัตราเงินนำส่งที่เรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ ตาม พ.ร.ก.บริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 ซึ่งจะมีผลต่อแนวทางปฏิบัติต่อไป ตลอดจนกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อันรวมถึงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลตั๋วแลกเงินของหน่วยงานต่างๆด้วย