xs
xsm
sm
md
lg

เป็นเครื่องมือฝรั่งตร.-รบ.อ่อนแอชักศึกอิหร่าน-ยิวเข้าบ้านขำๆคนพท.สรุปบึ้มรับวาเลนไทน์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - "สนธิ ลิ้มทองกุล" คาด “สหรัฐฯ-อิหร่าน” ตอบโต้กันหนักแน่ ระบุเมืองไทยกำลังกลายเป็นสวรรค์นักก่อการร้าย แนะไทยแสดงจุดยืนไม่เป็นเวทีขัดแย้งให้ทั้งสองฝ่าย เลิกเป็นสมุนรับใช้ตะวันตก ด้าน"เพรียวพันธ์"ไม่รู้เป้าสังหารเป็น รมว.กลาโหมอิสราเอล ประสานมาเลย์ของตัว"มาซุด" ส่วนอาการมือบึ้มรู้สึกตัวดี ไม่ติดเชื้อ "สุนัย" โชว์โง่! อ้างบึ้มอุบัติเหตุ-ต่อต้านวาเลนไทน์

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพธม. ให้ความเห็นว่า ความขัดแย้งของโลกมาอยู่ที่อเมริกา กับอิหร่าน เพราะชาวอิรักคงจะทะเลาะเบาะแว้งภายในเพื่อช่วงชิงอำนาจกันอีกนาน และโลกตะวันตกใช้อิสราเอลเป็นตัวแทน การตอบโต้จากอเมริกาที่จะกระทำกับอิหร่าน ทำตรงๆ ไม่ได้ในเวลานี้ แต่เกิดขึ้นในลักษณะการสังหารนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยซีไอเอ (หน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐ) จึงไม่แปลกใจที่อิหร่านจะหาทางตอบโต้โลกตะวันตกและยิวทั่วโลก

“ ประเทศไทยเหมือนเป็นสวรรค์ เพราะอ่อนแอในระบบตรวจคนเข้าเมือง ชาวตะวันออกกลางที่ขัดแย้งกับโลกตะวันตกจึงเข้ามาอยู่ในประเทศไทยอย่างเสรี ในขณะเดียวกัน ตำรวจและฝ่ายปกครองบ้านเราก็ตกเป็นเครื่องมือให้พวกฝรั่ง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสมรภูมิแห่งความขัดแย้ง ไทยควรแสดงจุดยืนในการเจรจากับทั้ง 2 ขั้วว่า ประเทศไทยจะไม่ยอมให้เกิดความขัดแย้งภายในประเทศโดยเด็ดขาด (ไม่ว่าการจับกุมฝ่ายตรงกันข้าม หรือเข้ามาก่อวินาศกรรมเพื่อล้างแค้น) ใครทำไม่ได้ก็ไม่ควรให้เข้าประเทศ และควรเลิกทำตัวเป็นสมุนรับใช้โลกตะวันตกได้แล้ว เพราะรังแต่จะทำให้ประเทศไทยถูกลากเข้าไปในความขัดแย้งโดยไม้ได้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ใครอยากจะทะเลาะกันจะไปที่ไหนก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ในประเทศไทย”

ต่อมานายปานเทพได้โพสต์ข้อความต่อว่า นายสนธิแสดงความเห็นก่อนเที่ยงวันนี้ว่า " ถ้าจะดูโลกใบนี้ จะเห็นได้ว่า โลกถูกออกแบบโดยตะวันตกเพื่อให้ตอบสนองกับทุน ผ่านเศรษฐกิจโดยฉันทานุมัติกรุงวอชิงตัน ใน 4 รูปแบบ ได้แก่

1. Cross Cultural คือ การข้ามผสานเผยแผ่วัฒนธรรม ผ่าน เพลง แฟชั่น ภาพยนตร์ ทีวีซีรี่ย์ สถานีข่าว การศึกษา และภาษา เพื่อให้โลกตะวันตกสามารถเข้าครอบงำให้เกิดความเชื่อว่า ตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐ คือความก้าวหน้านำสมัย คือความถูกต้อง เช่น ฮอลลีวู๊ด โคคา-โคลา ในขณะที่วัฒนธรรมและความเชื่อของโลกตะวันออกคือความเลวร้าย ความล้าสมัย คือสิ่งผิด ในระยะหลังจะทำให้เกิดความแนบเนียนให้มากขึ้นโดยการแทรกชาวตะวันออกเข้าไปเพื่อให้ได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น ภาพยนตร์บางเรื่องแทรกตัวละครชาวจีนเข้าไปในการป้ายสีความเลวร้ายของกระบวนการยุติธรรมในจีน เพื่อปูพื้นฐานให้ทั่วโลกดูถูกและหล่อหลอมทำให้เชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมของจีนไม่ยุติธรรม นำไปสู่การต่อต้านและไม่ยอมรับนับถือกระบวนการยุติธรรมของจีนในอนาคต แม้กระทั่ง สำนักข่าวในโลกตะวันตก เช่น BBC, Bloomberg, และ CNN ก็มักจะเอาคนเอเชียออกอากาศเป็นผู้ประกาศข่าว หรือวิเคราะห์ข่าวมากขึ้น เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในข้อมูลโลกาภิวัฒน์เกิดขึ้นบทฐานส่งของโลกตะวันตกและอเมริกา ทั้งนี้ถือเป็นการหล่อหลอมหัวดำหัวฝรั่งให้เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่ตลาดเดี่ยว Single market เพื่อให้ซึมซับทั้งโลก ถ้าอยู่ในโลกาภิวัฒน์ที่ถูกต้องอยู่แบบชาวตะวันตกและอเมริกา

2. Diversity คือ ความหลากหลาย ถือเป็นจุดเปลี่ยนของการตลาด ในอดีตโลกผลิตแบบสายพาน แต่เดี๋ยวนี้ มีรุ่นและเวอร์ชั่นของสินค้าให้มีความหลากหลายมากมาย เพราะหลังจากได้เผยแผ่ทางวัฒนธรรมแล้ว ก็ต้องมีการการเพิ่มโอกาสทางการตลาด เพราะถ้าใช้ระบบสายพานแต่เพียงอย่างเดียวก็จะแพ้ตะวันออกซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า อเมริกาและตะวันตกจึงต้องเป็นเจ้าแห่งดีไซน์ ควบคูไปกับการจดลิขสิทธิ์ จดสิทธิบัตรเพิ่ม เพื่อดึงความได้เปรียบและดึงความมั่งคั่งจากตะวันออก

3. จากการสร้างขบวนการ Cross Cultural และ Diversity แล้ว จึงต้องสร้าง Networking คือ โครงข่าย ได้แก่การย้ายฐานการผลิตไปยังตะวันออก ไม่ว่าจีน เวียดนาม ไทย ฯลฯ ทำให้นอกจากจะได้ต้นทุนที่ถูกแล้ว ยังสร้างระบบที่แบ่งประโยชน์ค่าแรงและการผลิต(ในราคาถูกๆ)ให้เป็นผลตอบแทนในประเทศโลกตะวันออกเพื่อไม่ให้เกิดการต่อต้าน อันเป็นการเพิ่มหลักประกันในประการต่อมา คือ

4. Inter-dependent การพึ่งพิงอาศัยระหว่างประเทศ เมื่อ โลกถูกล้างสมอง และเกิดกระบวนการทั้งสามแล้ว คือ Cross Cultural + Diversity + Networking แล้วก็จะทำให้ โลกตะวันออกถูกครอบงำทางความคิด และการผลิต และต้องเกิดการพึ่งพิงพิงโลกตะวันตกและอเมริกาโดยโงหัวไม่ขึ้น

ด้วยลักษณะ 4 รูแแบบดังกล่าวข้างต้น ทำให้ทุนที่มีขนาดใหญ่กว่าจากโลกตะวันตกและอเมริกา จึงสามารถเข้าครอบงำและสูบความมั่งคั่งจากโลกตะวันออกได้ สอดคล้องกับเป้าหมายของฉันทานุมัติกรุงวอชิงตัน และเกิดการสร้างเครื่องมือในรูปแบบขององค์กรเพื่อเคลื่อนไหวให้เป็นประโยชน์ต่อทุนใหญ่ในสหรัฐและโลกตะวันตก หรือขจัดอุปสรรคทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่จะขัดขวางการสูบความมั่งคั่งของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในประเทศต่างๆ เช่น กลุ่ม illuminati, Council on Foreign Relation (CFR), CIA, บริษัทล็อบบี้ยิสต์ หรือกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากทุนใหญ่หรือสภาคองเกรซในสหรัฐอเมริกา

“ประเทศไทยจึงต้องระวังพวกเรา ไม่ลุ่มหลง มีสติ อันเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า และความรักชาติรักแผ่นดิน ตลอดจนสถาบันพระมหากษัตริย์ทีทรงทศพิธราชธรรม ถือเป็นลักษณะของชาตินิยมและเป็นภูมิคุ้มกันประเทศ ซึ่งย่อมเป็นอุปสรรคต่อทุนข้ามชาติที่มุ่งหวังเพียงแค่จะสูบความมั่งคั่งและปล้นทรัพยากรในประเทศออกไป หากเรายอมจำนน โลกทั้งใบจะตกเป็นทาสทุนของบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ในที่สุด และสุดท้ายทักษิณจะอยู่ในฐานะเป็นแค่ "Butler" หรือ "หัวหน้าคนใช้" ของบรรษัทข้ามชาติเท่านั้น !!!”

***กระจายกำลังสืบเสาะข้อมูล

วานนี้(16 ก.พ.)เวลา 10.30 น.ที่ สน.คลองตัน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตรได้ประชุมทีมสอบสวนคดีเหตุระเบิด 3 จุดที่เกิดขึ้นย่านสุขุมวิท 71 พร้อมเปิดเผยก่อนการประชุมว่าได้แต่งตั้งให้ พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผู้ช่วย ผบ.ตร.ควบคุมด้านการสืบสวน ส่วน พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้ช่วย ผบ.ตร.ควบคุมงานด้านการสอบสวน โดยได้ประชุมตำรวจ บช.ก.,บช.น.,บช.สตม.,บช.ส., พฐ.และหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่าในการสืบสวนสอบสวนจะดำเนินการทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยจะสืบว่าคดีก่อเหตุระเบิด 3 จุดกลางกรุง กลุ่มผู้ต้องหาเข้าออกประเทศไทยกี่ครั้ง เมื่อไหร่บ้าง ส่วนวัตถุพยานที่ยึดได้ จะตรวจสอบว่านำเข้าประเทศไทยเมื่อไหร่ ซื้อที่ไหน หรือนำเข้าเมื่อไหร่ อย่างไร โดยจะใช้ สน.คลองตัน เป็นกองอำนวยการสืบสวนสอบสวน ซึ่งจะประชุมกันทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป นอกจากนี้หลังเกิดเหตุระเบิดใน 48 ชั่วโมงที่ผ่านมาได้รายงานให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ทราบตลอดทุกเรื่อง

*****ประสานมาเลขอตัว"มาซุด"**

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.กล่าวว่า การนำตัวนายมาซุด ซีดากัส ซาเดท อายุ 31 ปี ที่หลบหนีไปประเทศมาเลเซีย ขณะนี้ได้ส่งเรื่องไปให้สำนักการอัยการสูงสุดดำเนินการ เพื่อประสานขอตัวให้ส่งตัวนายมาซุด เป็นผู้ร้ายข้ามแดน โดยจะเร่งดำเนินการ ซึ่งตามปกติทางการมาเลเซีย สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้ 14 วัน และหากทางการมาเลเซียได้ประสานมาทางการไทยก็พร้อมไปรับตัวมาดำเนินคดีทันที แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานงานมา ทั้งนี้ ได้สั่งการให้มีการเพิ่มความเข้มเฝ้าระวังสนามบินนานาชาติเพิ่มมากขึ้น ตามที่ประเทศอิสราเอลได้ประกาศเตือนว่าอาจจะมีการก่อเหตุวินาศกรรมในสนามบินนานาชาติ

“ชนิดและแหล่งผลิตของระเบิดที่ใช้ก่อเหตุ ได้สั่งการให้หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์ระเบิด หรือ อีโอดี ตรวจสอบ ซึ่งหลังจากนี้ตัวแทนทูตอินเดียประจำประเทศไทยจะเข้าหารือด้วย ซึ่งอาจจะมีการพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ระเบิดที่มีความคล้ายกันทั้ง 2 ประเทศ” ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวถึงการติดตามตัว น.ส.ไลลา ด้วยว่า เบื้องต้นทราบว่า น.ส.ไลลา เป็นเพียงผู้เช่าบ้านหลังที่เกิดเหตุเท่านั้น ไม่น่าจะร่วมก่อเหตุระเบิด แต่คงต้องสืบสวนสอบสวนอีกครั้ง หากพบข้อมูลร่วมทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนนายมูฮัมหมัด ฮะซาอิ ที่ถูกควบคุมตัวที่ ตม.พบว่าผู้ต้องหามีอาการเครียดและไม่ยอมทานอะไรเลย แต่เมื่อทางเจ้าหน้าที่ได้พาผู้หญิงชาวไทยที่รู้จักกันตั้งแต่พัทยามาเยี่ยม ก็เริ่มมีอาการดีขึ้นและยอมทานอาหารแล้ว ส่วนเรื่องการจะส่งตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีที่ สน.คลองตัน ต้องรอการทำสำนวนขอตัวไปสอบปากคำ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการขอตัวไปดำเนินคดี

****ไม่ยืนยันเป้าหมาย รมว.กลาโหมยิว**

เมื่อถามว่าเป้าหมายที่รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ข้อมูลนี้ไม่ทราบ แต่เป้าการก่อเหตุเป็นตัวบุคคล อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางสถานทูตอิสราเอลหยุดทำการ และตำรวจได้ส่งกำลังไปดูแลทุกจุดแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพุ่งเป็นบุคคล ไม่เจตนาทำร้ายคนไทย ไม่เกี่ยวกับคนไทย ประเทศไทย เพราะไทยมีสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศ เรื่องนี้มีเป้าเจาะจง มองเป็นเรื่องส่วนตัวก็ว่ากันไป

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า นายเอฮุด บารัก รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล มีกำหนดเยือนประเทศไทยในวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ได้ยกเลิกกำหนดการทั้งหมด หลังเกิดเหตุระเบิด 3 จุดในกรุงเทพฯ เพียงวันเดียว

*****ค้น 'นาซ่าเวกัส'คลองตันพบวัสดุต้องสงสัย

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจ และเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ อีโอดี เข้าตรวจสอบห้องเลขที่ 409 อาคารเวกัส นาซ่า ทาวเวอร์ ถนนรามคำแหง ย่านคลองตัน ภายหลังสืบทราบว่า นางโรฮานี่ ไลลา ผู้ต้องหาในคดีระเบิด 3 จุด ย่านซอยสุขุมวิท 71 ที่ยังหลบหนีอยู่นั้น ได้เข้ามาเช่าห้องพักดังกล่าวไว้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ใช้เวลาในการเข้าตรวจสอบห้องพักดังกล่าว ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยภายในห้องพักนั้น มีสภาพที่รก และเต็มไปด้วยเศษขยะจำนวนมาก ขณะเดียวกันพบว่า มีเสื้อผ้าของผู้ชาย เบ็ดตกปลา รวมไปถึงวัสดุต้องสงสัย ที่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อยู่ภายในห้องดังกล่าวด้วย แต่ไม่พบสารประกอบวัตถุระเบิดแต่อย่างใด

พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนั้น จะได้ทำการตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง และดีเอ็นเอ ที่ติดอยู่ภายในห้องพัก และวัสดุต้องสงสัยอย่างละเอียด เพื่อรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบในที่ประชุมวันพรุ่งนี้

**ฑูตอินเดียพบผบ.ตร.ขอข้อมูลระเบิด**

เวลา 15.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอะนิล วาธวา (Mr.Anil Wadhwa) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ที่ห้องรับรอง อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยใช้เวลาการพูดคุยประมาณ 20 นาที

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า เอกอัครราชทูตอินเดียได้เข้าพบเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นภายใน ซ.ปรีดีพนมยงค์ 31 และ 35 รวมทั้งขอความร่วมมือในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งก็ได้แจ้งให้นายอะนิล ว่า ลักษณะการก่อเหตุคล้ายกับที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย และจอร์เจีย โดยมีการนำแม่เหล็กติดกับระเบิดเพื่อติดกับตัวรถ ขณะเดียวกันข้อมูลบางอย่างที่ทางการไทยและสถานทูตอินเดียมีก็เชื่อมโยงกัน ซึ่งทางสถานทูตมีทีมสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้เหมือนกันด้วย ทั้งนี้ ทางตำรวจก็จะให้ข้อมูลดังกล่าวผ่านทางกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

**อัยการยังไม่ได้รับเรื่องขอตัว**

นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือจาก สตช.ในการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน ชาวอิหร่านที่ถูกออกหมายจับและหลบหนีไปกบดานยังประเทศมาเลเซีย โดยสามารถดำเนินการได้ 2 ทางเลือก คืออาจใช้วิธีขอให้ส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนสัญญาระหว่างไทยกับอังกฤษ ซึ่งอังกฤษเคยปกครองมาเลเซียมาก่อน หรือใช้วิธีทางการทูตโดยใช้หลักต่างตอบแทน ซึ่งอัยการสูงสุดจะดำเนินการประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศของไทยถึงกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 อย่างไรก็ตาม คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการรวบรวมหลักฐาน เพื่อร่างหนังสือถึงรัฐบาลมาเลเซีย

พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ ผบช.สตม.เปิดเผยถึงกรณี นางโรฮานี ไลล่า ผู้ที่ได้มาเช่าบ้านพักให้ชาวอิหร่านว่า ขณะนี้ทราบว่าผู้ต้องหาได้อยู่ในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่านแล้ว ส่วนของการดำเนินคดีไม่สามารถตามจับกุมได้ เนื่องจากไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศอิหร่าน แต่เชื่อว่าไม่มีผลต่อรูปคดี เพราะนางไลล่า เป็นเพียงผู้ติดเช่าบ้านให้กับผู้ต้องหาทั้งสาม

**ฑูตสหรัฐฯพบ ผบ.สส.**

วันเดียวกันเวลา 14.00 น.ที่กองบัญชาการกองทัพไทย นางคริสตี เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อการหารือถึงเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น หลังหารือเวลา 15.00 น. นางคริสตี เคนนีย์ เปิดเผยว่า การมาพบปะกันครั้งนี้ เพื่อมาคารวะ ผบ.ทหารสูงสุด ในฐานะที่รับตำแหน่ง ซึ่งการพบปะเป็นไปด้วยดี นอกจากนี้ได้ขอบคุณ ผบ.สส. ถึงความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ได้มีการพูดคุยกับ ผบ.สส.ถึงเหตุการณ์ระเบิดที่ผ่านมา ว่าทางสหรัฐอเมริกาขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งได้บอกกับ ผบ.สส.ว่าสหรัฐอเมริกายินดีที่จะเคียงข้างไทย และช่วยเหลือไทย ส่วนสหรัฐอเมริกาจะส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยสืบสวนสอบสวนหรือไม่นั้น ต้องรอดูก่อนว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรัปบระเทศไทย และการสอบสวนก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ไทยเป็นแกนนำหลัก ตอนนี้ถือว่าเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการก่อการร้าย เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งการสอบสวนก็ควรจะดำเนินการต่อไป

นางคริสตี้ กล่าวเชื่อมั่นว่า เจ้าหน้าที่ของไทยจะสืบสวนสอบสวนคดีนี้ได้ ทั้งนี้ทาง บางรัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และเจ้าหน้าที่สหรัฐทราบเรื่องนี้ดี ซึ่งไทยกับสหรัฐ เป็นเพื่อนสนิทกันจะต้องดำเนินการให้การช่วยเหลือต่อไป ส่วนสาเหตุที่มีการก่อเหตุในภูมิภาคนี้ ทั้งๆ ที่ภูมิภาคนี้มีความปลอดภัยที่สุดนั้น เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ไทยที่จะต้องเป็นฝ่ายสืบสวน ทั้งนี้ไม่เคยคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลกนี้

**รบ.แจงสภายันตปท.ยังเชื่อมั่นไทย**

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ เป็นประธานที่ประชุม สมาชิกสภาฯ ได้แก่ นายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามสด เกี่ยวกับเหตุระเบิดกลางเมือง เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา โดย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ฐานะรักษาราชการแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจง

นายธนา สอบถามว่าเหตุระเบิดกลางเมืองที่ผ่านมานั้น รัฐบาลให้คำตอบได้หรือไม่ว่า เป็นฝีมือโจรกระจอก หรือ ขบวนก่อการร้าย ตามที่หลายประเทศได้แจ้งเตือนพลเมืองในประเทศ ไม่ให้เดินทางมายังประเทศไทย

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ชี้แจงว่า เหตุการณ์ระเบิดกลางเมืองที่เกิดขึ้นนั้นไม่เกี่ยวกับการก่อการร้าย โดยขบวนการอิซบัลเลาะห์ เพราะเหตุที่เกิดขึ้นนั้นมุ่งเป้าไปที่ตัวบุคคล และผู้ก่อการระเบิดกลางเมืองนั้นเป็นบุคคลคนละสัญชาติกัน ส่วนจะเป็นบุคคลสัญชาติอิหร่านจริงหรือไม่ เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง และที่สำคัญวัตถุที่นำมาประกอบระเบิดนั้นไม่ใช่ประเภทเดียวกันกับที่กลุ่มอิซบัลเลาะห์ใช้ ทั้งนี้เมื่อเกิดเหตุระเบิดกลางเมือง ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยในพื้นที่ของประเทศไทย รัฐบาลจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคนเข้าเมือง ดูแลสถานกาณ์โดยรอบกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่พื้นที่เข้า-ออกกับต่างประเทศ

**"สุรพงษ์"ยันไม่โยงเหตุที่อินเดีย**

ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงเสริมว่า ตนไม่อยากให้โยง 2 ประเด็นเป็นเรื่องเดียวกันเพราะเป็นคนละสัญชาติ และไม่สำคัญ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิดที่ประเทศอินเดีย ที่ผู้ก่อการร้ายนำระเบิดติดแม่เหล็กไปแปะไว้ที่รถทูต

นายสุรพล แสงหัตถวัฒนา ที่ปรึกษาสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ผู้มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการระบุว่า เหตุระเบิดที่เกิดเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข่าวว่าทางการ อิสราเอล และ สหรัฐ ได้แจ้งเตือนประเทศไทยมาก่อนหน้านี้ เป็นเพียงการคาดการจากสถานการณ์ เพราะในห้วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่อดีตผู้นำ กลุ่มก่อการร้ายฮิซบอลเลาะห์ถูกรอบสังหารจึงมีการแจ้งเตือนเหตุก่อวินาศกรรม เพื่อการแก้แค้นให้กับสมาชิกภายในกลุ่มไม่ใช่ความแม่นยำของการข่าวแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่กลุ่มก่อการร้ายใช้ประเทศไทยในการเคลื่อนไหวบ่อยขึ้นนั้น ที่ปรึกษาสำนักงานข่าวกรองชี้แจงว่า เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวมีผู้คนเดินทางเข้าออก กว่าปีละ 10 ล้านคน จึงยากต่อการตรวจสอบ ขณะที่บุคคลทั้ง 3 ที่สามารถเดินทางเข้ามาก่อเหตุดังกล่าวในกรุงเทพมหานครได้นั้น ทางตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้ตรวจสอบประวัติแล้วพบว่าไม่เคยมีประวัติการก่ออาชญากรรมจึงอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศได้

ด้านนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันกับกรรมาธิการต่างประเทศว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นมีเป้าประสงค์ที่ตัวบุคคลมากกว่าการก่อวินาศกรรม แต่เบื้องต้นยังไม่พบข้อมูลถึงการเชื่อมโยงกับ นายอาทริส ฮุสเซน ชายชาวเลบานอน สัญชาติสวีเดน ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ ส่วนจะเชื่อมโยงไปถึงกรณีการก่อวินาศกรรมในอินเดียและจอร์เจียด้วยหรือไม่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน

โดยล่าสุด มีประเทศที่ออกประกาศเตือนถึงเหตุการณ์ในไทยแล้วรวมเป็น 14 ประเทศ ได้แก่ ประเทศแคนนาดา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ไอซ์แลนด์ ออสเตรีย เนเธอแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บราซิล นิวซีแลนด์ อิตาลี นอร์เว อิสลาเอล และไต้หวัน

**“ชุมพล”ชี้กระทบท่องเที่ยวระยะสั้น**

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า จะส่งผลระยะสั้นเท่านั้น เพราะข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็ยังไม่พัฒนาไปเป็นกรณีก่อการร้ายหรือจะเอาบ้านเราเป็นที่ผลิตวัตถุดิบแล้วไปก่อเหตุที่อื่น และขณะนี้ไม่มีประเทศไหนประกาศห้ามคนของเขาเข้าประเทศไทย

อย่างไรก็ตามทางกระทรวงการท่องเที่ยว ต้องชะลอแผนการผลักดันการอำนวยความสะดวกในการขอรับการตรวจลงตราประทับในการท่องเที่ยวที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง(วีซ่า ออน อาไรเวิล)ของนักท่องเที่ยวชาวอิหร่านที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ในส่วนประเทศอื่นๆที่ได้ให้อนุญาตไปแล้วจำนวนมากนั้นก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ยังคงเดินทางเข้ามาบ้านเราได้ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหา เพราะฝ่ายความมั่นคง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจ ทหาร ท้องถิ่น ดูแลช่วยกันอยู่และต้องตรวจสอบว่าผู้ต้องหาถือพาสปอร์ตปลอมหรือไม่

**"พัลลภ"หยันบึ้มกรุงเรื่องจิ๊บจ๊อย**

ที่ จ.ลพบุรี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดว่า ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเป้าหมายในการก่อการร้าย แต่เป็นที่สะสมของกลุ่มคน และวัตถุเครื่องมือ เพราะประเทศไทยค่อนข้างเสรีง่ายต่อการเข้าออก ซึ่งสิ่งที่ควรระวัง คือ เจ้าหน้าที่ต้องเข้มงวดมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ชี้ให้เห็นการข่าวมีความบกพร่องหรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่บกพร่อง เพราะวัตถุระเบิดที่พบถือว่าเล็กน้อย ไม่ใช่ขนาดใหญ่เป็นตัน จึงเป็นธรรมดาที่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ก็ติดตามอยู่ แต่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้ทำให้ประเทศมีปัญหาแต่อย่างใด

** เลขาฯอังค์ถัดแนะไทยตรวจเข้ม**

นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด ได้ร่วมฟังปาฐกถาหัวข้อ เศรษฐกิจพอเพียงกับแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืน

โดยนายศุภชัย กล่าวถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า สะท้อนให้เห็นถึงภาวะความตึงเครียดของเศรษฐกิจ และการเมืองของโลก ไม่ได้เป็นปัญหาภายในประเทศไทย เกิดจากบุคคลภายนอกเข้ามาสร้างสถานการณ์ ซึ่งประเทศไทยต้องยืนหยัดในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ และต้องเร่งดำเนินการเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของต่างชาติ โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดจากการท่องเที่ยว

นายศุภชัย กล่าวเสนอให้ประเทศไทยเพิ่มมาตรการตรวจสอบนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยให้เข้มงวดขึ้น ซึ่งอาจจะกระทบต่อความไม่สะดวกในช่วงแรก แต่เชื่อว่านักท่องเที่ยวจะเข้าใจสถานการณ์ เหมือนกับช่วงที่สหรัฐฯ เกิดเหตุก่อการร้าย และมีการใช้มาตรการเข้มงวดในการตรวจคนเข้า-ออก แต่หลังจากเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติจึงค่อยผ่อนคลายมาตรการลง

นอกจากนี้ ควรเพิ่มมาตรการในการดูแลความปลอดภัยระดับสูงสุด ให้กับนักการเมืองระดับโลกที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย สำหรับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเชื่อว่า ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจไทยค่อยๆปรับตัวดีขึ้น และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงมาเที่ยวไทย เพราะประเทศในตะวันออกกลางมีปัญหา แต่ไทยยังต้องเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจด้วย

**อาการมือบึ้มรู้สึกตัวดีไม่ติดเชื้อ

ที่ตึก สกโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รศ.นพ.ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารรพ.จุฬาลงกรณ์ พร้อมคณะแพทย์ พยาบาล ได้เปิดแถลงข่าวความคืบหน้าอาการของผู้ป่วยถูกระเบิดว่า อาการของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดเป็นวันที่ 2 ผู้ป่วยมีสัญญาณชีพคงที่ การทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตปกติ ยังมีท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ มีความรู้สึกตัวดี สามารถลืมตาเมื่อเรียก และพยายามขยับตัวเมื่อได้รับการกระตุ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมีไข้สูงแต่ไม่มีอาการติดเชื้อของแผลผ่าตัดหรือระบบอื่นๆ ส่วนระบบทางเดินอาหารยังไม่ทำงาน จึงเริ่มให้สารอาหารทางหลอดเลือด

**กทม.พร้อมติดกล้องซีซีทีวีเพิ่ม

วันเดียวกัน ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า กทม. พร้อมที่จะสนับสนุนหน่วยงานดังกล่าวอย่างเต็มที่ พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงขอให้มั่นใจหน่วยงานความมั่นคง มั่นใจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมั่นใจในความพร้อมของกทม.ที่พร้อมจะสนับสนุนทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ รวมทั้งการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) เพิ่มเติมในจุดเสี่ยงในกรณีที่รัฐบาลหรือหน่วยงานความมั่นคงร้องขอ โดยตนจะไม่ยอมให้งบประมาณมาเป็นอุปสรรคในการดำเนินการ หากจำเป็นต้องสำรองจ่ายก็จะต้องจ่าย เพราะเงินหาเพิ่มเติมได้ แต่ชีวิตนั้นหาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม วันที่16 ก.พ. จะมีการประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกรุงเทพมหานคร (กอ.รมน.กทม.) ซึ่งจะได้รับรายงานเบื้องต้นว่าผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์จะขยายวงกว้างหรือเกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วจบ เพื่อจะได้กำหนดทิศทางการป้องกันต่อไป

***กมธ.โชว์โง่!สรุปบึ้มเป็นอุบัติเหตุ โยงต่อต้านวาเลนไทน์

ที่รัฐสภา นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อม น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษก กมธ.แถลงผลประชุม กมธ.เพื่อพิจารณากรณีเหตุระเบิดถนนสุขุมวิท 71 (ซอยปรีดี พนมยงค์) โดยได้เชิญผู้แทนหน่วยงานความมั่นคง อาทิ สมช. สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) มาชี้แจง

นายสุนัย ยืนยันว่า เหตุดังกล่าวไม่ใช่การก่อการร้าย และไม่เชื่อมโยงกับคำเตือนก่อการร้ายของอิสราเอล แต่เป็นเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดระเบิดขึ้น แต่ยอมรับว่า เป็นความหย่อนยานของมาตรการรักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ กมธ.จะเชิญนักประวัติศาสตร์มาเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางศาสนา กรณีอิหร่าน-เลบานอน-อิสราเอล-สหรัฐฯ-อังกฤษ ซึ่งเป็นที่ทราบในทางประวัติศาสตร์ถึงการต่อต้านเทศกาลวาเลนไทน์ของคริสเตียนโดยฝ่ายอาหรับ ที่ไม่ยอมรับในเรื่องนักบุญวาเลนไทน์ เพราะในอดีตเป็นพันๆ ปีก่อนมีการฆ่ากันในเรื่องความเชื่อทางศาสนา

ขณะที่ น.ส.จารุพรรณ เสริมว่า ในที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ข้อมูลการเฝ้าระวังการก่อการร้ายทั่วโลกในช่วงวันที่ 10-15 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งเป็นข้อมูลที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมการป้องกัน โดยเป็นเรื่องมูลเหตุของความเชื่อ เนื่องจากช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ในอิหร่านเองก็มีการประท้วงต่อต้านทุกปี และมีความเชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวทั่วโลก ซึ่งผู้เกี่ยวข้องเล่าให้ฟังถึงประวัติศาสตร์เทศกาลวาเลนไทน์ ที่มุสลิมและอาหรับต่อต้านประเพณีดังกล่าวของชาวคริสเตียน ซึ่งยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงเทศกาลดังกล่าว โดยเฉพาะล่าสุดกรณีเกิดเหตุการณ์ที่อินเดีย และ จอร์เจีย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ซึ่งในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศไทย ได้เชิญ กมธ.รับประทานอาหารกลางวันเพื่ออธิบายรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง โดย กมธ.จะได้ซักถามถึงแง่มุมทางประวัติศาสตร์เพิ่มเติมด้วย ส่วนจะต้องเตือนวันวาเลนไทน์เป็นวันเฝ้าระวังเหตุการณ์ร้ายในประเทศไทยทุกปีหรือไม่ ต้องรอฟังข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ที่จะเชิญมาให้ข้อมูลก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น