วานนี้ ( 9 ก.พ.) ศาลปกครองกลางนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา คดีที่ นายขวัญแก้ว วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง นพ.สงคราม ทรัพย์เจริญ แพทย์หลวง อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประชาชนที่อยู่อาศัยในซอยร่วมฤดี รวมทั้งสิ้น 24 ราย ซึ่งได้มอบอำนาจให้ นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นฟ้อง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตปุทมวัน ต่อศาลปกครองกลาง ในฐานะเป็นผู้บริหารราชการในราชการส่วนท้องถิ่น และเป็นผู้ใช้อำนาจหรือ ออกคำสั่งทางปกครองในเขตปกครองท้องที่ สำนักงานเขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และยังเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยออกเอกสารรับรองความกว้างของถนนซอยร่วมฤดี เกินกว่าความเป็นจริง และปล่อยให้เอกชน คือ บริษัท ลาภประทาน จำกัด และบริษัท ทับทิมทร จำกัด ผู้ประกอบการโรงแรมดิเอทัส ก่อสร้างอาคารสูงใหญ่เกินกว่ากฎหมายกำหนด ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชน ที่พักอาศัยในซอยร่วมฤดี รวมถึงปัญหาอัคคีภัย และการจราจรที่แออัด จนทำให้ประชาชนเกิดความไม่ปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สิน โดยได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 ก.ย.51
ศาลได้พิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานที่ผู้ฟ้อง และผู้ถูกฟ้องได้นำเสนอแล้วพิจารณาเห็นว่า ซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ และเป็นสถานที่ตั้งอาคารที่พิพาท มีความกว้างไม่ถึง 10 เมตร ตลอดแนวจริง ตามข้อมูลการรังวัดของกรมที่ดิน ซึ่งได้ทำการรังวัดรังวัด สอบเขตทางตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 53 จึงเป็นการขัดกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ในข้อ 2 ออกตามความในพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ห้ามมิให้มีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ และได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีคือ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตปุทมวัน ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง
นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า การที่กฎหมายกำหนดห้ามมิให้มีการก่อสร้างอาคารสูง และมีขนาดใหญ่บนถนนที่มีความกว้างไม่ถึง 10 เมตร ตลอดแนวนั้น เนื่องจากกฎหมายนี้ มีเจตนารมณ์ เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร
" เนื่องจากอาคารที่เป็นข้อพิพาทได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้นเรียบร้อย และเปิดดำเนินกิจการเป็นโรงแรมแล้วในขณะนี้ จึงน่าจะเข้าข่ายในกรณีที่เป็นอาคารที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ กทม.และสำนักงานเขตปทุมวัน จะต้องใช้อำนาจหน้าที่ตาม มาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่จะสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมด หรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่า 30 วัน หากไม่มีการรื้อถอนตามคำสั่ง สำนักงานเขตฯ มีอำนาจขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุม และกักขังบุคคลซึ่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งได้ และดำเนินการ หรือจัดให้มีการรื้อถอนอาคารดังกล่าวได้เอง โดยที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบและคำนวณอาคาร ผู้ควบคุมงาน และผู้ดำเนินการ จะต้องร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งหมด” นายเฉลิมพงษ์ หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว
ศาลได้พิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานที่ผู้ฟ้อง และผู้ถูกฟ้องได้นำเสนอแล้วพิจารณาเห็นว่า ซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ และเป็นสถานที่ตั้งอาคารที่พิพาท มีความกว้างไม่ถึง 10 เมตร ตลอดแนวจริง ตามข้อมูลการรังวัดของกรมที่ดิน ซึ่งได้ทำการรังวัดรังวัด สอบเขตทางตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 53 จึงเป็นการขัดกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ในข้อ 2 ออกตามความในพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ห้ามมิให้มีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ และได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีคือ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตปุทมวัน ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง
นายเฉลิมพงษ์ กลับดี หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า การที่กฎหมายกำหนดห้ามมิให้มีการก่อสร้างอาคารสูง และมีขนาดใหญ่บนถนนที่มีความกว้างไม่ถึง 10 เมตร ตลอดแนวนั้น เนื่องจากกฎหมายนี้ มีเจตนารมณ์ เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัย การสาธารณสุข การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร
" เนื่องจากอาคารที่เป็นข้อพิพาทได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้นเรียบร้อย และเปิดดำเนินกิจการเป็นโรงแรมแล้วในขณะนี้ จึงน่าจะเข้าข่ายในกรณีที่เป็นอาคารที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ กทม.และสำนักงานเขตปทุมวัน จะต้องใช้อำนาจหน้าที่ตาม มาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่จะสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการรื้อถอนอาคารนั้นทั้งหมด หรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่า 30 วัน หากไม่มีการรื้อถอนตามคำสั่ง สำนักงานเขตฯ มีอำนาจขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุม และกักขังบุคคลซึ่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งได้ และดำเนินการ หรือจัดให้มีการรื้อถอนอาคารดังกล่าวได้เอง โดยที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบอาคาร ผู้รับผิดชอบงานออกแบบและคำนวณอาคาร ผู้ควบคุมงาน และผู้ดำเนินการ จะต้องร่วมกันเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งหมด” นายเฉลิมพงษ์ หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว