ASTVผู้จัดการรายวัน-“สภา”ผ่าน พ.ร.ก. 2 ฉบับ 262 เสียง ปชป.วอล์คเอาท์ “ปู” หวัง 2 ฉบับที่เหลือไม่สะดุด ศาลรธน.รับเรื่องกรณีส.ว.ยื่นขอตีความพ.ร.ก.โอนหนี้ฯ ขัดรธน. “มาร์ค”โวยถูกกล่าวหาขวางการแก้ปัญหาน้ำ “โต้ง” ไม่สนเร่งเบิกจ่าย 1.5 แสนล้านแก้ปัญหาน้ำปีนี้
วานนี้(2 ก.พ.55)นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 11.00 น. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับเรื่องที่ประธานวุฒิสภายื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย กรณี นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.และคณะ 69 คน ส่งตีความเห็นว่า พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพ.ศ. 2555 เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน อันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรคสองหรือไม่
**สภาผ่าน 262 เสียง ปชป.วอล์คเอาท์
วันเดียวกัน ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก 263 เสียง อนุมัติพ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 และ อนุมัติพ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยพ.ศ.2555 ด้วยคะแนน 262 เสียง จากนั้นนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาฯในฐานะประธานการประชุมได้สั่งปิดประชุมในเวลา 14.30 น.
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการลงมติได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายระหว่างการประชุม จนกระทั่งสส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินออกจากห้องประชุมสภาฯ เนื่องจากไม่พอใจกับการเสนอญัตติปิดอภิปรายของนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย เพราะต้องการตอบโต้หลังจากนายบุญยอด สุขถิ่นไทย สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอนับองค์ประชุมเนื่องจากไม่เห็นรัฐมนตรีคนใดมารับฟังคำอภิปรายเกี่ยวกับพ.ร.ก.
นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสส.ที่กำลังรอคิวอภิปราย ในที่นี้ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่การที่นายบุญยอดเสนอนับองค์ประชุมผ่ากลางปล้องแบบนี้ก็สมควรที่จะโดนยาแรงด้วยการขอเสนอปิดอภิปราย
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายแสดงความไม่พอใจว่า ในเมื่อฝ่ายรัฐบาลใช้เสียงข้างมากปิดปากสส.ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนโดยไม่สนใจและให้ความสำคัญกับเสียงข้างน้อย ฝ่ายค้านจึงขอไม่เข้าร่วมสังฆกรรมในการลงมติเกี่ยวกับพ.ร.ก.ทั้งสองฉบับและจะเดินออกจากห้องประชุมสภาฯ
** “ปู” หวังไม่สะดุดศาลรธน.
เวลา 14.50 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภาถึงพระราชกำหนด 2 ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ยังเหลือพระราชกำหนดอีก 2 ฉบับยังไม่ผ่านว่า ก็คงต้องรอก่อนและต้องเคารพกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็จะพยายาม ใจก็อยากจะได้รับการพิจารณาเร็วๆเพราะจะได้เดินหน้าเรื่องของน้ำ ส่วนการวอล์คเอ้าท์จากห้องประชุมสภาของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นเรื่องของข้อถกเถียงในห้องประชุมมากกว่า เรื่องของการจะนับองค์ประชุมไม่เป็นประเด็น
"จากที่ฟังก็เห็นว่าเห็นด้วยในเรื่องของการออก พ.ร.ก.และเห็นด้วยในเรื่องของการนำเงินต่างๆมาช่วยเหลือประชาชนในส่วนเอสเอ็มอีที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจริงๆ เพราะว่าเขาก็มีภาระ รวมถึงดอกเบี้ยที่สูงก็จะได้ช่วยพยุงในส่วนนี้ แต่ส่วนของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพเพียงพอ และธนาคารต่างๆก็มีการประสานเรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อว่าอย่างน้อยพ.ร.ก. 2 ฉบับที่ผ่านสภา ก็จะช่วยในเบื้องต้น แต่คงต้องรวมทั้ง 4 ฉบับเพราะเป็นเรื่องที่สอดคล้องกันไป" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ต่างจังหวัดในส่วนของการแก้ไขปัญหาน้ำก็คงจะดูตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่จะนำแผนจากกยน.ลงไปในแต่ละจังหวัดที่ดูข้อเท็จจริง แต่เบื้องต้นก็สั่งการไปหมดแล้วจากการที่อนุมัติงบประมาณและแผนต่างๆ
**โต้ง ไม่สนเร่งเบิกจ่าย 1.5 แสนล้าน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำนั้น จะยังคงต้องเดินหน้าต่อไป หลังผ่านขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภา โดยงบประมาณลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กว่า 3.5 แสนล้านบาท คาดว่า จะมีการเบิกจ่ายประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ส่วนการจัดทำงบประมาณ ประจำปี 2556 มองว่า น่าจะมีการขาดดุลงบประมาณลดลงกว่าที่กำหนดไว้จากปีที่ผ่านมา ส่วนจะกลับมาเป็นงบสมดุลเมื่อไหร่นั้น คงต้องพิจารณาตามภาวะเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม งบประมาณด้านการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจาก งบประมาณประเทศไทย มีงบลงทุนลดลงตามลำดับ ซึ่งงบลงทุนในประเทศ ควรต่ำกว่าร้อยละ 25
นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านแสดงความไม่เห็นด้วยถึงการออกพระราชกำหนด เนื่องจากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน อีกทั้งยังมีการตั้งงบประมาณกลางปี 2555 เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแล้วนั้น ด้าน นายกิตติรัตน์ ยืนยันว่า งบดังกล่าวมีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากต้องแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยพร้อมที่จะลงทุนฟื้นฟูประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อไป ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการใดๆ เกิดขึ้น นักลงทุนก็อาจจะหมดความเชื่อมั่น รวมไปถึงอาจย้ายฐานการผลิตในอนาคตก็เป็นได้
**"มาร์ค"โวยถูกกล่าวหาขวางแก้ปัญหา
ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงคำชี้แจงของรัฐบาลต่อสภาเกี่ยวกับ พ.ร.ก.กองทุนประกันภัย และพ.ร.ก.ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 3 แสนล้านบาทว่า เป็นความพยายามที่จะชี้แจงในลักษณะเหมือนต่อสู้คดีในสภา ทั้ง ๆ ที่พ.ร.ก. 2 ฉบับที่ฝ่ายค้านยื่นตีความ คือ พ.ร. ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟู และ พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทนั้น ไม่ได้อยู่ในวาระการพิจารณาของสภา ซึ่งทางรัฐบาลกำลังสร้างความสับสน เพราะสิ่งที่ชี้แจงก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากรัฐบาลมีงบประมาณที่ทำเรื่องน้ำท่วมในมือสามารถ นำมาใช้ได้เกือบ2 แสนล้านบาท เฉพาะงบกลาง 1.2 แสนล้านบาทงบกลางของนายกฯอีก 6 หมื่นล้านบาท และงบท้องถิ่นอีก 1 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดเป็นงบสามารถใช้เรื่องการเยียวยาและทำแผนที่จะต้องเนินการโครงสร้างพื้นฐานตามที่ กยน.กำหนดที่จะใช้เงิน 5 หมื่นล้านบาท
ส่วนที่จำเป็นต้องกู้เงินจริง ๆ ยังไม่จำเป็นต้องทำขณะนี้ ฝ่ายค้านเห็นว่าการที่รัฐบาลอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 184 มาตราพระราชกำหนด จึงไม่เข้าข่ายตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญเพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน และเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่รัฐบาลจะอ้างว่าหากน้ำท่วมเป็นความผิดของกระบวนการตีความกฎหมาย 2 ฉบับนี้ก็ไม่เป็นความจริง เพราะยังไม่มีโครงการไหนจะทำให้เสร็จก่อนน้ำมาที่ไม่สามารถจัดงบประมาณได้ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงิน แต่อยู่ที่การลงมือทำในโครงการที่มีงบประมาณในมืออยู่แล้วว่ายงไม่ได้เริ่มต้น ซึงประชาชนในพื้นที่ก็รอคอยอยู่
"รัฐบาลพยายามโทษฝ่ายค้าน ว่าไปขัดขวางการแก้ปัญหาของรัฐบาล การทำเช่นนี้คือการเล่นการเมือง ผมเห็นนายกฯพูดว่าไม่อยากให้เอาเรื่องน้ำมาเล่นการเมือง แต่นี่คือการเล่นการเมืองอย่างแท้จริงโดยรัฐบาล ผมคิดว่าคำชี้แจงของร.ต.อ.เฉลิมเมื่อวานนี้ มีความพยายามที่จะกดดันศาลรัฐธรรมนูญ เป็นแนวทางที่ฝ่ายนี้ใช้มาโดยตลอด ซึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแต่ผมมั่นใจว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตามข้อเท็จจริง ซึ่งคิดว่าร.ต.อ.เฉลิมเองก็คงมีความกังวลว่ามีปัญหาข้อกฎหมายจริง ๆ จึงพยายามกดดันไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ " นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเคารพคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่า ผลการตัดสินจะออกอย่างไร หากศาลวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญก็ควรปรับปรุงแก้ไข ไม่ใช่ปลุกระดมเรื่องสองมาตรฐานขึ้นมาอีก
วานนี้(2 ก.พ.55)นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 11.00 น. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับเรื่องที่ประธานวุฒิสภายื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย กรณี นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.และคณะ 69 คน ส่งตีความเห็นว่า พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพ.ศ. 2555 เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน อันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรคสองหรือไม่
**สภาผ่าน 262 เสียง ปชป.วอล์คเอาท์
วันเดียวกัน ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก 263 เสียง อนุมัติพ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 และ อนุมัติพ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยพ.ศ.2555 ด้วยคะแนน 262 เสียง จากนั้นนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาฯในฐานะประธานการประชุมได้สั่งปิดประชุมในเวลา 14.30 น.
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการลงมติได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายระหว่างการประชุม จนกระทั่งสส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินออกจากห้องประชุมสภาฯ เนื่องจากไม่พอใจกับการเสนอญัตติปิดอภิปรายของนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย เพราะต้องการตอบโต้หลังจากนายบุญยอด สุขถิ่นไทย สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอนับองค์ประชุมเนื่องจากไม่เห็นรัฐมนตรีคนใดมารับฟังคำอภิปรายเกี่ยวกับพ.ร.ก.
นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสส.ที่กำลังรอคิวอภิปราย ในที่นี้ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่การที่นายบุญยอดเสนอนับองค์ประชุมผ่ากลางปล้องแบบนี้ก็สมควรที่จะโดนยาแรงด้วยการขอเสนอปิดอภิปราย
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายแสดงความไม่พอใจว่า ในเมื่อฝ่ายรัฐบาลใช้เสียงข้างมากปิดปากสส.ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนโดยไม่สนใจและให้ความสำคัญกับเสียงข้างน้อย ฝ่ายค้านจึงขอไม่เข้าร่วมสังฆกรรมในการลงมติเกี่ยวกับพ.ร.ก.ทั้งสองฉบับและจะเดินออกจากห้องประชุมสภาฯ
** “ปู” หวังไม่สะดุดศาลรธน.
เวลา 14.50 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภาถึงพระราชกำหนด 2 ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ยังเหลือพระราชกำหนดอีก 2 ฉบับยังไม่ผ่านว่า ก็คงต้องรอก่อนและต้องเคารพกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็จะพยายาม ใจก็อยากจะได้รับการพิจารณาเร็วๆเพราะจะได้เดินหน้าเรื่องของน้ำ ส่วนการวอล์คเอ้าท์จากห้องประชุมสภาของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นเรื่องของข้อถกเถียงในห้องประชุมมากกว่า เรื่องของการจะนับองค์ประชุมไม่เป็นประเด็น
"จากที่ฟังก็เห็นว่าเห็นด้วยในเรื่องของการออก พ.ร.ก.และเห็นด้วยในเรื่องของการนำเงินต่างๆมาช่วยเหลือประชาชนในส่วนเอสเอ็มอีที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจริงๆ เพราะว่าเขาก็มีภาระ รวมถึงดอกเบี้ยที่สูงก็จะได้ช่วยพยุงในส่วนนี้ แต่ส่วนของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพเพียงพอ และธนาคารต่างๆก็มีการประสานเรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อว่าอย่างน้อยพ.ร.ก. 2 ฉบับที่ผ่านสภา ก็จะช่วยในเบื้องต้น แต่คงต้องรวมทั้ง 4 ฉบับเพราะเป็นเรื่องที่สอดคล้องกันไป" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ต่างจังหวัดในส่วนของการแก้ไขปัญหาน้ำก็คงจะดูตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่จะนำแผนจากกยน.ลงไปในแต่ละจังหวัดที่ดูข้อเท็จจริง แต่เบื้องต้นก็สั่งการไปหมดแล้วจากการที่อนุมัติงบประมาณและแผนต่างๆ
**โต้ง ไม่สนเร่งเบิกจ่าย 1.5 แสนล้าน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำนั้น จะยังคงต้องเดินหน้าต่อไป หลังผ่านขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภา โดยงบประมาณลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กว่า 3.5 แสนล้านบาท คาดว่า จะมีการเบิกจ่ายประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ส่วนการจัดทำงบประมาณ ประจำปี 2556 มองว่า น่าจะมีการขาดดุลงบประมาณลดลงกว่าที่กำหนดไว้จากปีที่ผ่านมา ส่วนจะกลับมาเป็นงบสมดุลเมื่อไหร่นั้น คงต้องพิจารณาตามภาวะเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม งบประมาณด้านการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจาก งบประมาณประเทศไทย มีงบลงทุนลดลงตามลำดับ ซึ่งงบลงทุนในประเทศ ควรต่ำกว่าร้อยละ 25
นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านแสดงความไม่เห็นด้วยถึงการออกพระราชกำหนด เนื่องจากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน อีกทั้งยังมีการตั้งงบประมาณกลางปี 2555 เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแล้วนั้น ด้าน นายกิตติรัตน์ ยืนยันว่า งบดังกล่าวมีความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากต้องแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยพร้อมที่จะลงทุนฟื้นฟูประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อไป ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการใดๆ เกิดขึ้น นักลงทุนก็อาจจะหมดความเชื่อมั่น รวมไปถึงอาจย้ายฐานการผลิตในอนาคตก็เป็นได้
**"มาร์ค"โวยถูกกล่าวหาขวางแก้ปัญหา
ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงคำชี้แจงของรัฐบาลต่อสภาเกี่ยวกับ พ.ร.ก.กองทุนประกันภัย และพ.ร.ก.ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 3 แสนล้านบาทว่า เป็นความพยายามที่จะชี้แจงในลักษณะเหมือนต่อสู้คดีในสภา ทั้ง ๆ ที่พ.ร.ก. 2 ฉบับที่ฝ่ายค้านยื่นตีความ คือ พ.ร. ก.โอนหนี้กองทุนฟื้นฟู และ พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทนั้น ไม่ได้อยู่ในวาระการพิจารณาของสภา ซึ่งทางรัฐบาลกำลังสร้างความสับสน เพราะสิ่งที่ชี้แจงก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เนื่องจากรัฐบาลมีงบประมาณที่ทำเรื่องน้ำท่วมในมือสามารถ นำมาใช้ได้เกือบ2 แสนล้านบาท เฉพาะงบกลาง 1.2 แสนล้านบาทงบกลางของนายกฯอีก 6 หมื่นล้านบาท และงบท้องถิ่นอีก 1 หมื่นล้านบาท ทั้งหมดเป็นงบสามารถใช้เรื่องการเยียวยาและทำแผนที่จะต้องเนินการโครงสร้างพื้นฐานตามที่ กยน.กำหนดที่จะใช้เงิน 5 หมื่นล้านบาท
ส่วนที่จำเป็นต้องกู้เงินจริง ๆ ยังไม่จำเป็นต้องทำขณะนี้ ฝ่ายค้านเห็นว่าการที่รัฐบาลอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 184 มาตราพระราชกำหนด จึงไม่เข้าข่ายตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญเพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน และเป็นสิ่งผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่รัฐบาลจะอ้างว่าหากน้ำท่วมเป็นความผิดของกระบวนการตีความกฎหมาย 2 ฉบับนี้ก็ไม่เป็นความจริง เพราะยังไม่มีโครงการไหนจะทำให้เสร็จก่อนน้ำมาที่ไม่สามารถจัดงบประมาณได้ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงิน แต่อยู่ที่การลงมือทำในโครงการที่มีงบประมาณในมืออยู่แล้วว่ายงไม่ได้เริ่มต้น ซึงประชาชนในพื้นที่ก็รอคอยอยู่
"รัฐบาลพยายามโทษฝ่ายค้าน ว่าไปขัดขวางการแก้ปัญหาของรัฐบาล การทำเช่นนี้คือการเล่นการเมือง ผมเห็นนายกฯพูดว่าไม่อยากให้เอาเรื่องน้ำมาเล่นการเมือง แต่นี่คือการเล่นการเมืองอย่างแท้จริงโดยรัฐบาล ผมคิดว่าคำชี้แจงของร.ต.อ.เฉลิมเมื่อวานนี้ มีความพยายามที่จะกดดันศาลรัฐธรรมนูญ เป็นแนวทางที่ฝ่ายนี้ใช้มาโดยตลอด ซึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแต่ผมมั่นใจว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตามข้อเท็จจริง ซึ่งคิดว่าร.ต.อ.เฉลิมเองก็คงมีความกังวลว่ามีปัญหาข้อกฎหมายจริง ๆ จึงพยายามกดดันไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ " นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเคารพคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่า ผลการตัดสินจะออกอย่างไร หากศาลวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญก็ควรปรับปรุงแก้ไข ไม่ใช่ปลุกระดมเรื่องสองมาตรฐานขึ้นมาอีก