xs
xsm
sm
md
lg

วิพากษ์ 6 เดือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ : จุดจบและการเริ่มต้นใหม่ของความหายนะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

การปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อกลางเดือนมกราคม 2555 เป็นจุดจบของความหายนะครั้งแรก แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการคืบคลานมาของความหายนะอันใหญ่หลวงครั้งที่สองซึ่งเกินกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการได้ในปีนี้

ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมานี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีไม่ได้แสดงความฉลาดเฉียบแหลมทางปัญญาและความสามารถในการบริหารประเทศให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะชนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับแสดงความจำกัดทางปัญญาและการบริหารประเทศแบบเด็กฝึกงาน มีความผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างมากมายจนสร้างความเสียหายแก่ประเทศทุกด้านทั้งอย่างประมาณค่าไม่ได้

เริ่มจากเหตุการณ์ความผิดพลาดในการใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งการพูดแบบอ่านเอกสารทุกประโยค นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคุณยิ่งลักษณ์ใช้คำภาษาไทยผิดความหมายหลายครั้ง เช่น การใช้คำว่า “หญ้าแพรก” แทน คำว่า “หญ้าแฝก” หรือในการกล่าวต้อนรับนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เธอพูดว่า “ I overcome you”. แทนที่ จะเป็น “I welcome you”.

ความผิดพลาดในการใช้ภาษามีสองนัย ด้านหนึ่งสะท้อนว่านายกรัฐมนตรีขาดความรู้และความเข้าใจในเรื่องที่พูด จึงเข้าใจผิดและพูดอย่างที่ตนเองเข้าใจอย่างผิดๆ กรณีหญ้าแพรกน่าจะเกิดจากเหตุผลนี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งสะท้อนว่าขณะที่พูดเธอมีความเครียดและเกร็ง ทำให้ไม่อาจควบคุมสติได้อย่างเต็มที่จึงนำไปสู่การใช้คำผิดพลาดจากบริบทที่เหมาะสม กรณี overcome กับ welcome น่าจะเป็นจากสาเหตุนี้ ความผิดพลาดจากสาเหตุนี้ของนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะการพูดอย่างเป็นทางการในวาระสำคัญ

สำหรับการพูดแบบอ่านเอกสารทุกประโยคเป็นพฤติกรรมที่สามารถใช้ได้ในวาระสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการสื่อความหมาย แต่การพูดแบบอ่านเอกสารในทุกวาระทุกโอกาสเป็นเป็นสิ่งไม่เหมาะสมกับบุคคลที่เป็นผู้นำประเทศ เพราะการกระทำนั้นเป็นดัชนีของการขาดความสามารถในการทำความเข้าใจและจับประเด็นสำคัญของเรื่องที่ต้องการสื่อสาร และนั่นย่อมบ่งชี้ถึงข้อจำกัดทางปัญญาของผู้พูดด้วย

นอกจากการขาดความสามารถในการสื่อความหมายแล้ว ทักษะความชำนาญในการบริหารประเทศเชิงการเมืองก็เป็นสิ่งที่ขาดแคลนอย่างยิ่งภายในรัฐบาลชุดนี้ นับตั้งแต่ตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น ตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เปรียบเสมือนนางชีน้อยบวชใหม่ ซึ่งไม่รู้และไม่เข้าใจระเบียบกฎเกณฑ์ อำนาจหน้าที่ และการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานราชการต่างๆ ส่วนนายยงยุทธ และ พล ต.อ.ประชา การเคยรับราชการมาก่อน ทำให้มีท่วงทำนองการบริหารแบบยึดติดกับขั้นตอนและกระบวนการทำงานแบบงานประจำ และไม่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารประเทศเชิงการเมืองที่ต้องทำงานเชิงรุกและใช้การตัดสินใจอย่างฉับไว

ความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารจัดการมหาอุทกภัยประเทศไทยในปี 2554 ได้สร้างความเสียหายแก่ประชาชนอย่างเหลือประมาณ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 800 กว่าคน มีความเสียหายทางเศรษฐกิจนับล้านล้านบาท มีความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างประชาชนเกี่ยวกับการกั้นน้ำและการระบายน้ำนับครั้งไม่ถ้วน มีการแพร่ระบาดของการละเมิดกฎหมายจนประเทศแทบตกอยู่ภายใต้สภาพอนาธิปไตย และมีการทุจริตฉ้อฉลบนความเดือดร้อนของประชาชนเป็นจำนวนมาก

สำหรับตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ แม้กระทั่งคุณสมบัติพื้นฐานของคนเป็นผู้บริหารยังแทบค้นหาไม่พบในตัวเธอ เห็นได้จากการที่เธอจัดลำดับความสำคัญของเรื่องที่ควรทำหรือไม่ควรทำไม่ได้ สิ่งที่ควรทำในบทบาทหน้าที่ของหัวหน้าฝ่ายบริหารเธอทำน้อยมากและดูเหมือนไม่อยากทำเท่าไรนัก กลับไปทำในเรื่องที่จะสร้างความบันเทิงแก่ตนเองเสียมากกว่า

เรื่องที่เธออยากทำและทำแล้วดูมีความสุข เช่น การเล่านิทานให้เด็กฟังในวันเด็ก ณ ทำเนียบรัฐบาล หรือ การไปชมการแสดงสาธิตการใช้กำลังทางอากาศที่จังหวัดลพบุรี ส่วนเรื่องที่เธอไม่อยากทำและดูมีความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงเมื่อจำเป็นต้องไปทำคือ การเข้าร่วมประชุมในสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา โดยเฉพาะหากการประชุมนัดใดมีกระทู้ถามเกี่ยวกับปัญหาการทำงานในหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ความทุกข์ก็ดูเหมือนจะถมทับทวีมากขึ้น ดังนั้นเธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงและให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเป็นผู้ตอบแทน

การที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบกระทู้ต่างๆที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาถาม แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมในทางปัญญาอีกประการหนึ่งของเธอ เพราะหากเธอมีสติปัญญาและมีองค์ความรู้อยู่ในตัวอย่างรอบด้าน เธอย่อมไม่กลัวการตอบคำถามใดๆ ผู้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีย่อมมีข้าราชการหรือนักการเมืองระดับล่างจัดเตรียมข้อมูลข่าวสารประกอบให้อยู่แล้ว หน้าที่ของเธอจึงมีเพียงแต่ศึกษาให้เข้าใจในกรอบคิดและแนวทางต่างๆเกี่ยวเรื่องนั้น จากนั้นก็พูดออกไป

กิจกรรมที่เธอชอบและดูจะทำพอใช้ได้ก็คือ การเล่านิทานให้เด็กฟัง ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่งก็อยากส่งเสริมและขอเสนอให้เธอจัดรายการ “นิทานเช้าวันเสาร์” โดยนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อให้เด็กได้ฟังนิทานที่มีเนื้อหาสาระซึ่งผ่านการคัดสรรจากนายกรัฐมนตรีแล้ว การกระทำเช่นนี้ดูจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเยาวชนมากกว่าการไปเปิดงานพิธีกรรมหรือการไปชมการแสดงอย่างเคลิบเคลิ้มของหน่วยงานราชการ

และหากรายการนี้ได้รับความนิยม ผมก็อยากเสนอให้รัฐบาลคัดเลือกรัฐมนตรีมาที่ชอบพูดชอบเล่า แต่ไม่ค่อยทำงานในหน้าที่หรือทำงานในหน้าที่ไม่เป็น ไปนั่งเล่านิทานให้เด็กฟังทุกวันและถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 หากเป็นวันจันทร์ถึงศุกร์ อาจใช้ช่วงเวลาตอนหัวค่ำที่เด็กเลิกเรียน ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็อาจใช้ตอนเช้า ในการเล่าให้เลือกเรื่องที่มีเนื้อหาสาระดีและสร้างค่านิยมที่ซื่อสัตย์สุจริต แต่ในการเล่าเรื่อง รัฐมนตรีแต่ละคนต้องระมัดระวัง อย่าเผลอเล่าเรื่องจริงในชีวิตตนเองให้เด็กฟังอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เด็กสับสนและอาจจดจำตัวอย่างที่ไม่ดีของผู้เล่าเป็นแบบอย่าง

ในการทำงานนี้ถึงแม้ว่าอาจถูกค่อนแคะว่าเป็นรัฐบาลนักเล่านิทาน แต่ก็ยังดีเพราะได้ทำอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์แก่เด็กอยู่บ้าง ปัญญาและความสามารถมีแค่นี้จะให้ทำอย่างอื่นก็คงยาก ไหนๆได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ก็ควรทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติบ้าง ไม่ใช่นั่งอยู่ในตำแหน่งให้ผ่านไปวันๆโดยไม่ทำไม่สร้างสิ่งใดเลย

หกเดือนของการบริหารประเทศโดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้คะแนนนิยมตกลงไปอย่างมาก ด้วยสาเหตุนานาประการดังที่ผู้เขียนได้กล่าวไปแล้วตั้งแต่ในตอนที่ 1 ในที่สุดน.ส.ยิ่งลักษณ์ และทักษิณ ชินวัตรผู้บงการรัฐบาลเห็นว่ารัฐบาลคงไปไม่รอดเพราะเสียทั้งคะแนนนิยม และตนเองก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร ดังนั้นจึงเกิดการปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นในกลางเดือนมกราคม 2555

รัฐมนตรีที่ถูกปรับออกมี 8 คน เช่น พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และนายพิชัย นริพทะพันธ์ เป็นต้น บุคคลเหล่านี้มีทั้งเป็นประเภททำงานไม่เป็นเฉื่อยชา ประเภทไม่ยอมตามใจตอบสนองความต้องการของทักษิณ และประเภทใช้ไม่ได้ดังใจ เมื่อใช้เสร็จจึงทิ้งไป

อันที่จริงรัฐมนตรีประเภททำงานไม่เป็นเฉื่อยชา ยังมีอีกหลายคนในรัฐบาลแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ถูกปรับออก เพราะบางคนประจบสอพลอเก่ง เป็นคนเชื่อฟังคำสั่ง ใช้ง่ายให้ทำอะไรก็ทำโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แต่อย่างใด ส่วนบางคนเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบทำงานจัดการเรื่องน้ำท่วม ซึ่งผลงานออกมาไม่ได้เรื่องได้ราว ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเมือง แต่ทำตัวเป็นหนังหน้าไฟ รับเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ และคำตำหนิ แทนนายกรัฐมนตรี จึงได้รับการตอบแทนให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป

สำหรับรัฐมนตรีที่มีการปรับตำแหน่งและได้รับการแต่งตั้งใหม่มีแบบแผนของการแต่งตั้ง 5 ประการ ประการแรก แต่งตั้งคนใกล้ชิดที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจการสื่อสารและพลังงานเพื่อให้มาเร่งรัดการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์เศรษฐกิจแก่ตระกูล โดยเฉพาะธุรกิจด้านโทรคมนาคม และพลังงาน เพราะผู้บงการรัฐบาลมีธุรกิจด้านนี้จำนวนไม่น้อยทั้งในและต่างประเทศ ผู้ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าวย่อมจะมีโอกาสเอื้อประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแก่ตระกูลเจ้านายของตนเอง

ประการที่สองปรับเปลี่ยนคนที่สั่งได้มานั่งตำแหน่งกระทรวงการคลังและกลาโหม นั่งกระทรวงการคลังเพื่อให้หาเงินมาใช้ในโครงการประชานิยมทั้งหลาย เช่น การโอนหนี้ไปให้ ธปท. และการพยายามขายหุ้นการปิโตเลียมแห่งประเทศไทย และการบินไทย ออกไป 2 % เพื่อให้องค์การทั้งสองหลุดพ้นจากสถานภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะทำให้กลุ่มทุนเจ้าของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้สามารถเข้าไปแทรกแซงและฉกฉวยผลประโยชน์ได้สะดวกขึ้น

สำหรับการเปลี่ยนรัฐมนตรีกลาโหม ทั้งที่รัฐมนตรีคนเดิมทำงานตามหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ตอบสนองความต้องการของนายใหญ่ในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร จึงถูกเปลี่ยนออกไป และนำเพื่อนคนสนิทที่สั่งได้มานั่งแทน ด้วยหวังว่าจะให้เพื่อนผู้นี้จะโยกย้ายนายทหารตามที่ตนเองต้องการเพื่อทำให้กองทัพตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนายใหญ่ผู้บงการรัฐบาลอย่างสมบูรณ์แบบ

ประการที่สาม การเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและใช้สื่อของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ โดยนำคนใกล้ชิดมาเป็นรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งมีภารกิจเพื่อดูแลกุมสภาพสื่อของรัฐให้เป็นประโยชน์ต่อนายใหญ่และตระกูลผู้บงการรัฐบาล

ประการที่สี่ การตั้งคนที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับการทำธุรกิจในประเทศแอฟริกา ทั้งนี้เพื่อให้การทำธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองเพชร เหมืองทอง ที่แอฟริกาของนายใหญ่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่เผอิญว่ารัฐมนตรีที่คาดหวังว่าจะทำเรื่องนี้ให้นายใหญ่ ถูกประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ ห้ามทำธุรกิจใดกับบริษัทในประเทศอเมริกา รวมทั้งการอายัดทรัพย์สินต่างๆที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาด้วย รัฐมนตรีผู้นี้เป็นบุคคลที่ถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำเพราะมีการทำธุรกิจร่วมกับนายมูกาเบ้ ประธานาธิบดีประเทศซิบบับเว ซึ่งเป็นคนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศในยุโรปประนามและไม่คบค้าด้วย

ประการที่ห้า การตั้งผู้ต้องหาก่อการร้ายเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองเป็นรัฐมนตรี เพื่อเป็นค่าจ้างค่าตอบแทนในการทำงานล้มรัฐบาลเก่า และเป็นการรักษาความสัมพันธ์กับมวลชนเสื้อแดงเพื่อหลอกใช้เป็นฐานในการสนับสนุนทางการเมืองต่อไปในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงการตบหน้า ไม่แยแส กองทัพและสถาบันในระบบยุติธรรม รวมทั้งประชาชนอีก 45 ล้านคนที่ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย

กล่าวโดยสรุปรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ได้จบสิ้นไปแล้วด้วยความล้มเหลวในการบริหารประเทศ สร้างความเสียหายแก่ประชาชนอย่างมหาศาล ทำลายเกียรติภูมิของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ และเป็นรัฐบาลที่สร้างความหายนะแก่ประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ส่วนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 2 ที่เริ่มต้นบริหารประเทศกลางเดือนมกราคม 2555 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในประเทศนับจากนี้เป็นต้นไป คงจะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2554 กลายเป็นซึ่งเล็กน้อยไปเลย

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 2 มีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะนำพาความวิบัติหายนะอันยิ่งใหญ่มาสู่ประเทศไทยใน พ.ศ. 2555 อย่างที่ไม่เคยมีใครจินตนาการถึงมาก่อน...
กำลังโหลดความคิดเห็น