xs
xsm
sm
md
lg

“ชวนนท์” ชำแหละ 4 แผนสะท้อน “แม้ว” นายกฯตัวจริง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต
โฆษก ปชป.ชำแหละ 4 ข้อสังเกต “แม้ว” นายกฯตัวจริง สั่งปรับ ครม.ปู 2 เพิ่มทุนทางธุรกิจ ฮุบสมบัติชาติ อัด “ปึ้ง” ไม่รู้เรื่อง ตั้งคนโดนแบล็กลิสต์เป็น รมต.แนะควรอยู่เฉยๆจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองมากกว่า ซัดเกมตอบแทนบุญคุณแดง ประเคนเก้าอี้ รมต.ตบหน้าปชช.ชั้นสอง

วันนี้ (19 ม.ค.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงการปรับ ครม.ของรัฐบาล ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังคงแสดงบทบาทการเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงมีอำนาจเหนือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และการกำหนดตัวบุคคลมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ได้อยู่บนพื้นฐานบ้านเมือง แต่ใช้การเมืองเป็นตัวตั้ง ทำให้ไม่มีการจัดวางคนให้สอดคล้องกับงาน แต่เป็นการปูนบำเหน็จให้แกนนำเสื้อแดงที่เป็นฐานในการช่วงชิงอำนาจ แก้ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทย และวางคนเพื่อให้ทำงานตามใบสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ

1.ในส่วนตำแหน่งหลักในการบริหารเศรษฐกิจ คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ กระทรวงพาณิชย์ ต้องจับตาดูว่าจะเป็นการจัดวางคนเข้ามาใช้อำนาจรัฐเพิ่มทุนทางธุรกิจให้ตัวเองด้วยการทำลายทุนของประเทศหรือไม่ โดยจะเห็นได้จากเริ่มมีแนวคิดจาก นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน กยอ.ที่จะให้กองทุนวายุภักษ์ ซื้อหุ้น ปตท.2% เพื่อให้ ปตท.ขาดจากสถานะความเป็นรัฐวิสาหกิจ ลดหนี้สาธารณะเปิดช่องรัฐบาลกู้เพิ่ม และ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ว่าที่รมว.คลัง ก็ออกมาขานรับแนวคิดนี้ ซึ่งหาก ปตท.ขาดจากการเป็นรัฐวิสาหกิจเท่ากับรัฐบาลไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารได้อีกต่อไป แต่ผู้ถือหุ้น ปตท.จะได้ประโยชน์เต็มที่จากการผูกขาดและผลพวงจากการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ผ่านมา เท่ากับว่า รัฐบาลชุดนี้กำลังเพิ่มทุนทางธุรกิจให้กับนายทุนแต่ทำลายทุนของประเทศที่ประชาชนควรได้รับประโยชน์ และยังส่อเจตนาใช้อำนาจรัฐสร้างเผด็จการทุนผูกขาดตามสไตล์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถนัดด้วย

และต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในการกำหนดนโยบายด้านการเงินการคลังที่สุ่มเสี่ยงต่อการขาดวินัยการเงินการคลัง ทั้งเจตนาที่ต้องการปล้นคลังหลวงล้วงเงินคงคลัง ซึ่งเชื่อว่ายังไม่มีการล้มเลิก เพียงแต่พักยกชั่วคราวเท่านั้น

ส่วนตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ นั้น หวังว่า จะมีบทบาทในการดูแลลดค่าครองชีพให้กับประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะตลอดเกือบ 6 เดือน นายกิตติรัตน์ ไม่ได้ใส่ใจปากท้องของประชาชน มุ่งแต่ปากท้องของรัฐบาลในการหาเงินทำเมกะโปรเจกต์เท่านั้น นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ทบทวนนโยบายจำนำข้าวซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวและราคาข้าวถุง รวมทั้งมีปัญหาเรื่องการทุจริตทุกขั้นตอนด้วย

2.ตำแหน่งด้านความมั่นคงที่มีการปรับให้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต มาเป็น รมว.กลาโหมนั้น เป็นการกระชับอำนาจการเมือง เดินเกมรุกใส่กองทัพมากขึ้นหลังจากที่ในช่วงตั้งรัฐบาลมีการแสดงออกว่าต้องการประนีประนอมลดการเผชิญหน้ากับกองทัพ แต่ก็เป็นเพียงแค่แผนตบตากองทัพเท่านั้น สิ่งที่ต้องจับตา คือ จะมีการแก้ พ.ร.บ.กลาโหม เพื่อเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงกองทัพหรือไม่ และจะมีการบีบให้กองทัพต้องดำเนินนโยบายที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ เห็นว่า การกระชับอำนาจกองทัพของรัฐบาลจะยิ่งทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อการสร้างบรรยากาศปรองดองตามที่รัฐบาลพยายามกล่าวอ้างแต่อย่างใด

3.การเปลี่ยนตัว รมว.ศึกษาธิการ ควรต้องปรับนโยบายด้านการศึกษามุ่งเน้นการสร้างปัญญาให้เยาวชนมากกว่าการทำนโยบายประชานิยมเพื่อคะแนนเสียงทางการเมืองเท่านั้น เช่น กรณีการแจกแท็บเล็ต แต่ รมว.คนใหม่ควรให้ความใส่ใจกับการปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาครู เพื่อวางรากฐานในการสร้างคนอย่างยั่งยืน รวมทั้งการแต่งตั้งบุคคลที่ทางการของสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำก็เป็นการชี้ให้เห็นว่าไม่สนหน้าตาภาพลักษณ์ หรือความเหมาะสมใดๆ แต่จัด ครม.ตามที่ได้สัญญา หรือตกลงกันไว้เพื่อความลงตัวทางการเมือง

“ที่ รมว.ต่างประเทศ ออกมาพูดทำนองว่าไม่รับทราบเรื่องที่มีการขึ้นบัญชีดำ แต่อาจสอบถามไปยังสหรัฐฯ นั้น ผมเห็นว่าไม่ต้องเสียเวลาสอบถามให้เปลืองกระดาษ กดอินเตอร์เน็ตดูเขาก็เห็นกันทั้งประเทศแล้ว ถ้าทำงานไม่เป็นก็อยู่เงียบๆ ไป หรือจะเอาเวลาไปเจรจากับทางสหรัฐฯ ให้เลิกคำเตือนกับไทยจะดีกว่า”

4.การตอบแทนแกนนำคนเสื้อแดงโดยให้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น รมช.เกษตรฯ นั้น สะท้อนว่า รัฐบาลไม่สนใจความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ มุ่งแต่จะรักษาฐานเสียงของตัวเองเพื่อใช้คนเสื้อแดงมาเป็นกองกำลังปกป้องรัฐบาล วิธีคิดเช่นนี้จะทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนมากขึ้น เพราะยกคนเสื้อแดงให้ได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนไทยในทุกกรณี ตั้งแต่การยิงวัดพระแก้วเผาศาลากลางได้อยู่คุกวีไอพี แม้บุคคลเหล่านี้จะเป็นคนที่มีการกระทำความผิดในคดีอาญาอุกฉกรรจ์ หรือแม้แต่ผู้ต้องหาในคดีฆ่าบิดาของดีเจวิหค พันธมิตรที่เชียงใหม่ ก็ได้รับการส่งตัวมาอยู่ในคุกพิเศษแห่งนี้ ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จึงเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลนี้ใช้ 2 มาตรฐานในการดูแลประชาชน หรือกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนตนเองโดยไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะทำการผิดกฎหมายมากมายเพียงใด

ทั้งๆ ที่ตามข้อกฎหมายผู้ที่มีคดีอุกฉกรรจ์เช่นนี้ จะต้องถูกปฏิบัติแตกต่างจากผู้อื่น เช่น ต้องมีการสวมชุดนักโทษชัดเจน หรือมีการตีตรวนโซ่ และจะต้องอยู่ในคุกหรือเรือนจำที่สอดคล้องกับความหนักเบาของคดีตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยเรื่องเครื่องแต่งกายสำหรับผู้ต้องขับ พ.ศ.2538 ซึ่งระบุชัดถึงลักษณะเสื้อผ้าของผู้ต้องขัง หรือนักโทษประเภทต่างๆ และประกาศกระทรวงยุติธรรม เรื่องกำหนดอำนาจการคุมขังผู้ต้องขังของเรือนจำ พ.ศ.2548 ซึ่งจะแยกแยะให้ผู้ที่ได้รับโทษแตกต่างกัน ต้องถูกคุมขังสอดคล้องกับอำนาจการคุมขังของเรือนจำ เช่น เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีอำนาจการคุมขังนักโทษที่ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปีเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้รัฐบาลเพิกเฉยและกระทำการตามอำเภอใจ ไม่ยึดถือข้อกฎหมาย จึงนับเป็นการเยียวยาให้กับผู้สนับสนุนของตนเองอย่างบูรณาการคือผู้ที่สั่งเผา และรับผิดชอบในการเผาได้เป็นรัฐมนตรี คนลงมือเผาได้อยู่คุกพิเศษ ส่วนคนพลาดพลั้งตายจากการเผาได้เงิน7.75 ล้าน

“ถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล และคงต้องขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องคนไทยที่เหลือของประเทศ ที่บัดนี้ได้แปรสภาพเป็นประชาชนชั้นสอง มีสิทธิ์มีเสียงน้อยกว่าคนเหล่านี้ แต่อยากจะเตือนรัฐบาล ว่า สิ่งนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งอีกครั้งหนึ่งของสังคมเพราะ ประชาชนส่วนใหญ่จะทนไม่ได้กับการเลือกปฏิบัติเช่นนี้ และรัฐบาลอย่าบังคับให้คนไทยทั้งประเทศต้องปรองดองกับคนทำผิดกฎหมาย ต้องตกเป็นเบี้ยล่างผู้ก่อการร้ายและต้องทนทำงานเพื่อจ่ายภาษีให้กับผู้กระทำผิด”
กำลังโหลดความคิดเห็น