xs
xsm
sm
md
lg

เศษปัญญานิติราษฎร์กำลังทำลายชาติ

เผยแพร่:   โดย: ว.ร.ฤทธาคนี

คนไทยทั้งชาติต้องยอมรับว่า ขณะนี้กลุ่มอาจารย์สามานย์ซึ่งเป็นเพียงเศษธุลีแห่งปัญญาคนไทยทั้งชาติ บังอาจสวมเสื้อครุยอาจารย์แห่งมหาวิทยาลัย เป็นเครื่องมือพรางตัว อำพรางความชั่วสามานย์ทั้งในเชิงความคิดและพฤติกรรม โดยเฉพาะนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

กำเนิดของคนกลุ่มนี้เป็นมาอย่างไรไม่มีใครรู้จริง แต่ดูเหมือนเป็นเห็ดพิษที่เกิดขึ้นง่ายดายในขณะที่ประเทศชาติกำลังบอบช้ำ ทั้งภัยธรรมชาติ ทั้งภัยลมปาก ทั้งภัยพฤติกรรมสามานย์ของบุคคลที่มีแต่ความบ้า ความโลภอำนาจ และโลภเงินทองไม่รู้จบ ไม่รู้จักการละวางไว้ซึ่งกิเลสตัณหาของอำนาจ ทั้งยังเป็นบุคคลที่ตลอดระยะเวลา 5 ปี ไม่เคยหยุดความคลุ้มคลั่งในการเรียกหาอำนาจเงินตราและอำนาจเผด็จการที่ลงทุนไว้ในสภาผู้แทนราษฎร และหวังจะครอบครองประเทศชาตินี้

ความสัมพันธ์ของคนกลุ่มนี้กับคนเสื้อแดงและทักษิณยังเป็นประเด็นต้องขบคิด เพราะในจินตยุทธ์ของสงครามการเมืองแย่งชิงประชาชนนั้น มีรูปแบบมากมายที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง

ตัวแปรสำคัญในการสร้างฐานคนเสื้อแดงคือเงิน และจิตสำนึกความชอบธรรมของพลพรรคเสื้อแดงซึ่งไม่ต่างกับนักเรียนอาชีวะ หรือคนชั่วสามานย์ในคราบของนักศึกษาอันธพาล ที่ไร้ความคิด ไร้ความเมตตา และไร้ความเป็นมนุษย์ สามารถใช้ปืนยิงคู่อริหรือนักศึกษาของสถาบันคู่อริบนรถโดยสาร แต่กระสุนไปถูกผู้บริสุทธิ์ตายได้อย่างไม่กลัวบาปกลัวคุกหรือยาประหารชีวิต

ในห้วงพฤษภาคมหฤโหด พ.ศ. 2553 นั้น บังเกิดแก้ว 3 ประการของทักษิณ คือ พรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธปฏิบัติการก่อปฏิวัติประชาชน ซึ่งกองกำลังติดอาวุธนี้ก็เหมือนกับนักศึกษาอันธพาลที่มีจิตใจเยี่ยงสัตว์ สามารถทำร้ายคนได้อย่างไร้เหตุผลและเกณฑ์ได้ง่ายดายเกือบทุกซอกซอยในกรุงเทพฯ

วันนี้สังคมปัญญาชนคนไทยคงจะต้องมองออกทะลุปรุโปร่งแล้วว่าในแก้ว 3 ประการของทักษิณ พ.ศ. 2553 นั้น ได้รับการเติมด้วยคณาจารย์สามานย์ ที่อำพรางตนในคราบปัญญาชน

จำเป็นต้องสร้างจินตยุทธ์สงครามการเมืองชิงประชาชนให้เห็นชัดเจน ว่ามีการใช้นักรบรับจ้างนิติราษฎร์ สร้างความแตกแยกด้วยการยั่วยุทางปัญญาจนถึงขั้นรุนแรงในความคิดนำสู่ความขัดแย้งระหว่างหมู่ชนชาวไทย จนอาจจะถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันเป็นการใหญ่ และเสื้อแดงรับจ้างเป็นตัวแปรเสริมความรุนแรง ทำให้กองทัพเข้าแทรกแซงสถานการณ์สงครามกลางเมืองย่อยซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศ กองกำลังเสื้อแดงออกทำปฏิบัติการรบกับกองทัพและหมู่ชนบริสุทธิ์ที่ปกป้องสถาบัน

กองกำลังเสื้อแดงมีปัญญาชนสามานย์เป็นตัวกระตุ้น สร้างความสับสนและโจมตีกองทัพว่า ทำรัฐประหารและจะสถาปนาเผด็จการทหาร ปลุกระดมผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และรับจ้างออกมาต่อต้านกัน ลุกลามเป็นสงครามกลางเมือง มีการเผาบ้านเผาเมืองอย่างที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2553

ประเทศไทยกลายเป็นรัฐล้มสลาย ต่างชาติเข้าแทรกแซง และช่วงนี้กลายเป็นโอกาสทองของทักษิณ ผู้ซึ่งใช้ความไร้ยางอายเดินสายสร้างภาพตัวเองอยู่ตลอดเวลานอกประเทศ ฉวยจังหวะเข้าประเทศและประกาศตัวเป็นอัศวินม้าขาวแก้ไขสถานการณ์ ด้วยการแอบอ้างว่าสากลโลกสนับสนุน และมีฐานกำลังคนเสื้อแดงทั้งตัวจริงและแนวร่วม ซึ่งสามารถซื้อได้เป็นแรงสนับสนุนภายในเข้าปกครองประเทศ แล้วสถาปนาระบบเผด็จการทุนนิยมสามานย์ แบ่งแยกทรัพยากรธรรมชาติกับชาติต่างๆ ทั้งเป็นเพื่อนบ้าน และประเทศรอบนอกที่แสวงประโยชน์ หรือเป็นกลุ่มประเทศที่แสวงหาอาณานิคมสมัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 21

การเสนอจินตยุทธ์ลักษณะนี้มิใช่เป็นการลอกแบบคำพยากรณ์ของโหราจารย์ต่างๆ ที่กำลังออกมาพยากรณ์ความล่มสลายบรรยากาศสันติสุขของชาติบ้านเมือง แต่วิเคราะห์จากตัวแปรเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เช่น กลุ่มนักรบเมืองย่าโม นครราชสีมา ออกมาแสดงพลังต่อต้านการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของกลุ่มนิติราษฎร์อย่างรุนแรงถึงขนาดมีการตัดหัวนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และเผาหุ่นนั้น

เกิดกลุ่มนักวิชาการสยามประชาภิวัฒน์ ที่มีความรักชาติ ยึดเหตุผลในการแสดงความจงรักภักดี ใช้หลักวิชาการในการคิดถึงความถูกต้องชอบธรรมเป็นหลักในการปกครองและบริหารประเทศ แสวงหาสันติสุข และต้องการพัฒนาความคิดของคนไทยให้มีจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์ ประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์ และรักสันติ

กลุ่มนิติราษฎร์เองก็ยิ่งแสดงความสามานย์เข้มข้นขึ้น และใช้ความชั่วยั่วยุสังคมไทยให้ปั่นป่วนมากขึ้น ด้วยการเสนอแนวคิดสามานย์ชั่วร้าย บังอาจทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งประเทศ ด้วยการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง “ว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ซึ่งส่อเจตนารมณ์ชั่วช้าสามานย์ โดยตั้งใจที่จะบีบบังคับ บีบคั้น กดดัน และบ่อนทำลายความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า อันเป็นที่สักการบูชา เทิดทูนของคนไทยทั้งชาติ

ด้วยพฤติกรรมชั่วช้าแอบอ้างความเป็นอาจารย์ของกลุ่มนิติราษฎร์ ทำให้ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า “ผมว่าก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญตามที่พวกคุณเสนอ ควรแก้ข้อบังคับทุนอานันทมหิดล ให้ผู้รับทุนสาบานว่าจะไม่เนรคุณ และไม่ทรยศต่อพระมหากษัตริย์ ผู้พระราชทานทุน จะง่ายกว่ามั้ย ข้อเสนอของผมไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเลย”

คำกล่าวของ ดร.บวรศักดิ์ เป็นเสียงสะท้อนของปัญญาชนผู้ที่มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมวิชาการ ทั้งทางการเมือง รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และสังคมต้องการเห็นความสงบเรียบร้อยของชาติด้วยความเป็นนิติรัฐส่วนอีกด้านหนึ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ออกมากล่าวถึงพวกนิติราษฎร์ว่า “เป็นพวกไม่ปกติและได้เคยทำคุณประโยชน์อะไรให้กับแผ่นดินไว้บ้าง” และท่านได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการปกป้องสถาบันอย่างแน่นแฟ้นเข้มข้น

นอกจากนี้ พล.อ.บุญเสริม แก้วประสิทธิ์ ประธานมูลนิธิโรงเรียนเตรียมทหาร ออกมาส่งสัญญาณถึงจิตวิญญาณและสำนึกของอดีตนักเรียนเตรียมทหาร ยุให้ทหารทำการรัฐประหาร หากขบวนการนิติราษฎร์เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันเบื้องสูง และยังไม่หยุดพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบัน โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวเพื่อแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

พฤติกรรมเหล่านี้ของกลุ่มนิติราษฎร์ ซึ่งคล้องจองกับบทบาททักษิณที่ขี่ม้ารอบเมืองตระเวนหาเสียงนอกประเทศและยังบังอาจสร้างไฟลามทุ่งด้วยการให้สัมภาษณ์กับนายทอม เฟลท นักเขียนอิสระรับจ้างผ่านหนังสือที่มีชื่อว่า Conversation With Taksin ซึ่งตีพิมพ์ไปเมื่อเดือนกันยายน 2554 ที่ผ่านมา

ในการสนทนานี้นายทอม เฟลท เล่นบทบาทคนยิงคำถามให้ทักษิณตอบ และนายทอม เฟลท บังอาจเสนอ นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ให้เป็นตัวกลางในการยุติความขัดแย้งของสังคมไทย และทักษิณพูดว่า “ผมคิดว่าด้วยตำแหน่งของบันคีมูนแล้ว ในหลวงจะยอมรับฟังเขา”

แม้ว่าจะมีหน้าม้าโดยเฉพาะนายนพดล ปัทมะ ทนายที่ปรึกษาทักษิณ จะออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าทักษิณไม่เคยให้สัมภาษณ์เช่นนี้ก็ตาม แต่ฐานข่าวของ OK Nation ยืนยันในเรื่องนี้

ด้วยสถานการณ์แบบนี้ พฤติกรรมแบบนี้ และความสามานย์แบบนี้ คงสร้างจินตยุทธ์แบบนี้ไม่ใช่เรื่องยาก จึงขอสรุปว่านิติราษฎร์เป็นนอมินีของทักษิณ ในการสถาปนาอำนาจใหม่ในประเทศไทยเมื่อมีโอกาส
กำลังโหลดความคิดเห็น