ผู้นำฝ่ายค้าน ชำแหละคำให้สัมภาษณ์ นช.แม้ว อ้างเลขาฯยูเอ็น เข้าเฝ้าฯในหลวงเพื่ออุ้มตัวเอง แฉ ต้นตอความขัดแย้งสังคมไทย ซัด อย่าดึงฟ้าต่ำลงมาเกลือกกลั้วการเมือง จี้ รบ.แสดงจุดยืนไม่แก้ ม.112 เหตุหวั่นเกิดปฏิวัติรอบใหม่
วันนี้ (24 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านหนังสือชื่อ Conversation with THAKSIN ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่า ให้ นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ มาเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับประเทศ และยุติปัญหาทั้งหมด ว่า ตนยังไม่ได้เห็นหนังสือดังกล่าว แต่คิดว่า พ.ต.ทักษิณ ควรจะเลิกพูดให้เกิดความไขว้เขว เพราะความขัดแย้งในบ้านเมืองที่เกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้ มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นศูนย์กลางความขัดแย้ง และเมื่อฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ มีอำนาจรัฐในมือ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งลุกลากบานปลายออกไป โดยเฉพาะไปเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งกระบวนการในขณะนี้กำลังสร้างความสับสนให้สังคม ทั้งๆ ที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ศูนย์กลางความขัดแย้งทั้งหมด ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ คลายปมความขัดแย้งของประเทศได้อยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ตามที่สื่อออกมาเผยแพร่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณก็ต้องไปต่อว่าหนังสือเล่มนั้น ที่มีการลงเนื้อหาตามที่มีการเผยแพร่ออกมา ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีหลายครั้งที่เราเห็นว่ามีความพยายามดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งตนอยากให้รัฐบาลยืนยันให้ชัดเจนอีกครั้ง ว่า ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญปรองดองเชิญหัวหน้าพรรคไปคุยกันว่ามาตรา 112 ไม่ใช่ประเด็นความขัดแย้ง แต่ขณะนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ในเรื่องนี้กำลังสร้างความขัดแย้ง และทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามาตรา 112 หรือสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเงื่อนไขที่จะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง
“ผมย้ำอีกครั้งว่า ความขัดแย้งในสังคมปัจจุบันศูนย์กลางอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น การพยายามที่จะทำให้สังคมเข้าใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ เป็นความพยายามที่จะสร้างความสับสนในสังคม รัฐบาลจึงต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่มีการกล่าวหา เพราะทุกพรรคเห็นตรงกันก็ควรจะดำเนินการตามนี้ โดยมาตรา 112 ซึ่งไปเกี่ยวพันกับรัฐธรรมนูญหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้น รัฐบาลก็ควรประกาศชัดเจนว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้ เพราะรัฐบาลเป็นผู้ริเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องบอกว่าอะไรคือเป้าหมายของรัฐบาล และหากจะปรองดองต้องหยุดขยายวงความขัดแย้ง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรมีความชัดเจนในเรื่องขอบเขตการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นห่วง ว่า ความขัดแย้งในเรื่องเหล่านี้กำลังไปบดบังการบริหารของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้มีปัญหามากในเรื่องความเป็นอยู่ค่าครองชีพ และการไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งประชาชนรอการแก้ไข แต่กลายเป็นว่า การเมืองยังวุ่นวายอยู่กับการที่รัฐบาลหรือแนวร่วมของรัฐบาลริเริ่มในการสร้างปมความขัดแย้ง ซึ่งจะทำให้ลุกลามออกไป จนเริ่มมีคำถามกลับมาอีกว่า จะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ทั้งๆ ที่ไม่ควรจะมีเรื่องเหล่านี้ รัฐบาลควรพาบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าด้วยการมุ่งบริหารแก้ปัญหาให้ประชาชน วันนี้รัฐบาลต้องตั้งหลักให้ชัดไม่อย่างนั้นบ้านเมืองก็จะเดินยาก และทางพรรคเห็นว่า สถานการณ์มีความล่อแหลมมากขึ้นจากการเคลื่อนไหวในขณะนี้ ทางพรรคจึงมีการระดมความเห็น เพื่อกำหนดมาตรการรับมือในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เพื่อประคับประคองบ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้า ซึ่งจุดยืนของพรรคเห็นตรงกันหมด แต่สิ่งที่เราไม่รู้คือรัฐบาลเคลื่อนทางใดบ้าง เพราะเคลื่อนหลายทาง เผื่อไว้หลายทาง เป็นเรื่องที่ฝ่ายค้านต้องทำความเข้าใจว่า มีการวางแผนในหลายลักษณะเพื่อที่จะได้รับมือ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐบาลมีเจตนาจะให้เกิดปัญหาในเรื่องประเด็นทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนลืมปัญหาเศรษฐกิจ และการไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าจงใจก็ถือว่าใจร้ายมาก เพราะนอกจากไม่แก้ปัญหาของประชาชนแล้ว ยังสร้างปัญหาเพิ่ม จึงอยากเรียกร้องไหนๆ ก็ปรับ ครม.แล้ว และวันนี้เป็นวันแรกที่รัฐมนตรีเข้าปฏิบัติหน้าที่ขอให้ตั้งหลักใหม่ ไปดูปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจริงๆ กับนโยบายของรัฐบาลที่มีปัญหาว่าสิ่งใดควรทำแล้วยังไม่ได้ทำ ก็ต้องเร่งให้เกิดขึ้นตามที่สัญญาไว้ สิ่งที่ไม่ควรทำแต่ทำไปแล้วเกิดความผิดพลาด เช่น นโยบายพลังงานก็ต้องทบทวนใหม่ให้หมด และยุติการให้ท้ายผู้สนับสนุนที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่ม หรือกระทบกระเทือนจนถึงขั้นเกิดคำถามเรื่องการปฏิวัติ และประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า วันนี้ปัญหาเศรษฐกิจกับการเมืองในมือรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ สิ่งไหนเป็นอันตรายต่อประเทศมากกว่ากัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในขณะนี้ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องเศรษฐกิจที่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ เพราะกระทบความเป็นอยู่ แต่ขณะเดียวกัน การเมืองก็เข้าสู่ภาวะที่มีความอันตรายมากขึ้นจากการที่รัฐบาลไม่จริงใจในการแสวงหาคำตอบให้สังคม แต่พยายามแสวงหาคำตอบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการประชุม ส.ส.พรรคในวันนี้ ที่ประชุมได้มีการพูดถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของรัฐบาลที่ทำไปทุกอย่างนั้นก็ เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมองข้ามการแก้ปัญหาเพื่อประชาชน และทางพรรคนั้นมี ส.ส.หลายคนของพรรคได้แสดงความเห็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา และสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรควิเคราะห์ตรงกันว่า รัฐบาลพยายามที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งในหลายเรื่อง ทั้งนี้ ไม่มีเจตนาที่จะดำเนินการในเรื่องนั้น เช่น กรณีการแก่ไขมาตรา 112 ซึ่งรัฐบาลไม่กล้าที่จะแก้ไข แต่กลับปล่อยให้มีการเคลื่อนไหว เพื่อให้เป็นประเด็นทางสังคม จึงมีการเตือนสมาชิกพรรค ว่า ไม่ควรหลงประเด็น ไปกับสิ่งที่รัฐบาลพยายามสร้างขึ้น โดยเห็นว่า มาตรา 112 พรรคได้แสดงจุดยืนชัดเจนแล้ว ว่าไม่แก้ไข
ดังนั้น จากนี้ไปก็เป็นเรื่องที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กับคนเสื้อแดง ต้องไปทะเลาะกันเอง ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีการเสนอแนวทางแก้ไข ต่อสังคมหลายรูปแบบก็เป็นเพียงการสับขาหลอกของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดความสับสน เพราะเจตนาของรัฐบาล ก็คือต้องการทำทุกอย่างเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ เสี่ยงกับการเกิดการปฏิวัติที่อาจกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
โดยในระหว่างการประชุม นายอภิสิทธิ์ ยืนยันแต่ที่ประชุมว่า หนทางเดียวที่จะทำให้ประเทศหลุดพ้นจากวังวนความขัดแย้ง คือ พรรคประชาธิปัตย์ ต้องชนะเลือกตั้ง หากไม่ชนะตนก็จะไม่จัดตั้งรัฐบาล หากจะมีการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่พรรคไม่ชนะการเลือกตั้ง ก็ควรไปเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนตน