xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ทูตนกอินทรีตบหน้านายกฯ นกแก้ว และเงื่อนงำแห่ง “ผู้ก่อการบ๊อง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-อึ้ง....ทึ่ง....เสียว....กันทั้งบ้านทั้งเมืองเลยทีเดียว สำหรับปฏิบัติการสายฟ้าแลบจับตัว “นาย อาทริส ฮุสเซน” ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายชาวเลบานอน ภายใต้คำบัญชาการของ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรีและ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ภายหลังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย ออกประกาศเตือนพลเมืองอเมริกันให้ระมัดระวังการก่อการร้ายในกรุงเทพมหานคร จนนำไปสู่การออกประกาศเตือนพลเมืองตัวเองเช่นกันของอีก 14-15 ประเทศ 

เพราะตดยังไม่ทันหายเหม็น ตำรวจไทย “ยุคเป็ดเหลิม-บิ๊กออฟ” ก็สามารถรวบตัวคนร้ายในฉับพลันทันที แถมสามารถขยายความไปจับของกลางคือวัตถุตั้งต้นในการทำระเบิดได้อีกกระบุงโกย

เก่งชนิดที่สหรัฐอเมริกาน่าจะเชิญตำรวจไทยไปเป็นที่ปรึกษาในการล่าตัว “ผู้ก่อการร้าย” กันเลยทีเดียว

ทว่า ภายใต้ปฏิบัติการดังกล่าวก็มีข้อพิรุธที่ชวนให้เกิดความเคลือบแคลงใจตามมาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวนายอาทริสที่ทำไปทำมาจะไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ตัวจริง

แถมยังเป็นปฏิบัติการที่ทำลายภาพลักษณ์ของราชอาณาจักรไทยให้พินาศย่อยยับไปในพริบตา เพราะดันทะเล่อทะล่าไปแถลงข่าวใหญ่โตยอมรับการดำรงอยู่ของขบวนการก่อการร้ายในไทยส่งผลกระทบเป็นวงกว้างถึงการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วยจนยากที่จะเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้

และที่สุดถึงที่สุดก็คือ แม้ตำรวจไทยจะผู้ต้องสงสัยได้พร้อมเรียกร้องให้สถานทูตสหรัฐฯ ถอนคำประกาศเตือน แต่จนแล้วจนเล่าคำประกาศดังกล่าวก็ยังคงอยู่ นอกจากนี้ตัวทูตสหรัฐฯ ยังใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ส่วนตัวตอกย้ำให้ระวังบริเวณถนนข้าวสารและสุขุมวิท 22 อีกต่างหาก

เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลสวีเดนที่ประกาศชัดเจนว่านายอาทริสมิได้ถือสัญชาติสวีเดนตามที่ตำรวจไทยกล่าวอ้าง

ขณะเดียวกันท่าทีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศไทยในกรณีดังกล่าวก็ชวนให้สงสัยว่า มีวาระซ่อนเร้นหรือมีเป้าประสงค์อะไรแอบแฝงหรือไม่ เพราะเป็นคำประกาศเตือนที่โฉ่งฉ่างและผิดวิสัยมหามิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กันมายอย่างยาวนาน แทนที่จะแจ้งเตือนเป็นการภายในกลับเผยแพร่อย่างตรงไปตรงมาในที่สาธารณะ

พญาอินทรีกำลังปฏิบัติการอะไรบางอย่างต่อประเทศไทย ตลอดรวมถึงประเทศในทวีเอเชียหรือไม่

**"อาทริส ฮุสเซน" ตัวจริงหรือตัวปลอม

กระแสข่าวการก่อการร้ายได้บังเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกครั้งเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2555 หลังจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ให้ออกประกาศแจ้งข่าวด่วนถึงชาวอเมริกันในประเทศไทย ขอให้เฝ้าระวังภัยอันตรายที่อาจเกิดจากการโจมตีของพวกก่อการร้าย โดยระบุว่า ให้ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทราบว่ามีกลุ่มก่อการร้ายต่างชาติอาจกำลังมองหาเป้าหมาย เพื่อปฏิบัติการโจมตีแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพฯในอนาคตอันใกล้นี้

ดังนั้นชาวอเมริกันทุกคนจึงขอให้ระวังตัวเมื่อต้องเดินทางไปตามสถานที่สาธารณะ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวของชาติตะวันตกรวมตัวอยู่กันเป็นจำนวนมากในกรุงเทพฯ และขอให้ชาวอเมริกันตื่นตัวเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ต้องระวังกระเป๋า หรือสิ่งของที่มีคนนำมาทิ้งไว้ในที่สาธารณะ สถานที่ที่มีผู้คนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก และหากพบพฤติกรรมผิดสังเกตให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ในทันที ขอให้ชาวอเมริกันเก็บตัวเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ โดยเฉพาะจุดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางเข้าไปมากที่สุด

ทั้งนี้ หลังปรากฏเป็นข่าว นายกฯ นกแก้วของไทยก็ให้สัมภาษณ์ในฉับพลันทันทีว่า คนไทยไม่ต้องเป็นห่วง เพราะรัฐบาลรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แถมบัญชาการให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่เพลานี้เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไปบี้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯให้ถอนคำแจ้งเตือนภายในวันที่ 16 ม.ค.2555

และในวันเดียวกันนั้นเอง ก็เกิดปฏิบัติการสายฟ้าแลบ เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ออกมาเปิดเผยถึงการจับกุมผู้ต้องสงสัย โดยพล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร.และ พ.ต.อ.ปรีดา สถาวร โฆษก บช.น. แถลงยืนยันว่า หน่วยงานความมั่นคงของประเทศไทย พบข้อมูลบุคคลต้องสงสัยชาวต่างชาติ เข้ามาก่อวินาศกรรมภายในราชอาณาจักร โดยได้เชิญผู้ต้องสงสัย 1 ราย ซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานตรงกับข่าวว่าอาจจะก่อเหตุในประเทศไทย ซึ่งบุคคลต้องสงสัยคนนั้นคือ "อาทริส ฮุสเซน" อายุ 47 ปี สัญชาติเลบานอน-สวีเดน และเป็นสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งถือพาสปอร์ต 2 เล่ม เตรียมจะเดินทางออกนอกประเทศ แต่ถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวได้ก่อน

จากนั้น "พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ" ผกก.กองกำกับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 ได้นำกำลังไปรับตัว "อาทริส ฮุสเซน" ไปสอบปากคำและซักถามที่กองกำกับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 บก.สปพ.

การแถลงข่าวของ พล.ต.ต.ปิยะ ในวันนั้น ยังได้ขยายผลต่อไปว่าเจ้าหน้าที่ทราบว่ายังมีผู้ต้องสงสัยหลบหนีไปได้อีก 1 คน พร้อมกับโชว์ภาพสเกตช์ผู้ต้องสงสัยอีกหนึ่งราย ที่ยังไม่ได้เชิญตัวมาสอบปากคำ โดยระบุเป็นชายชาวตะวันออกกลาง อายุระหว่าง 30-40 ปี สูงประมาณ 180 เซนติเมตร เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนถึงเทศกาลปีใหม่ 2555 ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องสงสัยได้เคยไปปรากฏตัวในพื้นที่มีความล่อแหลมจำนวน 3 แห่ง คือ 1.ถนนตรอกข้าวสาร 2.ซอยรามบุตรี และ 3.ซอยสุขุมวิท 22

ที่เด็ดสะระตี่ไปกว่านั้นก็คือ จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญ หรือไม่ ที่การสอบปากคำ"อาทริส ฮุสเซน"ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายรายนี้ ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และการรับสารภาพของนักก่อการร้ายที่ยอมเปิดปากอย่างง่ายดาย เกี่ยวกับแผนการและสถานที่จัดเก็บสารประกอบระเบิด ผิดวิสัยของผู้ก่อการร้ายที่พึงมี

จากนั้นวันที่ 16 ม.ค. 55 เวลา 06.00 น.พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ก็นำทีมตำรวจทั้งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ตรวจวัตถุระเบิด ตำรวจปราบปรามยาเสพติดกว่า 200 นาย เข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น เลขที่ 52/14-15 หมู่ 2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นสถานที่ซุกซ่อนสารประกอบระเบิด

การเข้าตรวจค้นครั้งนั้น"เพรียวพันธ์"แจกแจงว่าพบสารประกอบวัตถุระเบิด ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย จำนวน 337 ลัง ภายในลังบรรจุถุงพลาสติกใส่ จำนวน 4 ถุง ๆ ละ 7 กก. รวมน้ำหนักทั้งสิ้น 4,380 กิโลกรัม,แอมโมเนียไนเตรต บรรจุแกลลอนขนาด 20 ลิตร จำนวน 10 แกลลอน, แอมโมเนียไนเตรตละลายผสมแล้ว บรรจุลังพลาสติกขนาด 90 ลิตร จำนวน 2 ลัง, เครื่องซีนถุงพลาสติก 1 เครื่อง เครื่องซีนถุงสุญญากาศอีก 1 เครื่อง รองเท้าแตะ จำนวน 600 คู่, กระดาษ เอ4 จำนวน 300 ลัง และ พัดลม 400 ตัว ซึ่งสารประกอบวัตถุระเบิดดังกล่าวไม่ได้นำมาใช้ก่อเหตุในประเทศไทย เนื่องจากมีการบรรจุในลังกระดาษอย่างมิดชิด จำนวน 337 ลัง เพื่อเตรียมลำเลียงออกนอกประเทศโดยทางเรือ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าเป็นประเทศใด โดย "อาทริส" ยืนยันว่าได้เช่าอาคารไว้เก็บสารเคมีเหล่านี้นานกว่า 1 ปีแล้ว

ขณะที่ พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร.หนึ่งในทีมตรวจค้น อธิบายต่อว่า อาคารพาณิชย์ที่เช่าเก็บปุ๋ยยูเรีย มีที่นอน 3 ที่ และมีร่องรอยการใช้สิ่งของในห้องและมีคนเข้าออกตลอดเวลา ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีผู้เข้าร่วมขบวนการมากกว่า 1 คน โดยการค้นเจ้าหน้าที่พบหลักฐานที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ดังนั้นจึงแจ้งข้อหามีแอมโมเนียไนเตรตไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมควบคุมตัว "อาทริส ฮุสเซน" ไว้ดำเนินคดีต่อไป

ปฎิบัติการเค้นสอบ"อาทริส ฮุสเซน"ยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น โดยเขาถูกนำตัวไปถูกควบคุมและสอบปากคำต่อที่ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.)โดยใช้เวลานานหลายชั่วโมง ต่อมา "พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต" รองผบ.ตร.ออกมาพูดว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทั้งหมดว่า พักอยู่ที่ใด ซึ่งในส่วนสารเคมีที่ค้นพบเจ้าหน้าที่มีข้อมูลอยู่แล้ว คาดว่าไม่ได้นำมาใช้ในประเทศไทย
พร้อมระบุว่าอีกต่างหากว่า จากการตรวจสอบหลักฐาน พบว่า ผู้ต้องหาเดินทางเข้าออกประเทศไทย รวม 11 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยจะพักประจำอยู่ที่โรงแรมออลซีซัน กรุงเทพฯ-สยาม ถนนราชปรารภ เขตราชเทวี กทม. พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากการกระทำของผู้ต้องหากับพวกสังกัดองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติหัวรุนแรง มุ่งกระทำต่อบุคคลต่างชาติ ซึ่งมักวางระเบิดที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไม่คำนึงถึงเป้าหมาย หากปล่อยตัวชั่วคราวไปแล้วจะหลบหนี

รวดเร็ว ฉับไวจนก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า นายอาทริสเป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริงหรือไม่ และทำไมเมื่อมีการจับกุมในเบื้องแรกถึงต้องมีการใส่ไอ้โม่งคลุมหน้าคลุมตาราวกับผู้ต้องหาเด็กและเยาวชน กระทั่งเมื่อมีการตั้งข้อสังเกตจากสังคมถึงได้มีการถอดไอ้โม่งออกมาให้เห็นหน้ากันชัดๆ

“บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงกับให้สัมภาษณ์โต้งๆ ว่า ไม่มั่นใจว่านายอาทริสจะเป็นผู้ก่อการร้าย  พร้อมตำหนิการปฏิบัติการของตำรวจอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมอยากให้ผู้ปฏิบัติ ทำอะไรให้มีความรอบคอบ ก่อนที่จะบอกว่า เป็นการก่อการร้าย เพราะจะมีผลกระทบที่รุนแรง โดยขณะนี้ได้กำชับผู้ปฏิบัติให้มีความละเอียด ในการตั้งข้อหาการก่อการร้าย เพราะเกรงว่า หากมีการจับผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ไม่มีการตั้งข้อหาก่อการร้าย ก็เกรงว่า จะมีปัญหา"

เช่นเดียวกับ นายกาเลบ อาบู ไซนับ สมาชิกฝ่ายการเมืองของฮิซบอลเลาะห์ในรัฐบาลเลบานอน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว ยา ลิบนานว่า ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมในไทย "ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์"

ทั้งนี้ คำยืนยันของนายไซนับ สอดคล้องกับความเห็นของนายปีเตอร์ เบอร์เกน นักวิเคราะห์ด้านก่อการร้ายของสำนักข่าว ยา ลิบนาน ของเลบานอน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังด้วยการเป็นหนึ่งในนักข่าวเพียงไม่กี่คนที่เคยสัมภาษณ์อุซามะห์ บินลาดิน แกนนำอัลกออิดะห์ผู้ล่วงลับ ที่ระบุว่า "คำกล่าวอ้างที่ว่ากลุ่มฮิซบอลเลาะห์เคลื่อนไหวในไทย เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง" เขากล่าว "ตามประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ไม่เคยปรากฏว่าฮิซบอลเลาะห์เคลื่อนไหวอยู่ในไทย"

ที่สำคัญคือ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถจับกุมนายอาทริส ฮุสเซนได้ ทว่า ภาพรวมสถานการณ์ประเทศไทยในสายตาชาวโลกก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะนอกจากสถานทูตสหรัฐฯ ยังไม่ประกาศยกเลิกคำเตือนแล้ว นางคริสตี เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยยังโพสต์ข้อความเตือนให้ชาวต่างชาติหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังถนนข้าวสาร และสุขุมวิท 22 ซ้ำในเวลาถัดมาอีกต่างหาก

เสมือนหนึ่งเป็นการตบหน้านายกฯ นกแก้วและรัฐบาลไทยชนิดหมอไม่รับเย็บกันเลยทีเดียว

ดังนั้น จึงเกิดคำถามย้อนกลับไปว่า นายอาทริส ฮุสเซนเป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริงหรือไม่ เพราะถ้าจับได้จริงและรู้เส้นทางของขบวนการก่อการร้ายดังที่ตำรวจกล่าวหาก สถานทูตสหรัฐฯ ก็น่าจะประกาศยกเลิกคำเตือนไปแล้ว แต่นี่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

**จับ “อาทริส” สะท้อนอัตลักษณ์นายกฯ นกแก้ว

นอกเหนือจากประเด็นนายอาทริส ฮุสเซนเป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริงหรือตัวปลอมแล้ว การจับกุมนายอาทริส ฮุสเซนยังก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวางถึงการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า ล้มเหลวและเละเทะดีแต่โม้เพียงใด

ทั้งการแถลงข่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิมและพล.อ.ยุทธศักดิ์ ที่ท่านได้พูดแบบรู้ลึกว่า..."จากการรายงานของหน่วยข่าวพบว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเชื่อมโยงกับบทบาทของสหรัฐฯ ที่ปฏิบัติการในอิหร่านอยู่ในขณะนี้ โดยได้แจ้งเตือนแต่ละหน่วยงานให้เฝ้าระวังพื้นที่ในจุดเสี่ยงอย่างเข้มข้น แต่เท่าที่ดูพฤติกรรมของ 2 คน ยังไม่พบสิ่งผิดปกติว่าจะมีการก่อเหตุตามที่แจ้งมาแต่ยืนยันว่าหน่วยข่าวไทยและสหรัฐฯ จะเฝ้าติดตามตลอด 24 ชั่วโมง หากพบว่าจะลงมือก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับกุมได้ทันที พร้อมกับระบุว่าทราบความเคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค.54 จากหน่วยข่าวอิสราเอล ว่าจะมีผู้ก่อเหตุ 2 คน ขณะนี้สามารถจับกุมได้แล้ว 1 คน และออกนอกประเทศไปแล้ว 1 คน โดยกลุ่มดังกล่าวมีวัตถุประสงค์แก้แค้นชาวอิสราเอลที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น และจำกัดพื้นที่อยู่แต่เฉพาะกรุงเทพมหานคร"

ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นการสร้างความสับสนและตื่นตระหนักให้กับสังคมอย่างหนัก จนทำให้สถานการณ์บานปลายและก่อให้เกิดผลกระทบกับการท่องเที่ยวมหาศาล ดังเช่นที่นายขจัดภัย บุรุษพัฒน์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะนายกสมาคมรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทยวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “อยากฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่ควรโฉ่งฉางในการแถลงข่าวผลงานมากเกินไป หากไม่มีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจน เพราะจะส่งผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศในอนาคตได้ เพราะในแง่รูปคดียังไม่มีหลักฐานบ่งชัดพอว่าจะมีการก่อการร้ายในไทย และไม่อยากให้ไทยไปอยู่ในความขัดแย้ง”

นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนหัดในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการนำพาประเทศไทยเข้าสู่วงจรของการก่อการร้ายอย่างไม่น่าเกิดขึ้น

นอกจากนี้การที่ “อ้ายปึ้ง”นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออกมาแสดงท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจและขู่ให้สหรัฐฯลดระดับการเตือนภัย รวมถึงการเรียกทูตมาพบก็ยิ่งสะท้อนวุฒิภาวะและวุฒิปัญญาของของเจ้ากระทรวงบัวแก้วได้เป็นอย่างดี

นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า โดยธรรมชาติของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ อยู่ดีๆ ไทยไปขู่ว่าให้ลดระดับประกาศเตือนภัยทันที สหรัฐฯ คงไม่ยอมง่ายๆ ถ้าจะยอมก็ต้องมีลีลาลูกเล่นเยอะไม่ยอมง่ายๆ ยิ่งถ้ากระทรวงการ ต่างประเทศไปกดดัน เช่น เรียกทูตมาพบยิ่งไปกันใหญ่ เพราะประเทศอื่นๆ จะมองได้ว่าไปพบง่ายๆ ก็ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ
      
 ทั้งนี้ บทบาทสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศโดย เฉพาะรัฐมนตรีคือการประสานความเข้าใจและต้องเข้าใจงานทางการทูตอย่างลึกซึ้ง ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาการตอบโต้กันไปมาผ่านสื่อ เพราะทราบดีว่าทูตผู้หญิงคนนี้ให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์อย่างมาก จึงอยากแนะนำให้รัฐมนตรีลงมาพูดคุยกับทูตด้วยตัวเองและควรให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงที่มีความรู้และข้อมูลก่อการร้ายสากลอย่างแท้จริงมาพูดคุยกับสหรัฐฯ เพื่อทำความเข้าใจว่าไทยกำลังทำอะไรอยู่ และเชื่อว่าในที่สุดสหรัฐฯ อาจเข้าใจและถอนประกาศเตือนภัยก่อการร้ายในที่สุด

“จริงๆ แล้วในทางลับไทย-สหรัฐฯมีความร่วมมือด้านความมั่นคงอยู่แล้ว แต่ผิดสังเกตตรงที่มีข่าวจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาระบุว่าไม่ให้สหรัฐฯ เข้าร่วมสอบสวนเมื่อวานนี้ (17 ม.ค.) เช้าวันรุ่งขึ้น(18 ม.ค.) นางคริสตี เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โพสต์ทวิตเตอร์ทันทีว่า ยังไม่ถอนคำเตือนต่อพลเมืองสหรัฐฯกับภัยก่อการร้ายในกรุงเทพฯ แสดงว่าต้องเกิดปัญหาการสื่อสารบางอย่างระหว่างไทย-สหรัฐฯ” นายปณิธานแจกแจงข้อผิดสังเกต       

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องขบคิดไม่แพ้กันคือ ทำไมสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยถึงต้องออกประกาศเตือนอย่างซึ่งหน้าแทนที่จะมีการประสานงานลับๆ เป็นการภายในกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศหรือหน่วยงานความมั่นคง

ยิ่งตัวทูตสหรัฐฯ คนปัจจุบันคือ “นางคริสตี เคนนี่ย์” ด้วยแล้ว ก็น่าจะประสานเป็นการภายในได้ เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับรัฐบาลเพื่อไทยและนายกฯ นกแก้ว

ดังนั้น คำเตือนดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นถึงดัชนีความเชื่อมั่นที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีต่อรัฐบาลไทยและหน่วยงานความมั่นคงไทยได้เป็นอย่างดีว่า ไม่มีศักยภาพและประสิทธิภาพเพียงพอที่จะจัดการกับขบวนการก่อการร้ายได้ ดังนั้น จึงเลือกที่จะออกประกาศเตือนแทน

ใช่หรือไม่

ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงเงื่อนปมอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้คำประกาศเตือนของสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยซึ่งเป็นปมปริศนาที่ยังมืดมดว่า ทำเนียบขาวต้องการอะไรและมีเป้าประสงค์อะไร ใช่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้หรือไม่

ทั้งนี้ ข้อสังเกตที่ดูเหมือนว่าจะมีน้ำหนักไม่น้อยคือการวิเคราะห์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำมาเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กส่วนตัวผ่านหลังสนทนากับนายสนธิ       

กล่าวคือ นายสนธิได้วิเคราะห์ถึง​บทบาทของสหรัฐอเมริกาในหลายประเ​ด็น โดยเฉพาะการถอยออกจากอิรักทั้งๆ​ ที่ปัญหาความวุ่นวายยังคงดำรงอยู่ว่า “เป็นเพราะทรัพยากรธรรมชาติโดย​เฉพาะพลังงานในตะวันออกกลางใกล้​ถึงจุดอิ่ม ตัวแล้ว ไม่สามารถจะมีผลประโยชน์ไปได้ไก​ลกว่านี้ ในขณะที่เอเชีย-แปซิฟิก ยังเหลือแหล่งพลังงานและทรัพยาก​รธรรมชาติที่ยังใหม่และสดกว่า จึงเป็นที่มาของการที่สหรัฐอเมริกาประกาศจะเข้ามาเก็บเกี่ยวผลป​ระโยชน์ในภูมิภาคนี้ที่นับวันจะ​มีอนาคตมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อถ่วงดุลอำนาจและแย่​งชิงผลประโยชน์จากจีนในภูมิภาคนี้ให้มากขึ้น จึงต้องจับตาการแทรกแซงและสร้าง​สถานการณ์เพื่อให้สหรัฐอเมริกามีบทบาทในภูมิภาคนี้”
       
....ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่สหรัฐอเมริกาประกาศเตือนภัยก่อการร้ายในประเทศไทยเพื่อหวังรุกคืบเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ พร้อมกับดำเนินยุทธศาสตร์ทางการเมืองเพื่อปิดล้อมจีน

ตัวอย่างที่ได้ชัดคือการส่งนางฮิลลารี คลินตันไปเยือนรัฐบาลทหารพม่าและพบปะนางอองซาน ซูจี ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการฟูสัมพันธภาพกับพม่าครั้งใหญ่เพื่อให้​มีส่วนแบ่งในทรัพยากรธรรมชาติให้ถ่วงดุลกับจีนมากขึ้น

แต่จะอย่างไรก็ตาม ท้ายสุดแล้ว"อาทริส ฮุสเซน"เขาคือผู้ก่อการร้ายตัวจริง และ ตำรวจไทยเอาผิดกับเขาฐานก่อการร้ายได้หรือไม่ ถือเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้อง แต่ที่แน่ๆกรณีปมปัญหา"การก่อการร้าย" ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของราชอาณาจักรไทยที่ทุกประเทศทั่วโลกให้ความสนใจและเฝ้าจับตามองไปเรียบร้อยแล้ว

คำถามก็คือ รัฐบาลนายกฯ นกแก้วมีปัญญาในการแก้ไขหรือไม่?



กำลังโหลดความคิดเห็น