xs
xsm
sm
md
lg

ฝากขัง"อาทริส" สุวรรณภูมิเข้มรปภ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ตำรวจฝากขัง"อาทริส ฮุสเซน"ฐานผิด พ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ ค้านประกัน เกรงหลบหนี เผยสอบสวน ช่วง 2 ปี เข้าไทย 11 ครั้ง แต่ไม่ใช่ตัวการ พบมีอีก 3 ต่างชาติร่วมแก๊ง โฆษกปชป.อัดผลงานรัฐบาลปู เหลวเหลก-ล้มเหลว-ล้มละลาย กับงานด้านความมั่นคง สุวรรณภูมิเข้มระดับ 3 เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย

วานนี้ (17 ม.ค.) เวลา 08.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บก.ตชด.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม.และ บก.สปพ.ได้นำตัวนายอาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องหาชาวเลบานอนที่ควบคุมตัวไว้หลังตรวจพบสารประกอบระเบิดจำนวนมากในห้องเช่าอาคารพาณิชย์ ย่านมหาชัย จ.สมุทรสาคร มาสอบปากคำเพิ่มเติม โดยมี พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. และชุดสอบสวน บช.ภ.7 ร่วมทำการสอบปากคำ

พล.ต.อ.ปานศิริ เปิดเผยว่า หลังจากการสอบสวนเสร็จสิ้น จะนำตัวนายอาทริส ไปฝากขังที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก โดยนายอาทริส ได้ให้ความร่วมมือในการสอบสวนเป็นอย่างดี ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องในคดียังขอไม่เปิดเผย อยู่ในสำนวนการสอบสวน ซึ่งมีทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทั้งได้สั่งการให้ชุดสืบสวนที่หาข้อมูลในพื้นที่มารายงานความคืบหน้าภาย ซึ่งมีหลายประเด็นที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากผู้ต้องหาเดินทางเข้าออกประเทศไทยหลายครั้ง รวมทั้งการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องติดต่อกับนายอาทริส

ผู้สื่อข่าวถามถึงการดำเนินคดีต่อนายอาทริส ในข้อหาก่อการร้าย พล.ต.อ.ปานศิริกล่าวว่า ยังต้องมีการสอบปากคำเพิ่มเติม และดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าเข้าข่ายหรือไม่ รวมทั้งต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติม และตรวจสอบหลักฐานที่รวบรวมได้

**"อาทริส"ไม่ใช่ตัวการสำคัญ**

พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. กล่าวว่า เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหานายอาทริส ฐานมีวัตถุต้องห้ามในครอบครอง โดยสิ่งที่ตำรวจดำเนินการ เป็นการแสดงความชัดเจนต่อประชาชนว่าตำรวจมีการประสานงานกับทหาร สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และสามารถแสดงความชัดเจนให้ประชาชนมั่นใจถึงความปลอดภัย

สำหรับนายอาทริส ยืนยันได้ว่า ไม่ได้เป็นตัวการสำคัญที่จะมาก่อการร้ายในไทย แต่เป็นแค่คนที่เข้ามาดูแลสารที่มาประกอบระเบิดเหล่านี้ โดยจากการสืบสวนมีหลักฐานว่า นายอาทริส ได้ติดต่อบริษัทขนส่ง และตู้คอนเทนเนอร์ไว้แล้ว เพื่อเตรียมส่งออกประเทศที่ 3 ทั้งนี้ ได้แจ้งประเทศที่ 3 ทราบแล้ว แต่คงไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ จะกระทบกับความมั่นคง

ทั้งนี้ นอกจากนายอาทริสแล้ว พบว่า มีผู้เกี่ยวข้องเป็นชาวต่างชาติอีก 3 คน ที่เข้าออกอาคารพาณิชย์ที่ใช้เป็นที่เก็บปุ๋ยยูเรียและแอมโมเนียไนเตรด จาการตรวจสอบ ทั้ง 3 ราย พบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา และขณะนี้หลบหนีออกนอกประเทศไทยไปแล้ว

พล.ต.ท.วินัยกล่าวว่า สำหรับสารที่จะมาก่อระเบิด เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดได้หมดแล้ว และการข่าวไม่มีการก่อการร้ายในไทย แต่ใช้ประเทศไทยในการซื้อปุ๋ยยูเรีย พักไว้และส่งออกไปประเทศเป้าหมาย โดยเชื่อว่า นายอาทริส ได้เตรียมส่งออกสารดังกล่าวเป็นครั้งแรก แต่พบว่านายอาทริส เดินทางเข้าออกประเทศไทยหลายครั้งแล้ว สำหรับประเทศไทย ตัวปุ๋ยยูเรียเองหาซื้อได้ตามท้องตลอด การครอบครองไม่ผิดกฎหมาย

**ฝากขังศาลค้านประกัน**

ต่อมาเวลา 15.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวน (สบ 4) กองบังคับการปราบปราม ควบคุมตัวนายอาทริส ฮุสเซน อายุ 47 ปี สัญชาติเลบานอน-สวีเดน ภูมิลำเนาอยู่ที่ เบรุตฮาดัท ถ.จามุส อาคารกราดิเนีย ชั้น 4 ประเทศเลบานอน ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย ฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ผู้ต้องหามีวัตถุระเบิดในครอบครอง มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 17-28 ม.ค. เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นต้องสอบสวนพยานอีก 30 ปาก รวมทั้งประสานหน่วยข่าวกรองทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูลก่อการร้ายและติดตามพิสูจน์วัตถุพยานที่ยึดได้จากห้องเช่าหลายรายการ และการสืบสวนขยายผล เพื่อติดตามจับกุมผู้ร่วมกระทำผิด

ทั้งนี้ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากพฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหากับพวกสังกัดองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติหัวรุนแรง มุ่งกระทำต่อบุคคลต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตกและสัญชาติอิสราเอลทั้งในและนอกราชอาณาจักร ซึ่งมักวางระเบิดที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไม่คำนึงถึงเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นเด็กสตรี ประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อภาพลักษณ์เศรษฐกิจและความสงบเรียบร้อย และยังเป็นการกระทำภายใต้องค์กรที่ปกปิดความลับและซับซ้อน ขณะที่คดียังอยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและผู้ต้องหายังเป็นบุคคลต่างด้าวไม่มีที่อยู่และอาชีพเป็นหลักแหล่งในประเทศไทย จึงเกรงว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจะหลบหนีไปสมคบกับพวกที่หลบหนี เพื่อก่อเหตุร้ายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐอย่างร้ายแรง หรือไปข่มขู่และยุ่งกับพยานหลักฐานอื่น

**พบ 2 ปี เข้าไทยรวม 11 ครั้ง***

คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า หลังจาก สตช.ได้รับการประสานจากฝ่ายกิจการตำรวจประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค สำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศอิสราเอล ว่า เมื่อเดือนธ.ค.2554 มีสมาชิกฮิซบอเลาะห์ สัญชาติเลบานอนลักลอบเข้ามาในประเทศไทยเพื่อก่อความไม่สงบด้วยการวางระเบิดในแหล่งท่องเที่ยว เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนข้าวสาร ซึ่งต่อมาสถานทูตอิสราเอลยังได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่าการเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อพยายามก่อเหตุกับต่างชาติที่เป็นปฏิปักษ์กับโลกอาหรับ สตช.และหน่วยงานความมั่นคงอื่น ๆ ได้เร่งรัดสืบสวนจับกุมกระทั่งพบผู้ต้องหาที่สนามบินสุวรรณภูมิที่กำลังจะหลบหนี

จากการตรวจสอบหลักฐานพบว่าผู้ต้องหาถือสัญชาติเลบานอนและสวีเดน เดินทางเข้าออกประเทศไทยรวม 11 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยจะพักประจำอยู่ที่โรงแรมออลซีซั่น กรุงเทพฯ-สยาม ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม.

ต่อมาสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงได้เพิกถอนการอนุญาตผู้ต้องหาให้อยู่ในราชอาณาจักรและกักตัวไว้เพื่อส่งออกนอกประเทศ แต่จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2553 ได้เช่าตึกแถว 2 คูหา เลขที่ 52/15 ม.2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ไว้เพื่อเก็บสะสมอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการก่อเหตุ และวันที่ 11 ม.ค.2555 ได้เช่ารถยนต์โตโยต้าวีออส จากร้านสาทรคาร์เร้นท์ เขตสาธร กทม. เพื่อไปถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆ และซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิด เช่น ถุงพลาสติกจากร้านค้าย่านเยาวราช เพื่อนำไปบรรจุวัตถุระเบิดและสิ่งของอื่นๆ ในพื้นที่ กทม. ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นอาคารใน จ.สมุทรสาครเมื่อวันที่ 16 ม.ค.2555 พบแกลลอนบรรจุของเหลวจำนวน 11 แกลลอน ซึ่งผู้ชำนาญการยืนยันว่าเป็นแอมโมเนียไนเตรต ที่ใช้เป็นส่วนผสมของวัตถุระเบิดได้ ถุงพลาสติกที่บรรจุผลึกสารเคมีสีขาวรวม 335 กล่อง พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อหาดำเนินคดีผู้ต้องหาฐานมีไว้ซึ่งยุทธภัณฑ์ (แอมโมเนียไนเตรต) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 ประกอบ ประกาศกระทรวงกลาโหมเรื่องกำหนดชนิดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้นำตัวนายอาทริสไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯต่อไป

**ทูตทหารแคนาดาแจงกลาโหม**

ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.รามาส บรีกาติส ผู้ช่วยทูตทหารแคนาดาประจำกรุงเทพฯ ได้เข้าพบหารือกับ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม (สนผ.) ที่ห้องรับรองภายในกระทรวงกลาโหม ภายหลังมีการประกาศจากหน่วยงานด้านการต่างประเทศของแคนาดา ในการแจ้งเตือน เฝ้าระวังในระดับสูงสำหรับชาวแคนาดาที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมทั้งผู้ที่จะเดินทางมายังประเทศไทย

พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พ.อ.รามาส ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า การประกาศเป็นไปตามประกาศของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลออสเตรเลีย ที่ออกมาประกาศก่อนหน้านี้ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีรูปแบบการประกาศตามแบบฟอร์มการรายงานของการท่องเที่ยวประเทศไทย (Travel Report Thailand) ซึ่งถือว่าเป็นการประกาศทั่วไป ที่ไม่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชน

พ.อ.ธนาธิป กล่าวว่า ในวันนี้ (18 ม.ค.) ผู้ช่วยทูตทหารออสเตรเลีย จะเดินทางเข้าพบผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม ช่วงเวลาประมาณ 10.30 น.

ทั้งนี้ การเชิญผู้ช่วยทูตทหารทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา และออสเตรเลีย มาร่วมปรึกษาหารือในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากทั้ง 3 ประเทศได้มีการแจ้งเตือนประชาชนของตนเองดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการหารือกันเพื่อให้เกิดการประสานงานกันได้ อย่างใกล้ชิด และทันเวลาในการแก้ปัญหาร่วมกัน

**เหลวเหลก-ล้มเหลว-ล้มละลาย

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีรัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จในงานด้านความมั่นคง และต่างประเทศ จากปัจจัย "3ล." โดยพิจารณาจากกรณีก่อการร้าย อันประกอบด้วย

1.เหลวแหลก งานด้านความมั่นคง มั่วในการบริหารงาน ตั้งแต่เริ่มมีปัญหาสหรัฐฯ ออกคำเตือนพลเมืองว่า จะมีการก่อการร้ายในกทม. แทนที่รัฐบาลจะบริหารสถานการณ์สื่อสารอย่างเป็นระบบ กลับเอางานด้านความมั่นคงไปฝากไว้ในมือของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และผบ.ตร ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องหารือทุกหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อให้มีความเป็นเอกภาพ ชี้แจงในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการเรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติ แต่นายกรัฐมนตรีกลับให้ ร.ต.อ.เฉลิม และ ผบ.ตร. มาดำเนินการ ทั้งๆ ที่คนที่ควรเข้ามาควบคุมสถานการณ์ คือ ตัวนายกรัฐมนตรี และรองนายกฯ ด้านความมั่นคง คือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ จนทำให้เกิดความสับสนเพิ่มขึ้น และสร้างความเสียหายตามมา

2.ล้มเหลว ด้านการต่างประเทศที่ยังอ่อนด้อย ไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง สะท้อนจากบทบาทของ รมว.ต่างประเทศ เพราะแทนที่จะประสานภายในกับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนถึงความกังวลของสหรัฐฯ และขจัดความกังวลนั้นเสีย เพื่อให้เพิกถอนคำเตือน แต่กลับใช้วิธีตำหนิผ่านสื่อ ประกาศเรียกทูตมาพบ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าไปให้สุดทาง โยนเผือกร้อนไปให้ รมว.กลาโหม ทำแทน ในการเชิญทูตทหารมา และยื่นคำขาดว่าต้องถอนคำเตือน สุดท้ายเขาไม่ทำ ประเทศก็ยิ่งเสียหาย และแสดงให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอที่จะทำให้เขาเชื่อมั่น

3.ล้มละลาย ทางความน่าเชื่อถือ ซึ่งจากภาพรวมการบริหารที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ แก้ปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ขณะที่นายกรัฐมนตรี ไม่มีความรู้ในงานด้านบริหาร สอบตกในการสื่อสารยามสถานการณ์วิกฤติ ทำให้รัฐบาลล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ซึ่งไม่น่าแปลกใจ ที่จะไม่มีชาติใดเชื่อถือรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่มีชาติไหนจะให้ความเชื่อมั่นกับรัฐบาลที่โกหก แม้กระทั่งประชาชนของตัวเอง

**สุวรรณภูมิยกระดับรปภ.เป็นขั้น3

นายสมชัย สวัสดีผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กล่าวว่า ตามที่มีข่าวจากสื่อมวลชนในเรื่องการก่อการร้าย และประกอบกับช่วงนี้ใกล้กับเทศกาลตรุษจีน ซึ่งจะมีผู้โดยสารเดินทางผ่านเข้า-ออก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) เป็นจำนวนมาก ทสภ.จึงได้ปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับที่มีความเข้มงวดในการรักษาปลอดภัยมากขึ้นกว่าปกติ โดยการเพิ่มกำลัง และความถี่ในการตรวจตราทั้งภายใน และภายนอกอาคารผู้โดยสาร เพิ่มความเข้มงวดในการจอดยานพาหนะ บริเวณด้านหน้าชานชาลาอาคารผู้โดยสารให้เฉพาะจอดรับ-ส่งเท่านั้น โดยไม่อนุญาตให้จอดรอ การตั้งจุดตรวจตามจุดต่างๆ ภายในท่าอากาศยานเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจค้นผู้โดยสาร และสัมภาระก่อนขึ้นเครื่อง โดยจะมีการสุ่มตรวจร่างกายผู้โดยสารที่เดินผ่านเครื่องตรวจจับโลหะชนิดเดินผ่าน (Walk Through Metal Detector) ทั้งที่มีสัญญาณเตือน และไม่มีสัญญาณเตือน ในสัดส่วน 1 :10 คน

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับสถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และตำรวจท่องเที่ยว ในการสนธิกำลังตรวจตราพื้นที่ ตลอด 24 ชั่วโมง

**กักตัวรอข้อมูล อิสราเอล-สหรัฐฯ

พล.ต.อ.วิเชียร พจนโพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า จากการหารือฝ่ายความมั่นคง เห็นควรดำเนินการทางกฎหมายภายในประเทศกับนายอาทริส ฮุสเซน ตามความผิดที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่จะชี้ชัดได้ว่าบุคคลดังกล่าวก่อการร้าย เพราะวัตถุพยานที่ตรวจจับได้ แม้จะเป็นวัตถุประกอบระเบิดก็ตาม แต่ไม่ครบองค์ประกอบตามกฎหมายก่อการร้าย

พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กำลังรอข้อมูลเพิ่มเติมจากประเทศสหรัฐฯ และอิสราเอลว่าจะมีการกล่าวหาหรือให้ข้อมูลใดๆ บ้างว่า นายอาทริส ฮุสเซน มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายอย่างไร และรอผลการดำเนินการสอบสวนและคำรับสารภาพว่าจะสาวไปถึงขั้นไหน แต่ยืนยันว่าประเทศไทยดำเนินการทุกอย่างตามกระบวนการกฎหมาย คือควบคุมตัวตามหมายศาล และสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอน และหากถึงขั้นต้องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนก็จำเป็นต้องดำเนินการกฎหมายที่มีอยู่

ด้านนายขจัดภัย บุรุษพัฒน์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะนายกสมาคมรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการประเมินหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าในการต่อสู้ชั้นศาล นายอาทริส ฮุสเซน ศาลอาจยกฟ้อง หรือหลุดในชั้นศาล เพราะหลักฐานอ่อน ไม่ครบองค์ประกอบ อาจมีความผิดเพียงครอบครองวัตถุต้องห้ามไว้ครอบครอง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าบุคคลดังกล่าวจะก่อการร้ายจริง และไม่มีความชัดเจนว่า หากทำระเบิดแล้วจะส่งไปยังประเทศ เช่น อินโดนิเซีย หรือฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่ในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบก็ตาม

**ติงบิ๊กรัฐบาลฃด่วนสรุปก่อการร้าย

นายปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เบื้องต้นเชื่อได้ว่าบุคคลดังกล่าวเข้ามาดำเนินการวางแผนก่อการร้ายในประเทศไทยจริง เพราะ 1.คำรับสารภาพจากตัวนายอาทริส ฮุสเซน ที่ยอมรับว่าเป็นแนวร่วมกลุ่มฮิสบอลเลาะห์ 2.ได้รับข่าวกรองเชิงลึกจากประเทศอิสราเอล ซึ่งนับว่าเป็นองค์กรสายลับที่น่าเชื่อถือที่ติดตามดมกลิ่นขบวนการก่อการร้ายมาอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ สิ่งที่น่ากังวล คือ แม้นายอาทริส ฮุสเซน จะรับสารภาพว่าเป็นเพียงผู้จัดหาวัสดุเพื่อส่งไปยังต่างประเทศ และบุคคลระดับวางแผนและปฏิบัติการหลบหนีไปแล้วก็ตาม แต่การดำเนินคดีในศาล นายอาทริส ฮุสเซน อาจกลับคำให้การได้ ส่วนที่ยอมรับสารภาพไปก่อน เพราะเกิดแรงกดดันจากการสอบสวน และในกระบวนการยุติธรรมไม่รับฟังข้อมูลข่าวกรองมาประกอบการพิจารณาสั่งฟ้อง ดังนั้น ในการดำเนินการใดๆ จึงต้องระมัดระวัง เพราะมีผลกระทบทางการเมืองระหว่างประเทศสูง
กำลังโหลดความคิดเห็น