xs
xsm
sm
md
lg

บ.ทัวร์ขีดเส้น 2 วัน บุกสถานทูตสหรัฐฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ชุมพล" ลงพื้นที่ถนนข้าวสาร เรียกความมั่นใจ นักท่องเที่ยว ขณะที่ภาคเอกชนเตรียมส่งหนังสือถึงสถานฑูตสหรัฐ ถามหาเหตุผลการประกาศเตือนก่อการร้าย กต.เตรียมเดินสายแจง 18 ประเทศ หลังสหรัฐฯยังไม่ปลดป้ายเตือนก่อการร้ายในไทย

วานนี้(19 ม.ค.55) การประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาตินายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้แสดงความเป็นห่วง กรณีรัฐบาลสหรัฐประกาศเตือนพลเมืองที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้กระทบต่อการท่องเที่ยวของไทยได้ ซึ่งขณะนี้กระทรวงได้เฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

หากภายใน 1-2 วัน สหรัฐยังไม่ยกเลิกประกาศเตือน ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะตั้งคณะกรรมการ 1 ชุด เพื่อทำงานรวบรวมและติดตามสถานการณ์และผลกระทบของประกาศเตือนต่อนักท่องเที่ยวของต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ถึงขณะนี้ยังไม่มียอดการยกเลิกการเดินทางของนักท่องเที่ยว แต่ตัวเลขกรเดินทางเข้าไทยของชาวต่างชาติก็ชะลอตัว เปลี่ยนจากที่จะมาลงสุวรรณภูมิ ไปลงที่สนามบินเชียงใหม่ และภูเก็ตเพิ่มขึ้นแทน

“ได้สอบถามไปยังผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ทัวร์ ก็ยังไม่พบการยกเลิกเดินทาง ตัวเลขนักท่องเที่ยว ที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนและหลังมีประกาศเตือน ยังใกล้เคียงกัน แต่เพื่อสร้างความเชื่อมั่น วันนี้(19 ม.ค.55) เวลา 18.00 น. ผมและทีมงาน จะลงสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวแถวตรอกข้าวสาร และเวลาประมาณ 20.00 น.ในวันเดียวกันจะเดินทางไปที่สุขุมวิท 21ซึ่งเป็นอีกพื้นที่ที่ระบุไว้ในประกาศเตือน ”นายชุมพลกล่าว

ด้านนายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวง ฯ ได้หารือกับผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยว พบว่าถ้าสหรัฐฯ ยังไม่ยกเลิกคำเตือนอาจจะมีการรวมตัวเพื่อยื่นหนังสือถึงสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยให้รับทราบถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการท่องเที่ยว และให้สถานทูตชี้แจงความชัดเจนของประกาศดังกล่าว เพราะผลจากคำประกาศมีผลต่อจิตวิทยาต่อนักท่องเที่ยวมาก

สำหรับกลุ่มประเทศที่อ่อนไวต่อข่าว ซึ่ง กระทรวงฯต้องเร่งชี้แจง ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง จึงจำเป็นที่รัฐบาลและผู้ประกอบการท่องเที่ยวต้องเร่งสร้างความมั่นใจ หากอีก 2 วัน ยังไม่มีความชัดเจน หรือมีประเทศอื่นประกาศเตือนเพิ่มขึ้น ก็จะต้องเร่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อเพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.)ด้านการท่องเที่ยว ในสัปดาห์หน้าเพื่อหาแนวทางรับมือ

ออกหมายจับอีก 1 ร่วมแก๊ง “อาทริส ฮุสเซน”

วันนี้ (19 ม.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น.ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีจับกุม นายอาทริส ฮุซเซน ชาวเลบานอน ผู้ต้องหามีไว้ซึ่งสารตั้งต้นผลิตวัตถุระเบิด และสมาชิกเครือข่ายฮิซบอลเลาะห์ ว่า จากการตรวจสอบพบว่า นายอาทริส ถือ 2 สัญชาติ คือ เลบานอน และสวีเดน ซึ่งมีการขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 1 คน แต่เป็นเพียงการออกหมายจับตามภาพสเกตช์ที่ได้ตามคำให้การนายอาทริส รวมถึงเจ้าของบ้านเช่าที่เห็นผู้ต้องสงสัยอีก 1 ราย มาร่วมเช่าบ้านหลังดังกล่าวกับนายอาทริส โดยทราบชื่อแล้วว่าเป็นใคร ซึ่งชายคนนี้อยู่กับ นายอาทริส ภายในบ้านที่ จ.สมุทรสาคร นานนับเดือน จึงเชื่อว่า ร่วมกันบรรจุปุ๋ยยูเรียลงในถุงทรายแมว ส่วนจะออกนอกประเทศไทยไปแล้วหรือไม่นั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ไม่มีเป้าหมายมาก่อการร้ายในประเทศไทย ดังนั้น ไม่น่ามีปัญหาอะไร ซึ่งในส่วนการสืบสวนสอบสวนตนมอบหมายให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร.ดูแล

เมื่อถามว่าออกหมายจับแล้วจะส่งภาพสเกตช์ให้แก่ตำรวจสากลหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้หน่วยข่าวกรองของต่างชาติรับไปแล้ว

“เชื่อว่า คนร้ายไม่มีเป้าหมายก่อการในประเทศเรา เพราะความสัมพันธ์ของเรากับชาติอาหรับดีมาก ส่วนการจะออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มอีกหรือไม่ทุกอย่างอยู่ที่พยานหลักฐาน อยู่ที่ตัวบุคคลยืนยัน ขณะนี้คงตอบไม่ได้ว่าจะออกหมายจับเพิ่มอีกหรือไม่ หากหลักฐานไปถึงก็ต้องดำเนินการ” ผบ.ตร.กล่าว

ส่วนการที่ต่างชาติยังคงประกาศแจ้งเตือนเฝ้าระวังการเดินทางในประเทศไทย ผบ.ตร.กล่าวว่า เป็นสิทธิของประเทศต่างๆ หวั่นเกรงว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นกับเขา จึงมีความรู้สึกวิตกกังวล ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละประเทศที่จะมีความวิตกกังวล โดยคาดว่าอีกไม่กี่วันปัญหานี้น่าจะคลี่คลาย ซึ่งขณะนี้ประเทศต่างๆ ทราบทั้งหมดแล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว

ในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 16.00 น.ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รองผบช.น.) เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่สามารถออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมคดีครอบครองยุทธภัณฑ์ได้ เนื่องจากการออกหมายจับผู้ต้องหาในทุกคดีต้องมีความละเอียดรอบคอบในข้อมูล รวมถึงต้องดูความเรียบร้อย ทั้งกรณีรูปพรรณสัณฐาน เนื่องจากผู้ต้องสงสัยเป็นชาวต่างชาติ และมีหลายชื่อ แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบพยานหลักฐานและเร่งรัด เพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องสงสัยให้ได้ในวันนี้

ส่วนศาลจะอนุมัติหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล แต่ในชั้นพนักงานสอบสวนมั่นใจว่าพยานหลักฐานสามารถเอาผิดได้

ส่วนกรณีที่มีหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวรวมตัวชุมนุมในหลายสถานที่จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาได้มีการแจ้งเตือนการก่อการร้ายในประเทศไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า เชื่อว่า ไม่มีผลต่อรูปคดี เนื่องจากพนักงานสอบสวนมีหน้าที่ทำงานตามหลักฐานที่มีและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ

ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก พล.ต.ต.อนุชัย ได้เข้าร่วมฟังสรุปผลการติดตามความคืบหน้าของคดีเพิ่มเติมยังห้องประชุมชั้น 5 นานประมาณ 30 นาที พล.ต.ต.อนุชัย พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ให้เดินทางออกจาก บช.ตชด.ไปยังศาลอาญารัชดาฯ เพื่อนำพยานหลักฐานไปขออนุมัติเพื่อออกหมายจับ นายเจมส์ แซมมี่ เปาโล อายุ 40 ปี ชาวเลบานอน เพื่อนร่วมขบวนการกับ นายอาทริส ในข้อหาร่วมมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองเกินกฎหมายกำหนด

ทั้งนี้ พล.ต.ต.อนุชัย ได้กล่าวก่อนเดินทางไปยังศาลอาญาว่า จากการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนพบว่ามีหลักฐานแน่นหนาเพียงพอที่จะขอให้ศาลอนุมัติออกหมายจับได้ ซึ่ง จากข้อมูลขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า นายเจมส์ ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ส่วนจะมีการออกหมายจับบุคคลอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน

ต่อมาเวลา 17.00 น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับนายเจมส์ แซมมี่ เปาโล อายุ 40 ปี สัญชาติเลบานอน ที่พบว่ามีความเชื่อโยงกับนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ตามความผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ หลังจากนี้ทางชุดสืบสวนคดีจะเร่งดำเนินติดตามตัวนายเจมส์มาสอบสวนทันที ทั้งการสแกนพื้นที่และตั้งจุดตรวจต่าง ๆ แต่ไม่มั่นใจว่านายเจมส์จะยังคงกบดานอยู่ในประเทศไทยหรือไม่

***ออกหมายจับ "เจมส์ แซมมี่ เปาโล"

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 17.00 น. พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้นำพยานหลักฐานจำนวน 3 แฟ้มใหญ่ มาเสนอศาลเพื่อพิจารณาอนุมัติออกหมายจับ นาย เจมส์ แซมมี่ เปาโล อายุ 40 ปี ชาวเลบานอล ผู้ต้องหาร่วมกับนายอาทริส ฮุสเซน สัญชาติเลบานอนและสวีเดน ผู้ร่วมขบวนการกลุ่มฮีซบอลเลาะห์ ที่ถูกจับกุมได้ก่อนหน้านี้ ในข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองเกินกฏหมายกำหนด โดยศาลได้สอบถามพนักงานสอบสวนและพิจารณาพยานหลักฐานเป็นคำให้การของพยานหลายปาก โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที จึงอนุมัติให้ออกหมายจับนายเจมส์ แซมมี่ เปาโล เลขที่ 64/2555 ลงวันที่ 19 ม.ค. 2555

จากนั้น พนักงานสอบสวนได้นำหมายจับไปส่งให้พล.ต.อ ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร ในฐานะหัวหน้าพนักงงานสอบสวน และ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อประชุมทีมสืบสวนจับตัวผู้ต้องหาต่อไป

ว่าที่เรืออากาศโทอนิรุทธิ์ ถอนมกุลบุตร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) ทอท.ที่มี พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เป็นประธาน วานนี้( 19 ม.ค.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการกำหนดกรอบอัตราค่าธรรมเนียมข้อมูลตรวจสอบและคัดกรอง ผู้โดยสารล่วงหน้า (APPS) ในอัตรา 90 บาท ต่อผู้โดยสาร 1 คน ซึ่งกำหนดเป็นอัตราเพดานสูงสุดไว้ก่อน แต่จะเก็บตามต้นทุนที่จ่ายจริง โดยระบบดังกล่าวจะเป็นการส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น สำนักตรวจคนเข้าเมืองศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามยาเสพติด สภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น

ซึ่งจะทำให้สามารถพิจารณาว่า จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารเดินทาง และเพื่อสายการบินจะได้แจ้งให้ผู้โดยสารทราบว่า ผู้โดยสารจะสามารถเช็คอินได้หรือไม่ ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวก รวดเร็วและควบคู่กับความมั่นคงและปลอดภัยกับผู้โดยสารที่มาใช้บริการ

โดยหลังจากนี้จะเสนอเรื่องต่อที่ประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.)เห็นชอบ และเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง โดยเมื่อครม.เห็นชอบทอท.จะลงทุนระบบต่อไป

ทั้งนี้ ทอท.ได้ปรับระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานเชียงใหม่ เป็น ระดับ 3 โดยสูงสุดคือ ระดับ 4 ซึ่ง ทั้ง 2 สนามบินเป็นพื้นที่เป้าหมายตามข่าวที่ออกมา ซึ่งจะมีการเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยมากขึ้นทั้งการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่และการเพิ่มความถี่ในการตรวจตรา โดยจะมีการติดตามด้านการข่าวอย่างใกล้ชิด และเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติจะปรับลดมาตรการรักษาความปลอดภัยลงมาอยู่ที่ ระดับ 2 เหมือนเดิม

แหล่งข่าวจากทอท.กล่าวว่า การติดตั้งระบบดังกล่าวเบื้องต้น ทอท.จะให้เอกชนเข้ามาลงทุน มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การติดตั้ง,ดูแลรักษา,ซ่อมบำรุง

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 05.00 น.นาย สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า ก่อนหน้านี้ทางปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการพูดคุยกับอุปทูตสหรัฐฯเพื่อทำความเข้าใจแล้วและได้ชี้แจงถึงเหตุผล รวมทั้งข้อมูลต่างๆของฝ่ายความมั่นคงและขอให้ทางการสหรัฐฯ ได้ถอนประกาศดังกล่าวซึ่งทางอุปทูตฯก็รับปากว่าจะเร่งไปดูให้ ซึ่งคาดว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับทางรัฐบาลสหรัฐฯก็ต้องให้เวลากับเขา

ส่วนที่มีข่าวว่าสหรัฐฯได้ออกประกาศเตือนฉบับที่สองนั้น จากการตรวจสอบและดูในเว็ปไซด์แล้วไม่ปรากฎตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ดังนั้น จึงต้องรอการประสานงานระหว่างกันก่อน และกระทรวงการต่างประเทสคงไม่จำเป็นต้องเรียกอุปทูตเข้ามาพบอีก เพราะถือว่า เราได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางการทูตไปเรียบร้อยแล้ว

“แต่เราก็อยากจะร้องขอไปยังทางการสหรัฐฯ เพราะครั้งแรกที่สหรัฐฯออกประกาศเตือนประชาชนของเขานั้น เป็นช่วงวันที่ 13-15 ม.ค. ซึ่งขณะนี้ก็ผ่านไปหลายวันแล้วก็ไม่เกิดเหตุการณ์อะไร อีกทั้งฝ่ายความมั่นคงของประเทศไทยเองก็ออกมาให้ความมั่นใจและดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างดี ทางสหรัฐฯเองก็น่าจะมีการพิจารณายกเลิกการประกาศเตือนดังกล่าว วันนี้ฝ่ายความมั่นคงและตำรวจก็ได้ดำเนินการมาระดับหนึ่งแล้ว จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของกระทรสวงการต่างประเทศที่จะนำข้อมูลไปชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งผมได้มอบหมายให้นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการอยู่โดยจะชี้แจงที่ละประเทศ” รมว.ต่างประเทศกล่าว

เมื่อถามว่า ยังมีอีกหลายประเทศที่คงประกาศคำเตือนประชาชนของตัวเองตามสหรัฐฯ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนี้เราต้องเร่งชี้แจงทั้งหมด เพราะคำเตือนที่ออกมาครั้งแรกบอกว่าจะเกิดเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 13-15 ม.ค. ซึ่งวันนี้เลยมา 4 วันแล้ว เหตุการณ์ต่างๆก็ไม่เกิดขึ้น ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ก็ติดตามอย่างใกล้ชิดระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายไม่ว่าจะกับคนต่างชาติหรือคนไทย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เชื่อว่าสามารถให้ความมั่นใจและทำความเข้าใจกับประเทศต่างๆได้ กระทรวงการต่างประเทสก็จะทำการชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจกับ 18 ประเทศ รวมสหรัฐฯที่ยังประกาศคำเตือนประชาชนของเขาอยู่

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่สหรัฐฯและประเทศต่างๆเชื่อการข่าวของตัวเอง มากกว่าประเทศไทย นายสุรพงษ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ตนได้พบกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ท่านก็บอกว่าได้ฟังจากทางการสหรัฐฯท่านเลยประกาศคำเตือนตาม แต่เมื่อเหตุการณ์และช่วงเวลาเลยมาแล้ว ก็เห็นว่าทางการไทยสามารถจับกุมผู้ก่อการร้ายหรือผู้ต้องสงสัยว่าจะกระทำการ ร้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านทูตก็เกิดความมั่นใจส่วนหนึ่ง ซึ่งตนคิดว่าทางการของไทยก็จะดำเนินการชี้แจงต่อไป และไม่คิดว่าสหรัฐฯ จะมีการข่าวเป็นอย่างอื่นขึ้นมาอีก เพราะจากการที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้คุยกับอุปทูตสหรัฐฯก็ไม่มีเรื่อง แบบนั้น เพียงแต่ท่านอุปทูตยังไม่สามารถตัดสินใจได้ต้องกลับไปหารือกับทางการสหรัฐฯ ก่อน

“ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีความสงบ เนื่องจากเราเป็นมิตรกับทุกประเทสไม่ว่ากับฝ่ายไหนเราไม่เคยไปทะเลาะเบาะแว้ง เราดำเนินการทางการต่างประเทศด้วยความระมัดระวังมาโดยตลอด และเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทยแน่นอน ในอดีตที่เคยเกิดสมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกฯ ท่านก็เอาข้าวหมกไก่เลี้ยงแถมให้ห่อกลับไปก็ไม่มีเหตุการณ์ร้าย ผมจึงอยากให้เพื่อนๆต่างชาติได้นึกถึงบรรยากาศครั้งนั้นว่าประเทศไทยเป็นมิตรกับทุกประเทศ ยืนยันว่าวันนี้ฝ่ายความมั่นคงของเราก็ยืนยันว่าการข่าวไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายกรัฐมนตรีก็ได้กำชับไปแล้วว่าให้ดูแลความเรียบร้อยทั้งหมด ต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายในประเทศไทย ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวเสียหาย วันนี้เศรษฐกิจไทยกำลังดีวันดีคืน คนเข้ามาท่องเที่ยว เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงมากจึงได้กำชับทุกหน่วยงานดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด” รมว.ต่างประเทศกล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวทางการดำเนินการกับนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน สมาชิกขบวนการฮิซบัลเลาะห์ ว่า เรื่องนี้ตนรู้ในรายละเอียดมาตามลำดับ เพราะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอด แต่เรื่องแบบนี้คงให้สัมภาษณ์ไม่ได้ ไม่ควรพูด เราอย่าเอาตัวเราไปเป็นคู่กรณีเป้าหมายเขาไม่ใช่เรา ที่ผ่านมาตนให้สัมภาษณ์เพียงว่าเราควบคุมสถานการณ์ได้ทุกอย่างเรียบร้อย แต่สำหรับขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไร มีหลักฐานอะไรบ้างจะต้องให้สัมภาษณ์น้อยที่สุด ทั้งนี้ วิธีการแก้ปัญหาก่อการร้ายคืออย่าเอาประเทศเราไปเป็นคู่กรณี

ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ ยังคงประกาศเตือนอยู่จะเป็นปัญหาต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เราต้องยืนยันว่าควบคุมสถานการณ์ได้ เรื่องนี้เกิดเมื่อปี 2526 ที่กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน กลุ่มดังกล่าวก็พลีชีพทำให้นาวิกโยธินสหรัฐฯเสียชีวิตจำนวนมาก สหรัฐฯก็จำฝังใจซึ่งก็ต้องเห็นใจเขา ส่วนการที่เลือกประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่วิเคราะห์ออกมา ส่วนจะมีการให้ข้อมูลความมั่นใจกับทางสหรัฐฯอีกครั้งหรือไม่เพื่อให้ถอนประกาศเตือน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า มีการพูดคุยกันแล้ว แต่ตนได้มอบให้ผบ.ตร.ดูแลเรื่องนี้ ฝ่ายการเมืองไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องแบบนี้มาก ทั้งนี้เป็นสิทธิของสหรัฐฯที่จะประกาศเตือน ส่วนประเทศไทยก็ต้องดูแลบ้านเราเอง

ที่ศาลาว่าการกทม. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานกรุงเทพมหานคร ในการประชุมครั้งนี้ ผู้ว่าฯกทม. ได้ย้ำให้สำนักการจราจรและขนส่ง สำนักเทศกิจ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผู้อำนวยการเขตกำชับผู้ปฏิบัติงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่เทศกิจ และพนักงานกวาด ช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งติดตามด้านการข่าว และประสานเครือข่ายภาคประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตาดูแลความปลอดภัย หากพบวัตถุผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่โดยเร็ว เนื่องจากสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้ออกประกาศเตือนเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 55 ที่ผ่านมา ให้ระมัดระวังผู้ก่อการร้ายต่างชาติซึ่งอาจก่อเหตุให้พื้นที่กรุงเทพฯ ในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกจำนวนมาก ซึ่งแม้ว่าการดูแลความปลอดภัยจะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคง แต่กทม. ให้ฐานะดูแลรับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำเป็นต้องให้ความสนใจและดูแลความปลอดภัยของประชาชนด้วยเช่นกัน

นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวว่า จากที่เจ้าหน้าตำรวจได้มีการจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติว่าในส่วนของกทม.ที่ตนเองรับผิดชอบได้สั่งการให้สำนักการจราจรและขนส่ง(สจส.) ให้ติดตามกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(ซีซีทีวี) โดยเฉพาะกล้องที่ติดตั้งในเขตพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่เป็นจำนวนมากได้แก่ ย่านข้าวสาร สีลม ธนิยะ ทองหล่อ ซึ่งมาตรการดังกล่าวกทม.ได้ใช้มาตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่และจะยังคงมาตรการดังกล่าวไปถึงเทศกาลตรุษจีน ทั้งนี้ ตนเองมีความมั่นใจว่ากล้องซีซีทีวีของกทม.สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ กทม.ยังได้ประสานเป็นการภายในกับตำรวจและสำนักข่าวกรองแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในครั้งที่ตนเองยังกำกับดูแลสำนักเทศกิจ กทม.ได้มีการจัดสายตรวจเทศกิจออกลาดตระเวณตามสถานที่ต่างๆ อีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น