xs
xsm
sm
md
lg

หนุน"บินไทย"สู่เอกชน "กรณ์"ชี้ต้องแข่งขันสูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรมว.คลัง กล่าวถึงกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ประกาศจะแปรรูป บริษัท ปตท. และบริษัท การบินไทย ให้เป็นของเอกชน ภายในปีนี้ว่า ในส่วนหลักการ การปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจให้มีการแข่งขันเพิ่มขึ้น ตนสนับสนุน แต่กรณีปตท. เป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นองค์กรที่มีอำนาจผูกขาดในอุตสาหกรรม ที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนทุกครอบครัว คือ พลังงานทุกประเภท เพราะฉะนั้นการจะโอนอำนาจผูกขาดจากมือของรัฐ ที่มีอำนาจหน้าที่ ดูแลประชาชน ไปให้เอกชนที่คิดทำกำไรอย่างเดียว เป็นเรื่องที่อันตรายต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งตนคิดว่า รัฐบาลต้องชี้แจงว่า จะปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างไร ที่อ้างว่าทำเพื่อลดหนี้สาธารณะ เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะปัญหาหนี้สาธารณะในปัจจุบัน รัฐบาลก็รู้ดีว่า ยังกู้เงินเพิ่มได้ตามความต้องการตามความจำเป็น สามารถกู้ได้อีก 2 ล้านล้านบาท โดยไม่กระทบวินัยการคลัง จึงไม่ทราบว่ารัฐบาลมีแผนจะกู้เท่าไร และจะนำเงินไปทำอะไร
" ที่น่าเป็นห่วงคือ รัฐบาลได้ปล่อยเสรีให้ราคาก๊าซลอยตัว ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระต้นทุนให้กับปตท. และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรทางธุรกิจกับปตท. สอดคล้องกับการอนุมัติให้กระทรวงการคลังขายหุ้นให้เอกชน ชี้ให้เห็นว่า เริ่มเข้าสู่การเปิดโอกาสให้ปตท. ทำกำไร บนความทุกข์ยากของประชาชนเต็มที่ เป็นประเด็นที่ผมมีความกังวล และเชื่อว่าเรื่องหนี้สาธารณะ เป็นเพียงข้ออ้าง แต่การดำเนินการของรัฐบาลทั้งหมดเหมือนกับเป็นการเปิดช่องทางเพื่อให้ทุนเข้าไปครอบงำธุรกิจผูกขาดของปตท. มากกว่า จึงถือว่าอันตรายมาก และจะมีปัญหาประโยชน์ทับซ้อนตามมา ระหว่างอำนาจการเมืองกับอำนาจทุน ที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับปตท. ผมขอย้ำว่า แม้จะแปรรูปปตท. เป็นของเอกชน หนี้ก็ยังอยู่ เพียงแต่หนี้ไม่ได้นับเป็นหนี้ของรัฐบาล แต่ก็ยังคงอยู่เป็นหนี้ของประเทศอยู่ดี"

** หนุนแปรรูปการบินไทย

นายกรณ์ ยังกล่าวถึงการแปรรูปการบินไทย ให้เป็นของเอกชน ว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้ปูทางเอาไว้ เพราะการบินไทย มีความจำเป็นต้องแข่งขันกับบริษัทสายการบินทั้งใน และต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งในสมัยที่ตนเป็นรมว.คลัง ได้มีการเจรจากับกลุ่มเจ้าหนี้ ให้ยอมรับเงื่อนไขในกรณีที่รัฐถือหุ้นไม่เกินครึ่งหนึ่งว่าจะไม่มีผลกระทบต่อเจ้าหนี้ เพราะมีการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งหมดแล้ว พร้อมที่จะรับสภาพการเป็นบริษัทเอกชน และการบินไทยไม่ได้เป็นธุรกิจผูกขาดเหมือนปตท. ที่กระทบกับประชาชนโดยตรง แต่เมื่อรัฐจะให้เป็นบริษัทเอกชน ก็ต้องพิจารณาเรื่องเส้นทางการบินของการบินไทย ที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ และประโยชน์ของสังคม แต่ไม่ทำกำไร จะคงไว้อย่างไร แต่เมื่อการบินไทยเป็นบริษัทเอกชน ก็ต้องทำใจว่า การตกลงเพื่อประโยชน์ในภาพใหญ่ของประเทศอาจทำได้ยากขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องเตรียมมาตรการรองรับการสูญเสียโอกาสในส่วนนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลดเพดานปริมาณหนี้สาธารณะจากการแปรรูปการบินไทยและปตท. จะทำให้รัฐบาลกู้เพิ่มได้อีกเท่าไร นายกรณ์ กล่าวว่า ความจริงเกือบไม่มีผลในทางปฏิบัติ เพราะวงเงินกู้ที่เหลืออยู่ 2 ล้านล้านบาท เกินกว่าความจำเป็นที่ต้องกู้อยู่แล้ว ส่วนภาระต่องบประมาณของทั้งสองหน่วยงาน ไม่มี เพราะมีรายได้ชำระดอกเบี้ยของตนเองไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐ ซึ่งตนคิดว่า รัฐบาลต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่า ทำไมการบริหารประเทศจึงคิดแต่เรื่องของการกู้ ทั้งๆ ที่ใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นหลักโจมตีรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด แต่วันนี้กลับอ้างความจำเป็นเรื่องการกู้ยืมมาเป็นเหตุผล อธิบายทุกอย่างที่ทำในวันนี้ อีกทั้งปัญหาในต่างประเทศ ก็เกิดจากวิกฤตหนี้สาธารณะ เพราะรายรับของรัฐบาลไม่เพียงพอต่อการแบกรับภาระหนี้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่รัฐบาลควรจะได้พิจารณา ไม่ใช่คิดว่าจะกู้เพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คำนึงถึงรายได้ที่จะมาชำระหนี้สะสม
ส่วนกรณีที่เวิลด์แบงก์ ออกมาเตือนว่าอาจจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกซ้ำรอยปี 52 นั้น นายกรณ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจในขณะนี้อยู่ในภาวะเปราะบาง ในส่วนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า เพราะในยุโรป มีแนวโน้มว่าอัตราการขยายตัวจะติดลบ ในขณะที่จีนและอินเดียวก็ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ก็ยังไม่ฟื้นตัว จึงถือว่าเป็นสภาวะที่เปราะบาง

** พ.ร.ก.ไม่ผ่านรัฐบาลต้องลาออก

ดังนั้น ไทยต้องรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในเอาไว้ เพราะเป็นประเทศเล็ก ต้องมีหลักฐานยืนยันความมั่นคงที่ชัดเจนให้คู่ค้าเห็น เช่น เงินทุนสำรอง ระดับหนี้ ต้องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ จะทำตัวเหมือนเป็นประเทศใหญ่ มือใหญ่ หน้าใหญ่ กู้ได้ใช้เยอะ จะเป็นภัยอันตรายในอนาคต เพราะมีแต่แนวคิดใช้จ่ายโดยไม่สร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจให้ประเทศ เนื่องจากรัฐบาลยังบอกไม่ได้ว่าการใช้เงินจะทำให้เกิดการคุ้มค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างไร
" มุบมิบทำ เหมือนกับการออกพระราชกฤษฎีกา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแน่นอน เพราะหากไม่มีวาระซ่อนเร้น ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง แต่รัฐบาลกลับปกปิดข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน เหมือนตั้งใจให้คนไทยถูกมัดมือชก เป็นกากรระทำที่ขาดหลักธรรมาภิบาล และความโปร่งใส ไม่ยอมรับการตรวจสอบ สกัดการเข้าไปมีส่วนร่วมของ ธปท. และสภา ซึ่งผมคิดว่าวิธีการทำงานเช่นนี้ จะทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศอ่อนแอลง และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การออกพ.ร.ก. ดังกล่าว ขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลต้องรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออก เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และมีคนเตือนมาโดยตลอด แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันทำ จะอ้างว่าตัวเองมาจากเสียงข้างมาก ไม่ใช่คำตอบ และเหตุผลเพียงพอ อีกทั้งจะใช้เสียงข้างมากมาสร้างความชอบธรรมกับทุกอย่างไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพื่อรักษาความเป็นนิติรัฐ ไม่เช่นนั้นสังคมอยู่ไม่ได้ และ 15 ล้านก็ไม่ใช่เสียงข้างมากของประเทศ เป็นเสียงข้างมากในสภาเท่านั้น เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องเคารพกฎเกณฑ์และกฎหมาย " นายกรณ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น