แน่นอนว่าการปรับ ครม.แต่ละครั้ง ย่อมต้องการเสริมความแข็งแกร่ง กู้ภาพลักษณ์ และเรียกความเชื่อมั่นให้แก่รัฐนาวา โดยเฉพาะรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ต้องอาศัยจังหวะที่ “วิกฤตน้ำท่วม” เริ่มคลี่คลาย ปรับทัพเร่งเครื่องเดินหน้าสร้างผลงานซื้อใจรากหญ้า ชดเชยกับที่ “เสียรังวัด” ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกับความล้มเหลวในการบริหารจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา
ความน่าสนใจของการปรับ ครม.งวดนี้อยู่ที่ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่มีการรื้อแทบยกแผงหลังเกิด “เกาเหลา” แทบทุกกระทรวง ไล่ตั้งแต่ “คลัง – พาณิชย์ – คมนาคม – พลังงาน – อุตสาหกรรม” คงไว้แต่เพียง “บิ๊กโต้ง – กิตติรัตน์ ณ ระนอง” หัวหน้าทีมที่ยังรั้งตำแหน่งรองนายกฯ และข้ามห้วยจากกระทรวงพาณิชย์มานั่งควบที่กระทรวงการคลัง ส่วนเจ้ากระทรวงพาณิชย์ ตกเป็นของ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” คนสนิทของ “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์”
ขณะที่กระทรวงหูกวาง “คมนาคม” เป็นทีของ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ตกขบวนไม่ได้ร่วม ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ทั้งที่ถือเป็นคนทำงานให้พรรคมาโดยตลอด มารอบนี้จึงสมหวังเสียที สำหรับ “อุตสาหกรรม” ในโควต้าของพรรคชาติพัฒนา เป็นภาวะจำยอมเพราะเจ้ากระทรวงคนเก่าชูธงขาวยอมแพ้สังขาร จึงเป็นทีของ “ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์” ที่เด่นเรื่องงานวิชาการได้มานั่งแทน ส่วนงานด้านบริหารต้องจับตาดูกันต่อไป
แต่ที่ทำเอา “อาณาจักรเอนเนอยี่คอมเพลกซ์” ที่ทำการของกระทรวงพลังงานต้องสั่นสะเทือนยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ “น้องน้ำ” บุกมาจ่อคอหอยก็คือ การที่ “เสี่ยแดง - พิชัย นริพทะพันธุ์” พ้นจากตำแหน่งเสนาบดีแบบเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะที่ผ่านมาทั้งบทบาทนายทุนพรรค ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และคนทำงานที่ทุ่มเทให้พรรคแบบสุดตัว แต่กลับถูกปรับออกเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่ง ส.ส.รองก้น เพราะเสียสละขอใส่ชื่อไว้ในตำแหน่งท้ายๆของปาร์ตี้ลิสต์
ทำเอาเจ้าตัวออกอาการช็อค เพราะไม่เชื่อว่าจะ “ขาลอย” ไร้ตำแหน่งก่อนเวลาอันควร
แน่นอนว่า “จุดอ่อน” ที่หลายคนมองเห็นทั้งเรื่องมาตรการราคาพลังงาน ประกาศขึ้นราคาก๊าซจนเกิดเรื่องเกิดราวมีม็อบแท็กซี่-รถบรรทุกมาล้อมกระทรวงปิดถนนคัดค้านประเดิมรับปีใหม่ จนทำให้การจราจร กทม.ติดขัดอัมพาตไปเกือบทั้งวัน
หรือ “คูปองเจ้าปัญหา” ส่วนลด 2,000 บาทสำหรับการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเอาไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ ตามโครงการ “มหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย” ที่ถูกโจมตีว่า “แหกตา” ประชาชน เพราะไม่สามารถใช้ได้จริงตามที่ป่าวประกาศไว้ จนมีการประท้วงปิดถนนที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อช่วงก่อนปีใหม่
อย่างไรก็ตามเหตุลึกๆที่ทำให้ “พิชัย” ต้องถูกเลื่อนขาเก้าอี้จนหลุดจาก ครม.นั้นไม่ได้มาจาก 2 ประเด็นดังกล่าว เพราะการดำเนินนโยบายลอยตัวราคาพลังงานนั้นถือเป็นแนวทางของรัฐบาลนี้อยู่แล้ว ตามความต้องการของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ที่จ้องหาประโยชน์จากธุรกิจพลังงานตาเป็นมัน อีกทั้ง “ม๊อบรถบรรทุก” ที่โผล่มาคราวนั้นก็ถือเป็น “กากี่นั้ง” คนกันเองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่การที่ “พิชัย” ไม่ออกตัวไปเคลียร์ด้วยตัวเอง เพราะมี “ผู้ใหญ่” ในกระทรวงบอกว่าเรื่องนี้นายกฯจะเคลียร์เอง รัฐมนตรีไม่ต้องทำอะไร
แต่เมื่อเรื่องบานปลาย จน “ยิ่งลักษณ์” เรียกประชุมด่วน พอทั้งคู่ปะหน้ากัน จึงได้รู้ความจริงว่างานนี้ “เสี่ยแดง” โดนต้มเสียแล้ว
เช่นเดียวกับ “คูปองเจ้าปัญหา” ที่เป็นไอเดียของ “ผู้ใหญ่” ในกระทรวงคนเดิมที่ริเริ่มขึ้นมา แต่เมื่อเกิดปัญหาก็โยนให้เป็น “ไอเดียกระฉอก” ของรัฐมนตรี จนมีการโยนเรื่องราวว่ามีการทุจริตเก็บ “เงินทอน” กันในโครงการนี้
เรียกได้ว่า “พิชัย” โดนดัดหลังเต็มๆเพราะไว้ใจคนมากเกินไป
แถม “ฟาดหาง” มาเล่นงาน “เด็ก” อย่างลูกชายของรัฐมนตรีที่เป็นโฆษกกระทรวงว่า “กินหัวคิว” จากบริษัทจัดงานอีเวนต์โนเนมเข้ามา ไม่ยอมใช้ “ผู้รับเหมาเจ้าเดิม” ที่ผูกปีว่าจ้างกันมานามนม ซึ่งเป็นปมขัดแย้งตั้งแต่เมื่อ “พิชัย” เข้ามารับตำแหน่ง เหตุเพราะลูกชายหวังดีอยากจัดระบบระเบียบการใช้สอย “งบประชาสัมพันธ์” ของกระทรวงใหม่ทั้งหมด
โดยให้ “ผู้รับเหมาเจ้าเดิม” เข้ามาประมูลงานตามระเบียบ ไม่ใช้วิธีพิเศษอย่างที่ผ่านมา ด้วยวิธีการที่หักดิบไม่ยอมประนีประนอม กลายเป็น “ทุบหม้อข้าวเก่า” และทำให้คนในกระทรวงไม่พอใจ จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต และมีคนวิ่งแจ้นนำความไปฟ้อง “นายใหญ่” ถึงเมืองดูไบว่า เด็กคนนี้ไร้สัมมาคารวะเข้ามาเป็น “ก้างชิ้นโต” ทำให้เก็บเกี่ยวกินกันไม่คล่องคอเหมือนเช่นเดิม
ทั้งนี้อาจจะรวมไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตของกระทรวงพลังงานที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีนี้ ที่กำลังจะมีการประมูลสัมปทานหลายสิบใบเกี่ยวกับการขุดเจาะ-สำรวจแหล่งพลังงาน ซึ่ง “นายใหญ่-นายหญิง” ต้องการใช้มือทำงานที่ไว้ใจได้อย่าง “อารักษ์ ชลธารนนท์” ลูกหม้อชินคอร์ป เข้ามากำกับดูแลด้วยตัวเอง
“พิชัย” จึงต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปแบบช็อคๆ
ขณะที่ “ผู้มาใหม่” แม้จะมีมากถึง 10 คน แต่ก็ยังมีคนอกหักผิดหวังอยู่เต็มพรรคเช่นเดิม เพราะเกม “เก้าอี้ดนตรี” ที่มีโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีให้นั่งแค่ 35 ที่ แต่มี “คนกระสัน” ในอำนาจรออยู่เพียบ ทั้ง ส.ส.ที่มีมากกว่า 200 คน บวกกับคนทำงานเบื้องหลังอีกหลายสิบชีวิต
แต่คนที่อกหักช้ำแล้วช้ำอีกคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากขวัญใจเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ “อภิวันท์ วิริยะชัย” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เคยเป็นแคนดิเดตเข้าชิงดำตำแหน่ง “ประมุขนิติบัญญัติ” ให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล แต่สุดท้ายต้องขอบายถอนตัวปล่อยให้ “ขุนค้อน – สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” รับตำแหน่งไปเชยชม
ก่อนจะมามีหวังอีกครั้งเมื่อครั้งจัดทัพ ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 แต่ชื่อก็หลุดในช่วงโค้งสุดท้าย ว่ากันว่า “นายหญิง” ไม่ปลื้มกับบทบาทแนวคิดที่ผ่านมา จนตกขบวนอดเป็น “เสมา 1” รมว.ศึกษาธิการอย่างที่หวัง เช่นเดียวกับการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ที่ต้องอกหักซ้ำสองในตำแหน่ง โดยมี “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” คว้าตำแหน่งเสนาบดีศึกษาธิการไปครอง เพราะแม้ “อภิวันท์” จะทำงานสร้างผลงานเข้าตากรรมการจนน่าจะได้ตำแหน่งทางการเมืองเป็นรางวัล แต่ก็มี “ชนัก” ที่ติดหลังจาก “วีรกรรม” ในอดีต ซึ่งเจ้าตัวรู้ดีที่สุด
“กรณีที่ผมไม่ได้ตำแหน่งในรัฐมนตรีครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ายังมีจุดอ่อน และยังไม่เหมาะสมกับตำแหน่งใดๆ เมื่อไรเหมาะสมก็อาจจะได้เป็น ที่ผ่านมาคนเขาก็เชียร์เยอะ แต่อาจจะยังไม่เหมาะสม ณ ขณะนี้” เป็นคำพูดของ “อภิวันท์” ที่รับสภาพหลังรู้ตัวว่าไม่มีชื่อใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 2
“จุดอ่อน” ที่เจ้าตัวกล่าวถึงนั้นไม่ใช่การเป็น “หัวขบวน” ของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน เพราะคนอย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำแดงตัวพ่อ เจ้าของวรรคทอง “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” ยังขึ้นชั้น รมช.เกษตรฯได้ หรือคนอย่าง “สุชาติ” ที่ช่วงหลังเดินสายบรรยายเปิดโรงเรียนคนเสื้อแดงจนกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ก็ยังรีเทิร์นกลับมาเป็นรัฐมนตรีได้อีกหน
ดังนั้นเรื่องที่ “อภิวันท์” มีภาพติดกับคนเสื้อแดงนั้นจึงเป็นเรื่องรอง
แต่เป็น “วีรเกิน” ในอดีตมากกว่าที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง และทำให้ไม่ถึงฝั่นฝันกับเขาเสียที ทั้งการปลุกระดมมวลชนเข้าโอบล้อม หน้าบ้าน “ป๋าเปรม - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมขึ้นเวทีโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคาย และหนักไปถึงขั้นปราศรัยว่า “ไม่เชื่อว่า พล.อ.เปรม จะรักชาติมากกว่าคนอื่น เพราะทุกคนต่างก็รักชาติและสถาบันเหมือนกัน” ทั้งที่วันนั้นยังมีตำแหน่งเป็นรองประธานสภาฯอยู่
และหนักไปกว่านั้นกับการหยิบยกกรณีการล่มสลายของ “ราชวงศ์โรมานอฟ” ของรัสเซียมากระทบกระเทียบเปรียบเปรยว่าคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สร้างความไม่พอใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ และยังกลายเป็นโลโก้ติดตัวนำมาซึ่งฉายา “รองฯโรมานอฟ” อีกด้วย ภาพลักษณ์นี้เองที่ทำให้ “นายใหญ่ - นายหญิง” รวมไปถึง “ยิ่งลักษณ์” ต้องคิดหนัก
ด้วยประการฉะนี้แลทำให้ “อภิวันท์” จึงต้องผิดหวังไปไม่ถึงฝันอีกครั้ง
ความน่าสนใจของการปรับ ครม.งวดนี้อยู่ที่ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่มีการรื้อแทบยกแผงหลังเกิด “เกาเหลา” แทบทุกกระทรวง ไล่ตั้งแต่ “คลัง – พาณิชย์ – คมนาคม – พลังงาน – อุตสาหกรรม” คงไว้แต่เพียง “บิ๊กโต้ง – กิตติรัตน์ ณ ระนอง” หัวหน้าทีมที่ยังรั้งตำแหน่งรองนายกฯ และข้ามห้วยจากกระทรวงพาณิชย์มานั่งควบที่กระทรวงการคลัง ส่วนเจ้ากระทรวงพาณิชย์ ตกเป็นของ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” คนสนิทของ “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์”
ขณะที่กระทรวงหูกวาง “คมนาคม” เป็นทีของ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ตกขบวนไม่ได้ร่วม ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ทั้งที่ถือเป็นคนทำงานให้พรรคมาโดยตลอด มารอบนี้จึงสมหวังเสียที สำหรับ “อุตสาหกรรม” ในโควต้าของพรรคชาติพัฒนา เป็นภาวะจำยอมเพราะเจ้ากระทรวงคนเก่าชูธงขาวยอมแพ้สังขาร จึงเป็นทีของ “ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์” ที่เด่นเรื่องงานวิชาการได้มานั่งแทน ส่วนงานด้านบริหารต้องจับตาดูกันต่อไป
แต่ที่ทำเอา “อาณาจักรเอนเนอยี่คอมเพลกซ์” ที่ทำการของกระทรวงพลังงานต้องสั่นสะเทือนยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ “น้องน้ำ” บุกมาจ่อคอหอยก็คือ การที่ “เสี่ยแดง - พิชัย นริพทะพันธุ์” พ้นจากตำแหน่งเสนาบดีแบบเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะที่ผ่านมาทั้งบทบาทนายทุนพรรค ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค และคนทำงานที่ทุ่มเทให้พรรคแบบสุดตัว แต่กลับถูกปรับออกเร็วกว่าที่คาดไว้มาก ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่ง ส.ส.รองก้น เพราะเสียสละขอใส่ชื่อไว้ในตำแหน่งท้ายๆของปาร์ตี้ลิสต์
ทำเอาเจ้าตัวออกอาการช็อค เพราะไม่เชื่อว่าจะ “ขาลอย” ไร้ตำแหน่งก่อนเวลาอันควร
แน่นอนว่า “จุดอ่อน” ที่หลายคนมองเห็นทั้งเรื่องมาตรการราคาพลังงาน ประกาศขึ้นราคาก๊าซจนเกิดเรื่องเกิดราวมีม็อบแท็กซี่-รถบรรทุกมาล้อมกระทรวงปิดถนนคัดค้านประเดิมรับปีใหม่ จนทำให้การจราจร กทม.ติดขัดอัมพาตไปเกือบทั้งวัน
หรือ “คูปองเจ้าปัญหา” ส่วนลด 2,000 บาทสำหรับการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเอาไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ ตามโครงการ “มหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย” ที่ถูกโจมตีว่า “แหกตา” ประชาชน เพราะไม่สามารถใช้ได้จริงตามที่ป่าวประกาศไว้ จนมีการประท้วงปิดถนนที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อช่วงก่อนปีใหม่
อย่างไรก็ตามเหตุลึกๆที่ทำให้ “พิชัย” ต้องถูกเลื่อนขาเก้าอี้จนหลุดจาก ครม.นั้นไม่ได้มาจาก 2 ประเด็นดังกล่าว เพราะการดำเนินนโยบายลอยตัวราคาพลังงานนั้นถือเป็นแนวทางของรัฐบาลนี้อยู่แล้ว ตามความต้องการของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ที่จ้องหาประโยชน์จากธุรกิจพลังงานตาเป็นมัน อีกทั้ง “ม๊อบรถบรรทุก” ที่โผล่มาคราวนั้นก็ถือเป็น “กากี่นั้ง” คนกันเองกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่การที่ “พิชัย” ไม่ออกตัวไปเคลียร์ด้วยตัวเอง เพราะมี “ผู้ใหญ่” ในกระทรวงบอกว่าเรื่องนี้นายกฯจะเคลียร์เอง รัฐมนตรีไม่ต้องทำอะไร
แต่เมื่อเรื่องบานปลาย จน “ยิ่งลักษณ์” เรียกประชุมด่วน พอทั้งคู่ปะหน้ากัน จึงได้รู้ความจริงว่างานนี้ “เสี่ยแดง” โดนต้มเสียแล้ว
เช่นเดียวกับ “คูปองเจ้าปัญหา” ที่เป็นไอเดียของ “ผู้ใหญ่” ในกระทรวงคนเดิมที่ริเริ่มขึ้นมา แต่เมื่อเกิดปัญหาก็โยนให้เป็น “ไอเดียกระฉอก” ของรัฐมนตรี จนมีการโยนเรื่องราวว่ามีการทุจริตเก็บ “เงินทอน” กันในโครงการนี้
เรียกได้ว่า “พิชัย” โดนดัดหลังเต็มๆเพราะไว้ใจคนมากเกินไป
แถม “ฟาดหาง” มาเล่นงาน “เด็ก” อย่างลูกชายของรัฐมนตรีที่เป็นโฆษกกระทรวงว่า “กินหัวคิว” จากบริษัทจัดงานอีเวนต์โนเนมเข้ามา ไม่ยอมใช้ “ผู้รับเหมาเจ้าเดิม” ที่ผูกปีว่าจ้างกันมานามนม ซึ่งเป็นปมขัดแย้งตั้งแต่เมื่อ “พิชัย” เข้ามารับตำแหน่ง เหตุเพราะลูกชายหวังดีอยากจัดระบบระเบียบการใช้สอย “งบประชาสัมพันธ์” ของกระทรวงใหม่ทั้งหมด
โดยให้ “ผู้รับเหมาเจ้าเดิม” เข้ามาประมูลงานตามระเบียบ ไม่ใช้วิธีพิเศษอย่างที่ผ่านมา ด้วยวิธีการที่หักดิบไม่ยอมประนีประนอม กลายเป็น “ทุบหม้อข้าวเก่า” และทำให้คนในกระทรวงไม่พอใจ จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต และมีคนวิ่งแจ้นนำความไปฟ้อง “นายใหญ่” ถึงเมืองดูไบว่า เด็กคนนี้ไร้สัมมาคารวะเข้ามาเป็น “ก้างชิ้นโต” ทำให้เก็บเกี่ยวกินกันไม่คล่องคอเหมือนเช่นเดิม
ทั้งนี้อาจจะรวมไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตของกระทรวงพลังงานที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีนี้ ที่กำลังจะมีการประมูลสัมปทานหลายสิบใบเกี่ยวกับการขุดเจาะ-สำรวจแหล่งพลังงาน ซึ่ง “นายใหญ่-นายหญิง” ต้องการใช้มือทำงานที่ไว้ใจได้อย่าง “อารักษ์ ชลธารนนท์” ลูกหม้อชินคอร์ป เข้ามากำกับดูแลด้วยตัวเอง
“พิชัย” จึงต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปแบบช็อคๆ
ขณะที่ “ผู้มาใหม่” แม้จะมีมากถึง 10 คน แต่ก็ยังมีคนอกหักผิดหวังอยู่เต็มพรรคเช่นเดิม เพราะเกม “เก้าอี้ดนตรี” ที่มีโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีให้นั่งแค่ 35 ที่ แต่มี “คนกระสัน” ในอำนาจรออยู่เพียบ ทั้ง ส.ส.ที่มีมากกว่า 200 คน บวกกับคนทำงานเบื้องหลังอีกหลายสิบชีวิต
แต่คนที่อกหักช้ำแล้วช้ำอีกคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากขวัญใจเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ “อภิวันท์ วิริยะชัย” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เคยเป็นแคนดิเดตเข้าชิงดำตำแหน่ง “ประมุขนิติบัญญัติ” ให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล แต่สุดท้ายต้องขอบายถอนตัวปล่อยให้ “ขุนค้อน – สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” รับตำแหน่งไปเชยชม
ก่อนจะมามีหวังอีกครั้งเมื่อครั้งจัดทัพ ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 แต่ชื่อก็หลุดในช่วงโค้งสุดท้าย ว่ากันว่า “นายหญิง” ไม่ปลื้มกับบทบาทแนวคิดที่ผ่านมา จนตกขบวนอดเป็น “เสมา 1” รมว.ศึกษาธิการอย่างที่หวัง เช่นเดียวกับการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ที่ต้องอกหักซ้ำสองในตำแหน่ง โดยมี “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” คว้าตำแหน่งเสนาบดีศึกษาธิการไปครอง เพราะแม้ “อภิวันท์” จะทำงานสร้างผลงานเข้าตากรรมการจนน่าจะได้ตำแหน่งทางการเมืองเป็นรางวัล แต่ก็มี “ชนัก” ที่ติดหลังจาก “วีรกรรม” ในอดีต ซึ่งเจ้าตัวรู้ดีที่สุด
“กรณีที่ผมไม่ได้ตำแหน่งในรัฐมนตรีครั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ายังมีจุดอ่อน และยังไม่เหมาะสมกับตำแหน่งใดๆ เมื่อไรเหมาะสมก็อาจจะได้เป็น ที่ผ่านมาคนเขาก็เชียร์เยอะ แต่อาจจะยังไม่เหมาะสม ณ ขณะนี้” เป็นคำพูดของ “อภิวันท์” ที่รับสภาพหลังรู้ตัวว่าไม่มีชื่อใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 2
“จุดอ่อน” ที่เจ้าตัวกล่าวถึงนั้นไม่ใช่การเป็น “หัวขบวน” ของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างแน่นอน เพราะคนอย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนำแดงตัวพ่อ เจ้าของวรรคทอง “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” ยังขึ้นชั้น รมช.เกษตรฯได้ หรือคนอย่าง “สุชาติ” ที่ช่วงหลังเดินสายบรรยายเปิดโรงเรียนคนเสื้อแดงจนกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ก็ยังรีเทิร์นกลับมาเป็นรัฐมนตรีได้อีกหน
ดังนั้นเรื่องที่ “อภิวันท์” มีภาพติดกับคนเสื้อแดงนั้นจึงเป็นเรื่องรอง
แต่เป็น “วีรเกิน” ในอดีตมากกว่าที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง และทำให้ไม่ถึงฝั่นฝันกับเขาเสียที ทั้งการปลุกระดมมวลชนเข้าโอบล้อม หน้าบ้าน “ป๋าเปรม - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมขึ้นเวทีโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคาย และหนักไปถึงขั้นปราศรัยว่า “ไม่เชื่อว่า พล.อ.เปรม จะรักชาติมากกว่าคนอื่น เพราะทุกคนต่างก็รักชาติและสถาบันเหมือนกัน” ทั้งที่วันนั้นยังมีตำแหน่งเป็นรองประธานสภาฯอยู่
และหนักไปกว่านั้นกับการหยิบยกกรณีการล่มสลายของ “ราชวงศ์โรมานอฟ” ของรัสเซียมากระทบกระเทียบเปรียบเปรยว่าคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สร้างความไม่พอใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ และยังกลายเป็นโลโก้ติดตัวนำมาซึ่งฉายา “รองฯโรมานอฟ” อีกด้วย ภาพลักษณ์นี้เองที่ทำให้ “นายใหญ่ - นายหญิง” รวมไปถึง “ยิ่งลักษณ์” ต้องคิดหนัก
ด้วยประการฉะนี้แลทำให้ “อภิวันท์” จึงต้องผิดหวังไปไม่ถึงฝันอีกครั้ง