วานนี้(17 ม.ค.)น.ส.สาลี อ๋องสมหวัง กรรมการและเลขานุการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยภายหลังศาลปกครอง มีคำสั่งไม่ระงับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี ว่า จากนี้จะมีการหารือร่วมกันใน 2 เรื่อง คือ การพิจารณาในคำสั่งศาลปกครอง ว่าจะสามารถอุทธรณ์ได้หรือไม่ รวมถึงไปดูในข้อมูลและรายละเอียด องค์ประกอบ ให้มีความครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุด ยอมรับว่า การยื่นฟ้องศาลปกครองขอคุ้มครองชั่วคราวครั้งนี้ อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องของเวลา อาจทำให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนได้
นอกจากนี้ จะพิจารณาว่ายังมีกฎหมายใด มาตราใดบ้าง ที่จะมีอำนาจในการคุ้มครองชั่วคราว ให้ชะลอปรับขึ้นราคาก๊าซทั้ง 2 ชนิด ตามนโยบายของรัฐบาลบ้าง ไม่เช่นนั้น ประชาชนจะลำบากมากขึ้น เพราะถ้าการตรวจสอบเป็นเรื่องของนโยบาย และถ้านโยบายมีผลกระทบกับประชาชน ในทางปฏิบัติสังคม ต้องมาช่วยกันคิดว่า จะหากลไกใดมาดำเนินการในเรื่องนี้ได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าผิดหวัง ที่ในขณะนี้ รัฐบาลยังไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า การปรับขึ้นราคาก๊าซทั้งเอ็นจีวี และแอลพีจี ได้มีการตรวจสอบอย่างรอบคอบ หรือมีข้อกำหนดราคาผิดพลาดหรือไม่ อย่างไร เพราะราคาที่กำหนดอาจจะสูงเกินจริงก็ได้ จึงอยากให้รัฐบาลออกมาตอบคำถามว่า มีการคำนวณราคาที่กำหนดนั้นเกินจริงหรือไม่
**คนอีสาน 53 % ค้านขึ้นNGV-LPG
อีกด้าน ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.)เปิดเผยถึงผลการสำรวจเรื่องปัญหาการปรับราคาก๊าซ NGV กับผลกระทบต่อผู้ใช้ NGV ในภาคอีสาน ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 14-15 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้เชื้อเพลิง NGV รวม 437 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 3 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานี
กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ร้อยละ 55.7 กลุ่มผู้ขับรถบรรทุกและผู้ประ กอบการขนส่งสินค้า ร้อยละ 28.4 และผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ ร้อยละ 15.9 ตามลำดับ
พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 53 ไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐบาลในการปรับราคาก๊าซ NGV จากเดิมราคา NGV 8.5 บาท และจะเพิ่มขึ้นเดือนละ 50 สต./กก. และจะทยอยปรับขึ้นสูงสุดเป็น 14.5 บาท/กก. ภายในสิ้นปี 2555 ขณะที่ร้อยละ 28 เห็นด้วย
เมื่อถามถึงการปรับราคาก๊าซ NGV สูงสุดภายในสิ้นปี 2555 นั้นกลุ่มผู้ใช้รถชาวอีสานส่วนใหญ่บอกว่ารับได้ หากอยู่ที่ราคา 10-11 บาท/กก. มีผู้เห็นด้วยมากที่สุดในอัตรานี้ คิดเป็นร้อยละ 31.0 หรือหากคิดสะสมจะมีผู้ที่สามารถแบกรับการปรับขึ้นราคา NGV ได้ร้อยละ 74.1
เมื่อถามถึงผลกระทบต่อพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้ NGV พบว่าการปรับขึ้นราคาก๊าซจะไม่ส่งผลต่อประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1. ไม่ส่งผลต่อการชะลอซื้อพาหนะที่ใช้ก๊าซ NGV ร้อยละ 65.1 2. กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 84.5 บอกว่าไม่ส่งผลให้เกิดการหันไปใช้น้ำมันเถื่อน 3.ไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนใช้เชื้อเพลิงทดแทนอื่นๆ เช่น ไบโอดีเซล หรือแก๊สโซฮอล์ ร้อยละ 56.7 มีผลเพียงร้อยละ 23.4 และ 4. กลุ่มตัวอย่างมากถึงร้อยละ 55.6 ระบุว่า จะไม่ส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีผลเพียงร้อยละ 23.0
เมื่อถามถึงนโยบายบัตรเครดิตพลังงาน NGV ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ NGV ของรัฐบาล ผู้ใช้ NGV ภาคอีสานส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.2 ตอบว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการนี้เหมือนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
ทั้งนี้ โดยปกติผู้ใช้รถ NGV ร้อยละ 43.2 จะต้องเสียเวลาในการต่อคิวเติมมากกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป แต่เมื่อสอบถามว่าหากมีช่องทางพิเศษโดยไม่ต้องต่อคิวรอเติม NGV ผู้ใช้จะยอมจ่ายเงินค่าบริการพิเศษนี้แต่ละครั้งสูงสุดเท่าใด พบว่าผู้ใช้เกือบครึ่งคือร้อยละ 49.5 จะยอมรอต่อคิว ขณะที่ผู้ใช้รถ ร้อยละ 31.1 จะยอมจ่ายในอัตราค่าบริการระหว่าง 10-20 บาท
ดร. สุทิน กล่าวว่า สำหรับการสำรวจพฤติกรรมเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถแต่ละประเภทพบว่า ผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ตอบว่าผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซจะไม่ส่งผลให้เปลี่ยนมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น (ไม่มีผลร้อยละ76.9) และไม่ส่งผลต่อการปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ (ไม่มีผลร้อยละ 62.8)
ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ พบว่ามีแนวโน้มจะปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร (มีผลร้อยละ 65.6) แต่จะไม่ส่งผลต่อการลดคุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการ (ไม่ส่งผลร้อยละ 60.8) ด้านกลุ่มผู้ประกอบรถบรรทุกและการขนส่ง พบว่าอาจจะมีการปรับขึ้นราคาค่าบรรทุกสินค้า (มีผลร้อยละ 63.5) แต่จะไม่ส่งผลให้เกิดการลักลอบบรรทุกเกินน้ำหนัก (ไม่ส่งผลร้อยละ 53.8)
ดร.สุทิน กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลทำการปรับราคา NGV รวมถึงราคา LPG แล้วสถานะการเงินของกองทุนน้ำมันจะดีขึ้น ดังนั้นรัฐควรชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของน้ำมันดีเซล เพื่อชะลอการปรับราคาค่าขนส่งและค่าโดยสารของผู้ประกอบการในช่วงที่ราคาน้ำมันโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น และควรชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของแก๊สโซฮอล์ เพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังได้อีกทาง
นอกจากนี้ หลังจากปรับขึ้นราคา NGV แล้ว ปตท. ก็จะไม่มีข้ออ้างในการที่จะไม่เพิ่มจำนวนสถานี NGV ให้ครอบคลุมอีกต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ NGV ไม่เสียเวลามากในการต่อคิวรอ
นอกจากนี้ จะพิจารณาว่ายังมีกฎหมายใด มาตราใดบ้าง ที่จะมีอำนาจในการคุ้มครองชั่วคราว ให้ชะลอปรับขึ้นราคาก๊าซทั้ง 2 ชนิด ตามนโยบายของรัฐบาลบ้าง ไม่เช่นนั้น ประชาชนจะลำบากมากขึ้น เพราะถ้าการตรวจสอบเป็นเรื่องของนโยบาย และถ้านโยบายมีผลกระทบกับประชาชน ในทางปฏิบัติสังคม ต้องมาช่วยกันคิดว่า จะหากลไกใดมาดำเนินการในเรื่องนี้ได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าผิดหวัง ที่ในขณะนี้ รัฐบาลยังไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า การปรับขึ้นราคาก๊าซทั้งเอ็นจีวี และแอลพีจี ได้มีการตรวจสอบอย่างรอบคอบ หรือมีข้อกำหนดราคาผิดพลาดหรือไม่ อย่างไร เพราะราคาที่กำหนดอาจจะสูงเกินจริงก็ได้ จึงอยากให้รัฐบาลออกมาตอบคำถามว่า มีการคำนวณราคาที่กำหนดนั้นเกินจริงหรือไม่
**คนอีสาน 53 % ค้านขึ้นNGV-LPG
อีกด้าน ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.)เปิดเผยถึงผลการสำรวจเรื่องปัญหาการปรับราคาก๊าซ NGV กับผลกระทบต่อผู้ใช้ NGV ในภาคอีสาน ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 14-15 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้เชื้อเพลิง NGV รวม 437 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 3 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานี
กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ร้อยละ 55.7 กลุ่มผู้ขับรถบรรทุกและผู้ประ กอบการขนส่งสินค้า ร้อยละ 28.4 และผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ ร้อยละ 15.9 ตามลำดับ
พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 53 ไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐบาลในการปรับราคาก๊าซ NGV จากเดิมราคา NGV 8.5 บาท และจะเพิ่มขึ้นเดือนละ 50 สต./กก. และจะทยอยปรับขึ้นสูงสุดเป็น 14.5 บาท/กก. ภายในสิ้นปี 2555 ขณะที่ร้อยละ 28 เห็นด้วย
เมื่อถามถึงการปรับราคาก๊าซ NGV สูงสุดภายในสิ้นปี 2555 นั้นกลุ่มผู้ใช้รถชาวอีสานส่วนใหญ่บอกว่ารับได้ หากอยู่ที่ราคา 10-11 บาท/กก. มีผู้เห็นด้วยมากที่สุดในอัตรานี้ คิดเป็นร้อยละ 31.0 หรือหากคิดสะสมจะมีผู้ที่สามารถแบกรับการปรับขึ้นราคา NGV ได้ร้อยละ 74.1
เมื่อถามถึงผลกระทบต่อพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้ NGV พบว่าการปรับขึ้นราคาก๊าซจะไม่ส่งผลต่อประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1. ไม่ส่งผลต่อการชะลอซื้อพาหนะที่ใช้ก๊าซ NGV ร้อยละ 65.1 2. กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 84.5 บอกว่าไม่ส่งผลให้เกิดการหันไปใช้น้ำมันเถื่อน 3.ไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนใช้เชื้อเพลิงทดแทนอื่นๆ เช่น ไบโอดีเซล หรือแก๊สโซฮอล์ ร้อยละ 56.7 มีผลเพียงร้อยละ 23.4 และ 4. กลุ่มตัวอย่างมากถึงร้อยละ 55.6 ระบุว่า จะไม่ส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีผลเพียงร้อยละ 23.0
เมื่อถามถึงนโยบายบัตรเครดิตพลังงาน NGV ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ NGV ของรัฐบาล ผู้ใช้ NGV ภาคอีสานส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.2 ตอบว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการนี้เหมือนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
ทั้งนี้ โดยปกติผู้ใช้รถ NGV ร้อยละ 43.2 จะต้องเสียเวลาในการต่อคิวเติมมากกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป แต่เมื่อสอบถามว่าหากมีช่องทางพิเศษโดยไม่ต้องต่อคิวรอเติม NGV ผู้ใช้จะยอมจ่ายเงินค่าบริการพิเศษนี้แต่ละครั้งสูงสุดเท่าใด พบว่าผู้ใช้เกือบครึ่งคือร้อยละ 49.5 จะยอมรอต่อคิว ขณะที่ผู้ใช้รถ ร้อยละ 31.1 จะยอมจ่ายในอัตราค่าบริการระหว่าง 10-20 บาท
ดร. สุทิน กล่าวว่า สำหรับการสำรวจพฤติกรรมเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถแต่ละประเภทพบว่า ผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ตอบว่าผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซจะไม่ส่งผลให้เปลี่ยนมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น (ไม่มีผลร้อยละ76.9) และไม่ส่งผลต่อการปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ (ไม่มีผลร้อยละ 62.8)
ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ พบว่ามีแนวโน้มจะปรับขึ้นราคาค่าโดยสาร (มีผลร้อยละ 65.6) แต่จะไม่ส่งผลต่อการลดคุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการ (ไม่ส่งผลร้อยละ 60.8) ด้านกลุ่มผู้ประกอบรถบรรทุกและการขนส่ง พบว่าอาจจะมีการปรับขึ้นราคาค่าบรรทุกสินค้า (มีผลร้อยละ 63.5) แต่จะไม่ส่งผลให้เกิดการลักลอบบรรทุกเกินน้ำหนัก (ไม่ส่งผลร้อยละ 53.8)
ดร.สุทิน กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลทำการปรับราคา NGV รวมถึงราคา LPG แล้วสถานะการเงินของกองทุนน้ำมันจะดีขึ้น ดังนั้นรัฐควรชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของน้ำมันดีเซล เพื่อชะลอการปรับราคาค่าขนส่งและค่าโดยสารของผู้ประกอบการในช่วงที่ราคาน้ำมันโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น และควรชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของแก๊สโซฮอล์ เพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังได้อีกทาง
นอกจากนี้ หลังจากปรับขึ้นราคา NGV แล้ว ปตท. ก็จะไม่มีข้ออ้างในการที่จะไม่เพิ่มจำนวนสถานี NGV ให้ครอบคลุมอีกต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ NGV ไม่เสียเวลามากในการต่อคิวรอ