ASTVผู้จัดการรายวัน-บขส.เตรียมชงบอร์ดหารือค่าโดยสารหลังน้ำมันดีเซลทะลุ 31 บาทต่อลิตร ขณะที่ตั้งภาระไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร ด้านเรือด่วนเจ้าพระยา จ่อชงข้อมูลต้นทุนทั้งน้ำมันและค่าแรง300บ. เสนอกรมเจ้าท่าขอปรับค่าโดยสาร เผยทำต้นทุนเพิ่มเป็น 70 % แล้ว ด้านคมนาคมยันยังไม่มีการปรับค่าโดยสาร ต้องดูสถานการณ์ราคาน้ำมันอีกระยะก่อนพิจารณา ขณะที่ “กิตติรัตน์”สั่งจับตาภาวะสินค้าใกล้ชิด หลังน้ำมันพุ่ง หวั่นราคาพุ่งตามกระทบผู้บริโภค “วัชรี”เบรกไม่รับเหตุผลน้ำมันขอปรับขึ้นสินค้า เอกชนเห็นด้วยปล่อยราคาพลังงานขยับขึ้นตามกลไก แต่ควรปล่อยสินค้าขึ้นได้ด้วย
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด(บขส.) เปิดเผยถึงผลกระทบจากราคานำมันดีเซลที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 31.13 บาทต่อลิตรว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับคณะกรรมการ(บอร์ด) บขส.ในการประชุมวันที่ 26 มกราคมนี้ โดยยืนยันว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบกับต้นทุนการเดินรถของ บขส.แน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้พิจารณาราคาน้ำมันที่จะส่งผลกระทบกับต้นทุนไว้ที่ประมาณ 30 บาทต่อลิตร แต่ตอนนี้ได้ขึ้นมากสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้แล้ว ส่วนจะส่งผลกระทบเท่าไรนั้น คาดว่าอีกประมาณ 2-3 วันจะมีความชัดเจนมากขึ้น
ด้านนายปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด กล่าวว่า จะรวบรวมรายละเอียดต้นทุนที่ปรับขึ้นทั้งหมด เสนอต่อกรมเจ้าท่า (จท.) พิจารณาในปลายเดือนมกราคมนี้ ซึ่งหากราคาน้ำมันดีเซลถึง 32 บาทต่อลิตร ก็จะต้องปรับขึ้นค่าโดยสารทันที แต่ทั้งนี้ ต้นทุนของบริษัท ขณะนี้นอกจากราคาน้ำมันแล้วจะต้องคำนึงถึงค่าแรงที่จะปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน ในวันที่ 1 เมษายน 2555 ประกอบกับการปรับค่าโดยสารด้วย
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนด้านน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 40 % เป็น 50% ขณะที่ต้นทุนค่าแรงจะปรับขึ้นจาก 15 % (ค่าแรงที่ 215 บาทต่อวัน) ในปัจจุบันเป็น 22-23% ซึ่งหากรวมต้นทุนทั้งน้ำมันและค่าแรงจะอยู่ที่ประมาณ 70% ซึ่งยังเหลือต้นทุนค่าซ่อมบำรุงและการบริหารจัดการอีก ดังนั้นจึงต้องยอมรับว่าต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอาจจะส่งผลกระทบกับแผนการต่อเรือใหม่ที่ทันสมัยกว่าเดิมมาให้บริการแน่นอน เพราะจำเป็นต้องเอาธุรกิจของตัวเองให้รอดไปก่อน
“ตอนนี้ราคาน้ำมันน่าเป็นห่วงมาก เพราะหากดูจากนโยบายของรัฐบาลที่จะเก็บภาษีสรรพสามิต และการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นอีก 5.30 บาท แม้จะค่อยๆปรับแต่เมื่อปรับขึ้นเต็มที่ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันขึ้นไปถึง 36 บาทต่อลิตรก็ได้ เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันในปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 31.13 บาทต่อลิตร”
โดยก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เรือด่วนเจ้าพระยามีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 4 หมื่นคนต่อวัน(ในวันทำการ) ส่วนวันหยุดราชการมีผู้ใช้บริการลดลงจาดวันปกติประมาณ 20-25% แต่ปัจจุบัน มี ประมาณ 3.2-3.5 หมื่นคนต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% เท่านั้น ในขณะที่ช่วงน้ำท่วมมีผู้โดยสารเหลือเพียง 40% เท่านั้น
นายเชาวลิต เมธยะประภาส เจ้าของบริษัท ครอบครัวขนส่ง จำกัด ผู้ให้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาขึ้นค่าเรือโดยสารคลองแสนแสบ ทุกเที่ยววิ่งยังให้บริการในราคาเดิม แต่หากราคาน้ำมันขึ้นไปอยู่ในระดับ 33 บาทต่อลิตร จะมีการประชุมหารือเพื่อขอปรับขึ้นราคาน้ำมันต่อไป โดยยืนยันว่าจะไม่ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในช่วงนี้เพิ่มเติมอีก
ด้านนายศรศักดิ์ แสนสมบัติ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานประธานคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงาน หรือใคร ยื่นเรื่องเข้ามาขอปรับเพิ่มค่าโดยสาร จึงยังไม่มีการพิจารณาว่าจะให้มีการปรับขึ้นค่าโดยสารได้หรือไม่ แต่ตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจะมีการพิจารณารายละเอียดต้นทุนจากทุกปัจจัยมาประกอบว่าจะให้มีการปรับขึ้นหรือลดราคาค่าโดยสารอยู่แล้ว หากราคาต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก จนส่งผลกระทบกับการดำเนินงาน ทางคณะกรรมการจะให้ปรับขึ้นราคาโดยไม่จำเป็นต้องขอมาอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าราคาน้ำมันในช่วงนี้ยังไม่แน่นอน ราคาที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศ เป็นเพราะเรื่องของกองทุนน้ำมัน ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกยังขึ้นๆลงๆ จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าจะต้องพิจารณาปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ ต้องมีการสังเกตสถานการณ์ต่อไปก่อน
**“โต้ง”สั่งจับตาสินค้าหวั่นขึ้นตามน้ำมัน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงฯ จะติดตามภาวะราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด หลังจากน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยจะพยายามดูแลราคาสินค้าไม่ให้เปลี่ยนแปลงมากจนกระทบกับผู้บริโภคมากเกินไป และจะมีการทำงานร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจในการดูแลราคาพลังงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสม เพราะแนวโน้มน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และเป็นช่วงฤดูหนาว ทำให้มีความต้องการใช้สูงขึ้น
“น้ำมันที่สูงขึ้น เป็นผลกระทบระยะสั้น ไม่อยากให้ประชาชนกังวล เพราะยังมีปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากปัญหาเศรษฐกิจภายในภูมิภาคยุโรป และสหรัฐฯ ที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มลดลง ส่วนราคาสินค้า ผู้ผลิตก็ยังไม่ส่งสัญญาณขึ้นราคา เพราะน้ำมันยังเป็นผลระยะสั้นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด”
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ ยังจะไม่รับพิจารณาให้ปรับราคาสินค้าจากเหตุผลราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพราะน้ำมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้า ขณะที่ต้นทุนโดยตรง โดยเฉพาะวัตถุดิบยังอยู่ในภาวะปกติ จึงควรที่จะใช้วิธีการบริหารจัดการ เพื่อให้จำหน่ายสินค้าได้ในราคาเดิมต่อไป
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.เห็นด้วยที่ราคาพลังงานขยับสูงขึ้นให้สอดคล้องกับกลไกตลาด ทั้งราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซล ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซเอ็นจีวี แต่การขยับราคาพลังงาน รัฐบาลควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาดควบคู่กันไปด้วย โดยหน้าที่ของภาครัฐ คือ ต้องดูแลไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า ค้ากำไรเกินควร หรือไม่ให้เกิดการผูกขาด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นอกจากนี้ รัฐบาลควรหาวิธีการที่เหมาะสมในการดูแลภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่ยังปรับตัวไม่ได้กับราคาน้ำมันที่ขยับตัวสูงขึ้น โดยอาจหามาตรการชั่วคราวในการดูแลอุตสาหกรรมเหล่านี้ระยะเวลา 2-3 เดือน เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ ส่วนอุตสาหกรรมรายใหญ่ เชื่อว่าจะปรับตัวจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซครั้งนี้ได้ เพราะหากเปรียบเทียบราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ถือเป็นต้นทุนไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของการต้นทุนอุตสาหกรรมที่ขยับขึ้นมาก เพราะยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคอุตสาหกรรมมากกว่า
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด(บขส.) เปิดเผยถึงผลกระทบจากราคานำมันดีเซลที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 31.13 บาทต่อลิตรว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับคณะกรรมการ(บอร์ด) บขส.ในการประชุมวันที่ 26 มกราคมนี้ โดยยืนยันว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบกับต้นทุนการเดินรถของ บขส.แน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้พิจารณาราคาน้ำมันที่จะส่งผลกระทบกับต้นทุนไว้ที่ประมาณ 30 บาทต่อลิตร แต่ตอนนี้ได้ขึ้นมากสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้แล้ว ส่วนจะส่งผลกระทบเท่าไรนั้น คาดว่าอีกประมาณ 2-3 วันจะมีความชัดเจนมากขึ้น
ด้านนายปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด กล่าวว่า จะรวบรวมรายละเอียดต้นทุนที่ปรับขึ้นทั้งหมด เสนอต่อกรมเจ้าท่า (จท.) พิจารณาในปลายเดือนมกราคมนี้ ซึ่งหากราคาน้ำมันดีเซลถึง 32 บาทต่อลิตร ก็จะต้องปรับขึ้นค่าโดยสารทันที แต่ทั้งนี้ ต้นทุนของบริษัท ขณะนี้นอกจากราคาน้ำมันแล้วจะต้องคำนึงถึงค่าแรงที่จะปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน ในวันที่ 1 เมษายน 2555 ประกอบกับการปรับค่าโดยสารด้วย
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนด้านน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 40 % เป็น 50% ขณะที่ต้นทุนค่าแรงจะปรับขึ้นจาก 15 % (ค่าแรงที่ 215 บาทต่อวัน) ในปัจจุบันเป็น 22-23% ซึ่งหากรวมต้นทุนทั้งน้ำมันและค่าแรงจะอยู่ที่ประมาณ 70% ซึ่งยังเหลือต้นทุนค่าซ่อมบำรุงและการบริหารจัดการอีก ดังนั้นจึงต้องยอมรับว่าต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอาจจะส่งผลกระทบกับแผนการต่อเรือใหม่ที่ทันสมัยกว่าเดิมมาให้บริการแน่นอน เพราะจำเป็นต้องเอาธุรกิจของตัวเองให้รอดไปก่อน
“ตอนนี้ราคาน้ำมันน่าเป็นห่วงมาก เพราะหากดูจากนโยบายของรัฐบาลที่จะเก็บภาษีสรรพสามิต และการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นอีก 5.30 บาท แม้จะค่อยๆปรับแต่เมื่อปรับขึ้นเต็มที่ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันขึ้นไปถึง 36 บาทต่อลิตรก็ได้ เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันในปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 31.13 บาทต่อลิตร”
โดยก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เรือด่วนเจ้าพระยามีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 4 หมื่นคนต่อวัน(ในวันทำการ) ส่วนวันหยุดราชการมีผู้ใช้บริการลดลงจาดวันปกติประมาณ 20-25% แต่ปัจจุบัน มี ประมาณ 3.2-3.5 หมื่นคนต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% เท่านั้น ในขณะที่ช่วงน้ำท่วมมีผู้โดยสารเหลือเพียง 40% เท่านั้น
นายเชาวลิต เมธยะประภาส เจ้าของบริษัท ครอบครัวขนส่ง จำกัด ผู้ให้บริการเรือโดยสารคลองแสนแสบ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาขึ้นค่าเรือโดยสารคลองแสนแสบ ทุกเที่ยววิ่งยังให้บริการในราคาเดิม แต่หากราคาน้ำมันขึ้นไปอยู่ในระดับ 33 บาทต่อลิตร จะมีการประชุมหารือเพื่อขอปรับขึ้นราคาน้ำมันต่อไป โดยยืนยันว่าจะไม่ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในช่วงนี้เพิ่มเติมอีก
ด้านนายศรศักดิ์ แสนสมบัติ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานประธานคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงาน หรือใคร ยื่นเรื่องเข้ามาขอปรับเพิ่มค่าโดยสาร จึงยังไม่มีการพิจารณาว่าจะให้มีการปรับขึ้นค่าโดยสารได้หรือไม่ แต่ตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจะมีการพิจารณารายละเอียดต้นทุนจากทุกปัจจัยมาประกอบว่าจะให้มีการปรับขึ้นหรือลดราคาค่าโดยสารอยู่แล้ว หากราคาต้นทุนเพิ่มขึ้นมาก จนส่งผลกระทบกับการดำเนินงาน ทางคณะกรรมการจะให้ปรับขึ้นราคาโดยไม่จำเป็นต้องขอมาอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าราคาน้ำมันในช่วงนี้ยังไม่แน่นอน ราคาที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศ เป็นเพราะเรื่องของกองทุนน้ำมัน ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกยังขึ้นๆลงๆ จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าจะต้องพิจารณาปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ ต้องมีการสังเกตสถานการณ์ต่อไปก่อน
**“โต้ง”สั่งจับตาสินค้าหวั่นขึ้นตามน้ำมัน
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงฯ จะติดตามภาวะราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด หลังจากน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยจะพยายามดูแลราคาสินค้าไม่ให้เปลี่ยนแปลงมากจนกระทบกับผู้บริโภคมากเกินไป และจะมีการทำงานร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจในการดูแลราคาพลังงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสม เพราะแนวโน้มน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และเป็นช่วงฤดูหนาว ทำให้มีความต้องการใช้สูงขึ้น
“น้ำมันที่สูงขึ้น เป็นผลกระทบระยะสั้น ไม่อยากให้ประชาชนกังวล เพราะยังมีปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากปัญหาเศรษฐกิจภายในภูมิภาคยุโรป และสหรัฐฯ ที่ยังคงมีอยู่ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มลดลง ส่วนราคาสินค้า ผู้ผลิตก็ยังไม่ส่งสัญญาณขึ้นราคา เพราะน้ำมันยังเป็นผลระยะสั้นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด”
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ ยังจะไม่รับพิจารณาให้ปรับราคาสินค้าจากเหตุผลราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพราะน้ำมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของต้นทุนสินค้า ขณะที่ต้นทุนโดยตรง โดยเฉพาะวัตถุดิบยังอยู่ในภาวะปกติ จึงควรที่จะใช้วิธีการบริหารจัดการ เพื่อให้จำหน่ายสินค้าได้ในราคาเดิมต่อไป
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.เห็นด้วยที่ราคาพลังงานขยับสูงขึ้นให้สอดคล้องกับกลไกตลาด ทั้งราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซล ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซเอ็นจีวี แต่การขยับราคาพลังงาน รัฐบาลควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาดควบคู่กันไปด้วย โดยหน้าที่ของภาครัฐ คือ ต้องดูแลไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า ค้ากำไรเกินควร หรือไม่ให้เกิดการผูกขาด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นอกจากนี้ รัฐบาลควรหาวิธีการที่เหมาะสมในการดูแลภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่ยังปรับตัวไม่ได้กับราคาน้ำมันที่ขยับตัวสูงขึ้น โดยอาจหามาตรการชั่วคราวในการดูแลอุตสาหกรรมเหล่านี้ระยะเวลา 2-3 เดือน เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ ส่วนอุตสาหกรรมรายใหญ่ เชื่อว่าจะปรับตัวจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซครั้งนี้ได้ เพราะหากเปรียบเทียบราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ถือเป็นต้นทุนไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของการต้นทุนอุตสาหกรรมที่ขยับขึ้นมาก เพราะยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคอุตสาหกรรมมากกว่า
