xs
xsm
sm
md
lg

จี้มะกันถอนคำแจ้งเตือน"ปู"โวคุมก่อการร้ายได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ผบ.ตร.นำทัพโชว์ยึดคลังเก็บสารประกอบระเบิด ยันขยายผลจาก"อาทริส ฮุสเซน"สารภาพ แจ้งผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณท์ นายกฯปูสั่งติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดโวรัฐควบคุมได้ "มาร์ค"ชี้ไทยเป็นเป้าก่อการร้าย ด้าน "ชวนนท์" จวก "ปึ้ง" ไม่มีความเข้าใจการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน "โกวิท" ขอ ปชช.อย่าตื่นตระหนก อดีต สมช.แนะรัฐส่งตัว"ฮุสเซน"ไปสวีเดน กลาโหมจี้มะกันถอนคำแจ้งเตือนก่อการร้าย

วานนี้(16 ม.ค.)เวลา 06.00 น.พล.ต.อ.เพียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัติ รองผบ.ตร. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และตรวจวัตถุระเบิด กองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือ อีโอดี จนท.ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐก.)กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.),สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และ กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (กก.สส.บชน.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 สนธิกำลังร่วมกันกว่า 200 นาย บุกเข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น เลขที่ 52/14-15 หมู่ 2 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นสถานที่ซุกซ่อนสารประกอบระเบิดขององค์กรก่อการร้ายฮิซบอลเลาะห์

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการขยายผลสอบปากคำ นายอาทริส ฮุสเซน (Atris Hussein) ชาวเลบานอน ผู้ต้องหาก่อการร้าย ที่สามารถจับกุมตัวได้ในกรุงเทพมหานคร พร้อมนำตัวผู้ต้องหามาชี้จุดเกิดเหตุ

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาตามหลักสากล ผู้ต้องหาได้ให้การเป็นประโยชน์ พร้อมเปิดเผยจุดซุกซ่อนของกลาง ซึ่งเป็นสารประกอบวัตถุระเบิด ประกอบด้วย ปุ๋ยยูเรีย จำนวน 337 ลัง ภายในลังบรรจุถุงพลาสติกใส่ จำนวน 4 ถุง ๆ ละ 7 กก.รวมน้ำหนักทั้งสิ้น 4,380 กิโลกรัม, แอมโมเนียไนเตรต บรรจุแกลลอนขนาด 20 ลิตร จำนวน 10 แกลลอน, แอมโมเนียไนเตรตละลายผสมแล้ว บรรจุลังพลาสติกขนาด 90 ลิตร จำนวน 2 ลัง, เครื่องซีนถุงพลาสติก 1 เครื่อง เครื่องซีนถุงสูญญากาศอีก 1 เครื่อง โดยของกลางทั้งหมดพบอยู่บน ชั้น 2 ของตัวอาคาร, ส่วนชั้นล่างพบรองเท้าแตะ จำนวน 600 คู่, กระดาษ เอ4 จำนวน 300 ลัง และ พัดลม 400 ตัว

**ยันไม่ได้เตรียมก่อเหตุในไทย

จากการสอบสวนทราบว่า สารประกอบวัตถุระเบิดดังกล่าวไม่ได้นำมาใช้ก่อเหตุในประเทศไทย เนื่องจากมีการบรรจุในลังกระดาษอย่างมิดชิด จำนวน 337 ลัง เพื่อเตรียมลำเลียงออกนอกประเทศโดยทางเรือ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าเป็นประเทศใด

**สารภาพส่งออกประเทศที่ 3

จากนั้นเวลา 11.00 น.ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.)พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร.พล.ต.ท.สุทิน เขียวรัตน์ ผบช.ตชด.ได้ควบคุมตัวนายอาทริส ฮุสเซน มาทำการสอบสวนเพิ่มเติมหลังนำตัวเข้าตรวจอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวว่า จากกการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบมีการนำปุ๋ยยูเรีย และแอมโมเนียไนเตรต ทั้งชนิดเกล็ดและน้ำ บรรจุอำพรางในถุงทรายแมว มีพัดลม 400 กล่อง กระดาษเอ 4 เครื่องทำสุญญากาศ อุปกรณ์ใช้บรรจุของ และรองเท้าแตะ ซึ่งนายอาทริสได้ให้การว่า พลาสติกใสด้านในถุงปุ๋ยซื้อมาจากแถวเยาวราช ส่วนถุงรูปแมวด้านนอกมีคนนำมาส่งให้ ซึ่งยังไม่ทราบที่มา ซึ่งปุ๋ยยูเรียทั้งหมดได้ส่งออกไปยังประเทศที่ 3 แถบตะวันออกกลาง โดยส่งอำพรางไปกับสิ่งของอื่นๆ ในตู้คอนเทนเนอร์ โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจเก็บหลักฐานลายนิ้วมือแฝงรวมทั้งดีเอ็นเอของผู้ที่เกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุ

**ผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณท์

พล.ต.ท.จรัมพร กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ตำรวจไม่สามารถแจ้งข้อหากับนายอาทริส ได้เนื่องจากยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ แต่จากการสอบสวนขยายผลไปตรวจสอบยังที่เก็บปุ๋ยยูเรียตามที่นายอาทริสเช่าอาคารพาณิชย์เก็บไว้ พบหลักฐานที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ซึ่งมีข้อกำหนดให้แจ้งกระทรวงกลาโหม หากมีแอมโมเนียไนเตรตเก็บไว้เกินที่กำหนด จึงแจ้งข้อหามีแอมโมเนียไนเตรตไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมควบคุมตัวดำเนินคดีต่อไป

**คุมเข้มสถานฑูต

พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น.เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยตนได้สั่งการให้จัดกำลังตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญอย่างเข้มงวด และพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมาก โดยตำรวจนครบาลได้ตรวจตราร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว พร้อมทั้งจัดกำลังสายตรวจเดินเท้าดูแลพื้นที่ถนนข้าวสาร ย่านบางลำพู ถนนรามบุตรี และย่านสุขุมวิท 22 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูแลความปลอดภัยสถานทูตสหรัฐอเมริกา สถานทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย พร้อมจัดกำลังตำรวจเข้าไปเสริมดูแลความสงบเรียบร้อยกับหน่วยรักษาความปลอดภัยของสถานทูตอย่างเข้มงวด ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถดูแลได้ไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น

**"ปู"ยันควบคุมสถานการณ์ได้

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.แถลงจับกุมผู้ก่อการร้าย และสารตั้งต้นในการประกอบระเบิดว่า ได้รับรายงานแล้ว ขอให้ประชาชนไม่ต้องตกใจ ตอนนี้เราควบคุมสถานการณ์ได้ และตอนนี้ยังไม่มีเหตุอะไร ตนได้สั่งการให้ทางหน่วยความมั่นคง กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นสัญณาณบอกเหตุว่ามันจะเกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ เราก็ติดตามอยู่ทุกการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่สาธารณะต่างๆ ขอให้ประชาชนคนไทยไม่ต้องห่วง ในเรื่องความปลอดภัย เพราะได้ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด

เมื่อถามว่า ทำไมถึงได้มีการออกมาระบุถึงว่า จะมีเหตุการณ์ก่อการร้ายก่อนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่หรอกค่ะ เหตุมันไม่มี ยืนยันเราก็มีการตรวจก่อน เราไม่ได้รอให้เหตุเกิดแล้วมาตรวจ เราจะติดข่าวสารทุกการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงทำงานไม่ได้อย่างนี้

“ทั้งนี้ขอความกรุณาสื่อมวลชน เพราะเนื่องจากเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องความมั่นคง อยากขอให้เราสรุปสำนวนก่อน และเราจะชี้แจง แต่ขอให้เรียนว่าพี่น้องประชาชนไม่ต้องตกใจ ทุกสถานการณ์ เราควบคุมได้ ไม่มีปัญหา และขอยืนยันในความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว ด้วย ส่วนความเข้าใจของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็ขอให้ทางกระทรวงการต่างประเทศ ประสานงานกับทุกประเทศแล้ว ขอให้สบายใจได้" นายกรัฐมนตรี กล่าว

**“มาร์ค"ชี้ไทยเป็นเป้าก่อการร้าย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้คนยังสงสัย แม้รัฐบาลจะแถลงว่า จับกุม ควบคุมผู้ต้องสงสัย มีการเลิกล้มความคิดแล้ว จะส่งกลับแล้ว แต่เรายังไม่ได้ยินทางสหรัฐฯว่าเขาคลายกังวลหรือยัง เขาเลิกเตือนคนของเขาหรือยัง ซึ่งควรต้องทำความเข้าใจกันว่า บทบาทของแต่ละฝ่าย และการประสานงานควรจะเป็นอย่างไร แต่ไม่ควรจะเป็นอย่างในช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมา

ส่วนที่ประเทศไทยมีข่าวเรื่องการก่อการร้ายระดับชาติเข้ามาวนเวียนเรื่อยๆ นั้นเป็นเพราะประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในหลายด้าน เป็นประเทศที่มีเสรีภาพพอสมควร ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่จะต้องเข้มงวดในเรื่องเหล่านี้ เราได้ยินมาตลอด เรื่องการขนอาวุธ การขนยาเสพติด แม้กระทั่งเรื่องการค้าอาวุธ เราจึงตกเป็นเป้ามาตลอด ก็ต้องยอมรับว่ามันมากับการที่เรามีเสรีภาพ และโดยที่ตั้งของเราก็เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเหมือนกัน

** อัดรัฐบาลแถลงสวนทางกับความจริง

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตำหนิ การทำหน้าที่ของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ต่อกรณีการก่อการร้ายว่า รัฐบาลพยายามพูดว่า สถานการณ์จบแล้ว สิ่งที่นายสุรพงษ์ บอกว่าผิดหวังต่อการทำงานของสถานทูต 4 ประเทศนั้น ตนก็อยากฝากว่า คนไทยก็ผิดหวังกับ รมว.ต่างประเทศ คนนี้ เช่นกัน เพราะการดำเนินการของ นายสุรพงษ์ ขาดความเข้าใจในเรื่องของการดำเนินการระหว่างประเทศ และบทบาทของรมว.ต่างประเทศ ว่าควรจะวางบทบาทอย่างไร ไม่ให้ประเทศชาติเสียหาย ซึ่งตอนนี้ทำประเทศเสียหายย่อยยับไปแล้ว ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว และภาคบริการ จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่สามารถออกมาแก้สถานการณ์ได้ ที่บอกจะตำหนิทั้ง 4 สถานทูต ก็ยังไม่ทำ

นอกจากนี้ การพูดว่า สถานการณ์ดีขึ้น กลุ่มอิซบุลเลาะห์ ออกนอกประเทศแล้ว แต่ทำไมสถานทูต กลับประกาศเตือนประเทศต่างๆ ที่จะเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกจาก 12 เป็น 15 ประเทศแล้ว ทำไมถึงไม่มีประกาศเตือนลดลงเลย สวนทางกับสิ่งที่พูดในวันแรกว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

**โกวิท ขอ ปชช.อย่าตื่นตระหนก

พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกตรวจค้นจับกุมผู้ต้องสงสัย และตรวจสอบสถานที่เก็บวัตถุระเบิด เพื่อเตรียมก่อการร้ายที่ จ.สมุทรสาคร ว่าเจ้าหน้าที่ได้รับการรายงานมา จึงได้นำกำลังเข้าไปตรวจค้นเบื้องต้นฝ่ายสอบสวนก็กำลังสืบสวนอยู่ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกหน่วยงาน กำลังดูแลความสงบเรียบร้อยกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ หรือ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็ทำงานร่วมกันอยู่ นอกจากนี้ก็ยังได้ประสานงานกับตำรวจสากลอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นประชาชนไม่ต้องวิตกกังวลต่อสถานการณ์ ในขณะนี้ ซึ่งยังสามารถควบคุมได้

**แนะส่งตัว"ฮุสเซน"ไปสวีเดน

นายขจัดภัย บุรุษพัฒน์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ในฐานะนายกสมาคมรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่าท่าทีรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ควรดำเนินนโยบายด้านการต่อต้านการก่อการร้ายที่ต้องวางตัวเป็นกลางและเน้นการป้องกันมากกว่าแก้ไข เพราะตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 911 เป็นต้นมา ทางสหรัฐอเมริกาประกาศทำสงครามกับกลุ่มก่อการร้ายและหากประเทศใดไม่ให้ความร่วมมือถือเป็นศัตรูกับประเทศสหรัฐฯ ดังนั้นกรณีที่จับตัวนายฮุสเซน อาทริส บุคคลสองสัญชาติเลบานอลและสวีเดนได้ ควรส่งตัวกลับไปดำเนินคดีในประเทศสวีเดน เป็นทางออกที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามประเทศไทยในฐานะที่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสหรัฐฯและอิสราเอล ที่มีความร่วมมือด้านงานข่าวกรองกันมาโดยตลอด ซึ่งแท้จริงแล้วในการดำเนินการควรเป็นไปในทางลับมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกเป็นเครื่องมือหรืออยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง และประเทศอาหรับ โดยเฉพาะประเทศเลบานอลที่ยอมรับว่า ณ กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ได้ยกระดับกลายเป็นพรรคการเมืองไปแล้ว ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศซีเรียและอิหร่าน การวางตัวเป็นกลางจึงเป็นท่าทีที่ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้ถูกดึงไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

** ส่งเทศกิจตรวจตราเข้ม

นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยของกทม. ต่อกรณีที่ประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศเตือนว่ากลุ่มก่อการร้ายมีแผนที่จะก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า หากรัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงมีการขอความร่วมมือมายังกทม. ก็พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีหนังสือเพื่อขอความร่วมมือมายัง กทม. แต่อย่างใด ทั้งนี้ กทม.มีมาตรการในการรักษาความปลอดภัย โดยเจ้าหน้าที่เทศกิจมีการตรวจตราอยู่แล้ว รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกทม.ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ก็ให้มีการสังเกตสิ่งผิดปกติ ซึ่งในเหตุการณ์หลายครั้งก็พบสิ่งผิดปกติโดยเจ้าหน้าที่ กทม. นอกจากนี้ กทม.ก็พร้อมที่จะเข้าไปติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) ในจุดล่อแหลมหากมีการร้องขอ รวมถึงกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบกล้องซีซีทีวีให้พร้อมใช้งานตลอดเวลาด้วย

** จี้มะกันถอนคำแจ้งเตือนก่อการร้าย

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลัง นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เชิญเข้าพบที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังจากที่มีการแถลงข่าว ชี้แจงกรณีการควบคุมตัว นายอาตรีส ฮุสเซน ชาวเลบานอน ผู้ต้องสงสัยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ที่เตรียมเข้ามาก่อเหตุในไทย ระหว่างการประชุมครม. ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า ได้สอบถามถึงความคืบหน้ากรณีสถานทูตสหรัฐฯ ได้ออกมาแจ้งคำเตือนชาวสหรัฐฯ ในประเทศไทย จนทำให้เกิดการหวั่นวิตก และทำให้การท่องเที่ยวไทยเสียหาย

เรื่องนี้นายกฯ ขอให้กระทรวงกลาโหม สอบถามกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถึงคำเตือนดังกล่าว และให้ถอนคำแจ้งเตือน ภายในวันที่ 16 ม.ค.55 เพราะมิฉะนั้นจะทำให้ประเทศไทยเกิดความเสียหาย กับคำแจ้งเตือนดังกล่าว

ทั้งนี้ตนได้ให้ พล.อ.นิพันธ์ ทองเล็ก ผู้อำนวยการสำนักนโยบาย และแผนกระทรวงกลาโหม พูดคุยกับ พ.อ.สแวนด้า ผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ถึงมาตราในการแจ้งเตือน และการเสนอข้อมูลข่าวสาร

ต่อมาเวลา 13.30 น. พ.อ.สแวนด้า ผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้เดินทางเข้าพบพล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือถึงเรื่องนี้ โดยเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

จากนั้น พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงว่า การเข้าหารือครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อหารือร่วมกันใน 3 ประเด็นหลัก คือ1. เรื่องของระบบขั้นตอนต่างๆ ของสถานทูตสหรัฐอเมริกา ในเรื่องการแจ้งเตือนความปลอดภัยชาวสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ 2. สถานทูตสหรัฐฯ มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า อาจจะเกิดอันตรายเป็นภัยคุกคามต่อประชาชาชนสหรัฐฯ ในประเทศต่างๆ สถานทูตจึงแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบโดยเร็วที่สุด พร้อมกับมีการประสานงานกับเจ้าของประเทศ โดยผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ

และ3.หารือร่วมกันในแนวทางปฏิบัติในอนาคต หากเกิดกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น จะมีช่องทางในการติดต่อสื่อสารประสานงานกันอย่างใกล้ชิด และรวดเร็ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะนำข้อมูลสรุปให้กับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ได้รับทราบต่อไป

ทั้งนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม จะนำเรื่องนี้เรียนให้กับนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป

"วันนี้น่าจะมีการปรับในการทำงานให้เกิดความชัดเจน และให้เกิดประสิทธิภาพ การแจ้งเตือนในครั้งนี้ ทางสหรัฐฯ ไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ ในการแจ้งเตือนเฉพาะคนของเขา เขาจึงมีความจำเป็นต้องแจ้งในภาพรวม แต่การแจ้งเตือนในครั้งนี้ไม่ได้เจาะจงว่าจะมีการเหตุการณ์ร้ายแรง เพียงแต่แจ้งเตือนให้มีความระมัดระวังเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันตำรวจดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และขอย้ำว่า ในแผ่นดินไทยไม่ได้เป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายในทุกกลุ่ม และประเทศไทย ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่มต่างๆ" พ.อ.ธนาธิป กล่าว

***“วิเชียร”ไม่มั่นใจ “อาทริส”เป็นก่อการร้ายจริง

พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนนายอาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายชาวเลบานอน ว่า ตนก็ไม่มั่นใจว่า นายอาทริส ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมกุมตัวมานั้น จะเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนอยากให้ผู้ปฏิบัติทำอะไรให้มีความรอบคอบ ก่อนที่จะบอกว่าเป็นการก่อการร้าย เพราะจะมีผลกระทบที่รุนแรง โดยขณะนี้ได้กำชับผู้ปฏิบัติให้มีความละเอียดในการตั้งข้อหาการก่อการร้าย เพราะเกรงว่าหากมีการจับผู้ต้องสงสัยมาแล้ว ไม่มีการตั้งข้อหาก่อการร้ายก็เกรงว่าจะมีปัญหา ซึ่งยืนยันว่าเราไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยมีมาตรการเข้มข้นดำเนินการต่อไป ทั้งทางตำรวจ กองทัพ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) และตามแนวชายแดนก็ต้องมีความเข้มข้นในการตรวจสอบ ทั้งนี้ประเทศอิสราเอลก็มีการเตือนประเทศไทยเรื่องการก่อการร้ายมาทุกปีว่าจะมีเหตุการณ์นั้นเหตุการณ์นี้ เพราะสืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อปี 2537 ขณะที่ทางการไทยก็ได้พูดคุยกับทางการอิสราเอลอยู่เป็นประจำ

ส่วนการประกาศเตือนพลเมืองของสหรัฐอเมริกา ไม่ให้เข้ามาในประเทศไทยช่วงนี้ เพราะเกรงจะมีการก่อวินาศกรรมนั้น ตนเห็นว่าควรดำเนินการให้มีความนุ่มนวลมากกว่านี้ ซึ่งอย่างน้อยต้องมีการติดต่อกระทรวงการต่างประเทศ โดยเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ สมช. ที่จะเป็นแกนกลางในการติดตามสถานการณ์ รวมทั้งการสั่งการแทนรัฐบาล

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน่วยงานด้านความมั่นคง อาทิ สตช. ตม.และหน่วยข้อมูล ทำงานไม่สัมพันธ์กัน พล.ต.อ.วิเชียร เห็นว่าการบูรณาการเป็นหน้าที่ของ สมช. ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ต้องฟังสมช. และต้องมีการประสานงานกันให้ได้ และขณะนี้ทุกหน่วยงานก็ร่วมมือกันดี

“อิสราเอลติดต่อมาทุกปี เตือนไทยทุกปี บางปีก็ติดต่อที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยตรง บางปีก็ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หรือสันติบาล เราก็ดูแลให้ เพิ่มมาตรการทุกปี ผมอยู่หน่วยงานความมั่นคงมา 5 ปีแล้วก็มีการเตือนมาตลอด อยากให้สหรัฐอเมริกามีมารยาทบ้าง โดยควรที่จะคุยกับกระทรวงการต่างประเทศก่อน” พล.ต.อ.วิเชียร กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น