คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. ครม. ไฟเขียวเยียวยาเหยื่อการเมืองตั้งแต่ปี ’48 – 53 รายละเฉียด 8 ล้าน ด้านรัฐบาล ยัน ไม่ได้มุ่งปูนบำเหน็จเสื้อแดง!
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) ชุดที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ที่เสนอให้มีการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อ ผู้เสียหาย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 หรือก่อนเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 จนถึงเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.2553 ทั้งทางการเงินและรูปแบบอื่น โดยให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อมวลชน และภาคเอกชน ตลอดจนครอบครัวของผู้เสียชีวิต
โดยกรอบการเยียวยา ได้แก่ กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ จะได้รับการเยียวยาเท่ากันในอัตรา 4.5 ล้านบาทต่อราย ซึ่งเป็นการคำนวณตามฐานข้อมูลรายได้เฉลี่ยประจำต่อคนต่อเดือนตามสถิติรายได้ประชาชาติของประเทศในปี 2553 ซึ่งเท่ากับ 1.5 แสนบาท ชดเชยค่าเสียโอกาสเป็นเวลา 30 ปี โดยประมาณว่าผู้เสียชีวิตมีอายุเฉลี่ย 35 ปี จะมีโอกาสทำงานไปจนถึงอายุ 65 ปี ซึ่งกรณีที่เสียชีวิต จะมีเงินช่วยเหลือค่าปลงศพอีกรายละ 2.5 แสนบาท หากเป็นกรณีที่มีการรักษาก่อนเสียชีวิตด้วย จะได้รับเงินค่ารักษาตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท นอกจากนี้ทั้งกรณีที่เสียชีวิตและทุพพลภาพ ยังจะได้รับเงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจด้วยอีกรายละ 3 ล้านบาท สรุปแล้ว กรณีที่เสียชีวิตจะได้รับเงินเยียวยาทั้งหมดประมาณ 7.75-7.95 ล้านบาท ขณะที่ผู้ทุพพลภาพจะได้รับเงินเยียวยาทั้งหมด 7.5 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สูญเสียอวัยวะนั้น หากสูญเสียอวัยะสำคัญ จะได้ค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 80 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 3.6 ล้านบาทต่อราย หากสูญเสียอวัยวะไม่สำคัญ ได้ในอัตราร้อยละ 40 ของกรณีเสียชีวิต คือ 1.8 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่สูญเสียอวัยวะ หากได้รับบาดเจ็บสาหัส จะได้ค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 25 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 1.1 ล้านบาท หากบาดเจ็บไม่สาหัส ได้ในอัตราร้อยละ 15 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 6.7 แสนบาท หากบาดเจ็บเล็กน้อย ได้ในอัตราร้อยละ 5 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 2.2 แสนบาท
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ครม.ได้อนุมัติงบกลางปี 2555 กว่า 43 ล้านบาทตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เพื่อใช้ในการขอประกันตัวผู้ต้องขังคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดย ครม.ประชุมเรื่องนี้เป็นวาระลับ
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ครม.มีมติเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงทางการเมืองดังกล่าว ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า มติดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติและเอื้อประโยชน์ต่อคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและก่อเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือน พ.ค.2553 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ข้องใจว่า เหตุใดต้องเจาะจงเยียวยาเฉพาะบางเหตุการณ์ ทั้งที่ยังมีเหยื่อจากอีกหลายเหตุการณ์ เช่น การสูญเสียที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ,เหตุการณ์ความสูญเสียในปี 2516 ,2519 , 2535 เหตุการณ์ฆ่าตัดตอนเรื่องยาเสพติดสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้ออกนโยบายและยอมรับว่าเป็นนโยบายที่ผิดพลาดจนเกิดความสูญเสียขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องตอบคำถามให้ได้ว่าไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติ
นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงความเป็นห่วงด้วยว่า มติ ครม.ดังกล่าวอาจทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นจากกลุ่มคนที่ตั้งข้อสงสัยว่าคนที่ทำผิดมีสิทธิได้รับชดเชยด้วยหรือไม่ “รูปธรรมที่ผมอยากจะยกคือ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีผู้ถูกศาลพิพากษาจำคุก 3-8 ปี กรณีใช้อาร์พีจียิงกระทรวงกลาโหม หรือวัดพระแก้ว ตอนยิงสะท้อนกลับมาแล้ว(ตัวเอง)บาดเจ็บ ต้องได้รับการเยียวยาตามมติ ครม.หรือไม่ แล้วคนเสียภาษีต้องไปจ่ายเงินส่วนนี้หรือไม่ หรือกรณีไปประกอบระเบิดกัน แล้วบังเอิญระเบิดเสียก่อนต้องได้(เงินชดเชย)ด้วยหรือไม่...”
ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ก็เตือนสติรัฐบาลว่า รัฐบาลต้องไม่ลืมว่ามีประชาชนต้องสละชีวิตจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลไม่ต่ำกว่า 800 ศพ ขอถามว่า 800 กว่าศพที่เสียชีวิตนี้จะได้รับมาตรการเยียวยาชดเชยด้วยหรือไม่ ไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลจะถูกครหาว่าเร่งรัดเสนอมาตรการเยียวยาผู้ชุมนุมที่สนับสนุนตัวเองเป็นหลัก
ส่วนท่าทีของแกนนำกลุ่มเสื้อแดงนั้น ทันทีที่ ครม.มีมติเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงทางการเมือง ปรากฏว่า นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) รีบเปิดแถลงแสดงความพอใจตัวเลขที่ ครม.มีมติเยียวยา พร้อมยืนยันว่า ตัวเลขเงินเยียวยา 7.75 ล้านไม่ถือว่าสูงเกินไป “ไม่มีคำว่าแพงไป เพราะสังคมไทยบอบช้ำมามาก สิ่งสำคัญคือต้องไม่มีการฆ่าคนกลางถนนอีก และการเยียวยาผู้เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เพราะพวกเขาไม่ได้เสียชีวิตด้วยเรื่องส่วนตัว” พร้อมกันนี้ นางธิดายังได้นำครอบครัวและญาติผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ไปขอพบนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 12 ม.ค. เพื่อถามขั้นตอนรายละเอียดว่าจะจ่ายเงินเยียวยาเมื่อใด
ด้านนายยงยุทธ ยืนยันว่า การจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมไม่ได้ทำเพื่อเอื้อคนเสื้อแดง แต่ยอมรับว่า การจ่ายเงินเยียวยารอบแรกจะจ่ายให้ 91 ศพที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ก่อน นายยงยุทธ ยังย้ำด้วยว่า ตัวเลขเงินเยียวยา 7.75 ล้านเป็นตัวเลขที่เหมาะสม โดยรัฐบาลจะแบ่งจ่ายเงินดังกล่าวเป็น 2 รอบ รอบแรกจะจ่าย 3 ล้านบาทให้แก่ผู้เสียชีวิต รวมทั้งค่าปลงศพ 2.5 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 4.5 ล้านบาทนั้น รัฐบาลอาจทำในลักษณะกองทุนหรือซื้อสลากออมสินในระยะยาว 5 ปี เพื่อให้ได้รับดอกเบี้ย และใช้เป็นเงินเพื่อการศึกษาแก่บุตรผู้เสียชีวิตในอนาคต เพราะถ้าให้หมด อาจจะใช้หมดในคราวเดียว ทั้งนี้ นายยงยุทธ ได้ตั้งนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายเงิน และเอกสารในการขอรับเงินเยียวยาต้องใช้อะไรบ้าง คาดว่าจะจ่ายครบทั้งหมดอย่างช้าภายใน 2 เดือน
2. สหรัฐฯ ปูด ผู้ก่อการร้ายกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ เตรียมก่อเหตุใน กทม. ด้านรัฐบาล รีบแถลงรวบตัวได้แล้ว แถมเล็งปล่อยตัวกลับประเทศอย่างรวดเร็ว!
เมื่อวันที่ 13 ม.ค. เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้แจ้งเตือนพลเมืองชาวอเมริกันให้ใช้ความระมัดระวังสูงสุดและหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังจุดที่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกนิยมไปรวมตัวกันในกรุงเทพฯ เนื่องจากมีรายงานว่า กลุ่มก่อการร้ายต่างชาติมีแผนลงมือก่อวินาศกรรมโจมตีจุดท่องเที่ยวต่างๆ ใน กทม.ในอนาคตอันใกล้นี้ พร้อมแนะนำชาวอเมริกันว่า หากพบเห็นบุคคลต้องสงสัยหรือวัตถุต้องสงสัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที ขณะที่นางคริสตี้ เคนนีย์ ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้กล่าวผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า “ภัยคุกคามครั้งนี้จริงจัง น่าเชื่อถือและเฉพาะเจาะจงมาที่กรุงเทพฯ”
ทั้งนี้ หลังสถานทูตสหรัฐฯ ประกาศเตือน ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาบอกว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยชาวเลบานอน กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ได้แล้วตั้งแต่ก่อนที่สถานทูตสหรัฐฯ จะประกาศเตือนเสียอีก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน ร.ต.อ.เฉลิม ยังยืนยันด้วยว่า ตำรวจสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ประชาชนอย่าตื่นตกใจ สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอเวลาสอบสวนผู้ต้องสงสัยดังกล่าว แล้วจะแถลงรายละเอียดให้ทราบ และว่า ข่าวก่อการร้าย ทางตำรวจทราบตั้งแต่ปลายปี 2554 และได้ติดตามมาตลอด กระทั่งได้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้เข้าจับกุมนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน ผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย โดยถือพาสปอร์ตประเทศสวีเดน ขณะกำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อช่วงเย็นวันที่ 12 ม.ค.
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันความปลอดภัยของสถานที่สาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยว เพราะสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเช่นกัน โดยบอกเพียงว่า ได้ทราบจากการข่าวมานานแล้ว จึงสั่งการให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติ(สมช.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามข่าวเป็นระยะๆ รวมทั้งสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ติดตามอย่างใกล้ชิดและรายงานผลตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมายอมรับว่า เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา ได้รับการแจ้งเตือนจากสหรัฐฯ ว่า มีผู้ก่อการร้ายเข้ามาใน กทม. เจ้าหน้าที่การข่าวของไทยและสหรัฐฯ จึงได้ติดตามผู้ต้องสงสัย 2 คนที่เดินทางเข้ามาอย่างใกล้ชิด “กลุ่มก่อการร้ายอาจจะทำในลักษณะคาร์บอมบ์ต่อสถานที่สำคัญ อาทิ สถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย โบสถ์ชาวอิสราเอล บริษัททัวร์ และร้านอาหาร โดยมีเป้าประสงค์เพื่อจ้องล้างแค้นพวกอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาชาวอิสราเอลไปสังหารชาวอิหร่านเสียชีวิตจำนวนมาก จึงมีการวางทีมไว้เพื่อทำการแก้แค้น” พล.อ.ยุทธศักดิ์ เผยด้วยว่า จากการข่าวทราบว่า กลุ่มก่อการร้ายวางแผนก่อเหตุวันที่ 13-15 ม.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยืนยันว่าจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้วและอยู่ระหว่างสอบสวน ปรากฏว่า ให้หลังแค่ 1 วัน(14 ม.ค.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้ออกมาเผยความคืบหน้าว่า ได้เตรียมส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับประเทศแล้ว หลังยอมรับว่ามีแผนก่อวินาศกรรมในประเทศไทยจริง แต่ได้ล้มเลิกแผนการไป เนื่องจากทางการไทยรู้หมดแล้ว ดังนั้นคงไม่มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยรายนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น “เราใช้กฎหมายของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวไว้ซักถามจนเสร็จสิ้นก็จะส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับประเทศ โดยกฎหมายมีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ซักถาม 60 วัน คำพูดที่ผู้ต้องสงสัยให้การไว้ไม่ถือเป็นคำรับสารภาพ เป็นเพียงการพูดคุยซักถาม เล่าให้ฟังว่าทุกอย่างไม่มีอะไรแล้ว” ส่วนที่มีข่าวว่า ผู้ต้องสงสัยอีกคนยังอยู่ในประเทศไทยและยังไม่ถูกจับกุมนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ บอกว่า ได้สอบถามผู้ต้องสงสัยแล้วแต่บอกว่าไม่ทราบ
อย่างไรก็ตาม หลังรัฐบาลไทยอ้างว่าจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายชาวเลบานอน ซึ่งอยู่ในกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ได้ ปรากฏว่า เว็บไซต์นิวยอร์กไทม์ส รายงานว่า นายกาเบล อาบู ซีแนบ เจ้าหน้าจากเฮซบอลเลาะห์ ได้ออกมาปฏิเสธว่า ชายที่ถูกทางการไทยจับกุมตัวไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์แต่อย่างใด
ด้านรัฐบาลไทยได้เปิดแถลงเมื่อวันที่ 15 ม.ค.นำโดย 3 รัฐมนตรี ประกอบด้วย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ,พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยเนื้อหาหลักๆ ต้องการชี้แจงให้ต่างประเทศเข้าใจว่าสถานการณ์ในไทยไม่ได้น่าเป็นห่วง พร้อมแสดงความรู้สึกผิดหวังที่สหรัฐฯ ออกประกาศเตือนชาวอเมริกันให้ระวังการก่อการร้ายใน กทม.โดยไม่ได้ปรึกษาประเทศไทยก่อน ส่งผลให้หลายประเทศออกประกาศเตือนตามสหรัฐฯ
ทั้งนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้ให้ความมั่นใจว่า ขณะนี้ผู้ที่จะเข้ามาก่อการร้ายได้ออกไปจากประเทศไทยหมดแล้ว “...เราจะเห็นว่าจุดหมายที่มันเกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับทุกจังหวัดในประเทศไทยเลย เกี่ยวกับจังหวัดเดียวเท่านั้น คือ กทม.และบางจุดเท่านั้นที่เป็นที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลและสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น ถนนข้าวสาร ที่มีชาวอิสราเอลอยู่มากที่สุดใน กทม.ซึ่งก็เป็นห่วงว่าคนไทยเราจะไม่สบายใจ ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยก็ขอให้สบายใจได้ว่า สถานการณ์ณ์ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่เราทุกคน และบุคคลที่เข้ามาก่อการร้ายได้ออกไปหมดแล้ว” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังเผยเหตุที่รัฐบาลไม่แพร่งพรายให้ประชาชนทราบถึงแผนการก่อการร้ายในไทยทั้งที่ได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ก่อนที่สหรัฐฯ จะออกมาเตือนว่า เพราะเกรงจะทำให้ประชาชนตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างมาก
3. ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา “สุพจน์” ร่ำรวยผิดปกติ เรียกเข้ารับทราบ 23 ม.ค.นี้ ขณะที่เจ้าตัว ยังยัน ถูกปล้นแค่ 5 ล้าน!
เมื่อวันที่ 12 ม.ค. นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงความคืบหน้าการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ การร่ำรวยผิดปกติ และการทุจริตต่อหน้าที่ว่า หลังจาก ป.ป.ช.ให้นายสุพจน์ชี้แจงทรัพย์สินที่มีในวันถูกปล้น หรือวันที่ 12 พ.ย.2554 ปรากฏว่า นายสุพจน์ได้ให้ตัวแทนมายื่นเอกสารชี้แจงทรัพย์สินดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 10 ม.ค. โดยยืนยันว่า เงินสดถูกคนร้ายปล้นไปแค่ 5,068,000 บาท พร้อมอ้างว่า เงินที่ถูกปล้นเป็นเงินสินสอดและของหมั้นของบุตรสาวที่ฝากเก็บไว้ในบ้าน เพื่อเตรียมนำเข้าบัญชีธนาคารในวันเปิดทำการ
อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายสุพจน์ก่อนถูกปล้นจำนวน 36 บัญชี และหลังถูกปล้น 3 บัญชี พบประเด็นที่น่าสนใจว่า มีรายการทรัพย์สินบางรายการทั้งเงินสดและทรัพย์สินอื่น มีราคาสูงกว่ารายได้ที่นายสุพจน์ได้แสดง ดังนั้นจากการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินทั้ง 36 บัญชี และเงินสดที่ถูกปล้นไป 18 ล้านบาท(ที่เจ้าหน้าที่ยึดคืนได้จากคนร้าย) คณะอนุกรรมการไต่สวนจึงมีมติให้ดำเนินการไต่สวนนายสุพจน์ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ โดยแจ้งให้นายสุพจน์เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 23 ม.ค.นี้ เวลา 14.00น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. จ.นนทบุรี เพื่อให้ชี้แจงว่าเงินทั้งหมดได้มาจากไหน อย่างไร ได้มาโดยชอบหรือไม่ หากนายสุพจน์ไม่เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ป.ป.ช.จะทำหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาส่งไปให้ที่บ้านนายสุพจน์ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ได้แจ้งข้อกล่าวหาโดยชอบแล้ว หากนายสุพจน์ยังไม่มารับทราบข้อกล่าวหา จะถือว่าไม่มีการแก้ข้อกล่าวหา ป.ป.ช.จะดำเนินการวินิจฉัยต่อไป “หลังรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ป.ป.ช.จะให้เวลานายสุพจน์ในการชี้แจงข้อกล่าวหาเป็นเวลา 15 วัน”
สำหรับประเด็นการทุจริตต่อหน้าที่นั้น นายกล้านรงค์ เผยว่า จากการตรวจสอบสายรัดธนบัตรพบว่า สายรัดธนบัตรดังกล่าวมีความเชื่อมโยมกับบริษัทเอกชน 4 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมกับกระทรวงคมนาคม ซึ่งคณะกรรมการไต่สวนกำลังไต่สวนในเชิงลึก เพื่อดูว่าเงินที่บริษัททั้ง 4 แห่งมีความเกี่ยวข้องในการเบิกเงินมาจากธนาคารนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายสุพจน์อย่างไร ส่วนประเด็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จต่อ ป.ป.ช.นั้น คณะอนุกรรมการไต่สวนกำลังตรวจดูว่าในการยื่นบัญชีทรัพย์สินของนายสุพจน์ มีทรัพย์สินเกินหรือขาดจากที่ยื่นไว้หรือไม่ เพื่อดูว่าเป็นการจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จหรือปกปิดทรัพย์สินหรือไม่
ส่วนความคืบหน้าในการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงคดีนายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ ที่มีนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้น นายธงทอง เผยว่า หลังจากคณะกรรมการฯ ได้นัดให้นายสุพจน์เข้าชี้แจงเรื่องเงินที่ถูกปล้นเมื่อวันที่ 12 ม.ค. นายสุพจน์ยังคงยืนยันว่า ถูกปล้นแค่ 5 ล้านบาท โดยเป็นเงินรับไหว้ในวันแต่งงานของบุตรสาว หรือเงินสินสอดที่ฝ่ายชายมอบให้แก่บุตรสาว
4. “ในหลวง-พระราชินี” ทรงเสียพระทัยช้างป่าแก่งกระจานถูกฆ่าทารุณ ด้านอธิบดีอุทยานฯ สั่งเด้ง “ชัยวัฒน์” หน.อุทยานฯ หลังลูกน้องพัวพัน!
หลังเกิดเหตุการณ์ฆ่าช้างแล้วเผาที่อุทยานแห่งชาติป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่า พล.อ.นพดล วรรธโนทัย ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ สำนักราชเลขาธิการ ได้เข้าพบนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 10 ม.ค. โดยหลังเข้าพบ พล.อ.นพดล เผยว่า ได้นำพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเกี่ยวกับกรณีที่ช้างป่าแก่งกระจานถูกฆ่าตายมาหารือกับนายดำรงค์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเสียพระทัยอย่างมากที่เห็นช้างซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองถูกฆ่าตายอย่างทารุณ พร้อมรับสั่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักและห่วงใยช้าง โดยก่อนหน้านี้ ทรงมีโครงการในพระราชดำริช่วยเหลือช้าง เช่น การจัดหาอาหารให้ช้าง เพื่อไม่ให้ช้างลงมารบกวนประชาชน ทำให้ช้างกับคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นับเป็นเรื่องเศร้าสลดและถือว่าผิดพระราชปณิธาน “ผมจึงอัญเชิญพระราชดำรัสและพระราชเสาวนีย์ของทั้งสองพระองค์มาหารือกับอธิบดีดำรงค์ ซึ่งเป็นคนที่มีความกล้าหาญว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เกิดเหตุสลดใจขึ้นอีก”
ด้านนายดำรงค์ รับปากว่า จะทำงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพื่อสนองพระราชดำรัสและพระราชเสาวนีย์ของทั้งสองพระองค์ พร้อมกันนี้ นายดำรงค์ยังเผยด้วยว่า ขณะนี้รู้ตัวขบวนการที่ร่วมมือกันฆ่าช้างแล้ว โดยทำกันเป็นขบวนการ มีทั้งคนมีสี นักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น ขณะที่ข้าราชการบางส่วนสนับสนุนอาวุธปืน กระสุนปืน เครื่องยิงยาสลบ และยาสลบอย่างแรง เพื่อนำอวัยวะของช้าง เช่น อวัยวะเพศ งวง และหาง ไปส่งให้ภัตตาคารที่ จ.ภูเก็ต เพื่อปรุงอาหารไว้รองรับลูกทัวร์ต่างชาติ เพราะเนื้อและอวัยวะของช้าง คนไทยไม่นิยมรับประทานกัน
ทั้งนี้ 3 วันหลังมีข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หับและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเสียพระทัยกรณีช้างถูกฆ่าแล้วเผาที่ป่าแก่งกระจาน ปรากฏว่า ตำรวจภูธรภาค 7 ได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 5 คนที่ร่วมกันเผาทำลายซากช้างป่าที่ถูกยิงเสียชีวิตอย่างทารุณ ประกอบด้วย นายสุริยนต์ โพธิบัณฑิต ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ,นายผล ถมยา เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแก่งกระจาน ,นายจินดา หรือจุ๋ม พวงมาลัย ลูกจ้างอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ,นายมานะ นกแก้ว และนายสุรินทร์ ไม้แก้ว เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังช้างป่า ลูกจ้างอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ส่วนหลักฐานที่ทำให้ตำรวจขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน เนื่องจากนายผวน ท้วมทรัพย์ อาชีพเลี้ยงแกะที่ อ.แก่งกระจาน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นคนเผานั่งยางช้างที่ถูกยิงตายดังกล่าว โดยนายผวน เล่าว่า ตนได้ยินเสียงช้างร้องโหยหวนเมื่อคืนวันที่ 26 ธ.ค.2554 กระทั่งเสียงร้องเงียบไปในวันที่ 28 ธ.ค. แต่ไม่ได้สนใจ กระทั่งวันที่ 31 ธ.ค.ได้ออกไปหาปลาริมอ่างเก็บน้ำ และได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา จึงเดินตามกลิ่นไป กระทั่งพบลูกช้างนอนตายอยู่ แต่เย็นมากแล้ว จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่อุทยานทราบในวันที่ 1 ม.ค. เมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานมาตรวจสอบพบว่า เป็นช้างอายุประมาณ 3 ปี อวัยวะทุกอย่างอยู่ครบ แต่พบร่อยรอยถูกกระสุนปืนยิงเข้าคอจากด้านบน เจ้าหน้าที่อุทยานได้ถามตนว่าช่วยเลาะงาช้างให้หน่อยได้หรือไม่ แต่ตนไม่กล้าทำและไม่มีความรู้ เจ้าหน้าที่อุทยานจึงนำยางรถยนต์มาวางและจุดไฟเผาช้างดังกล่าว
ทั้งนี้ หลังออกหมายจับ ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 รายแล้ว คือ นายผล ,นายจินดา ,นายมานะ และนายสุรินทร์ ส่วนนายสุริยนต์ ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานฯ ยังหลบหนีอยู่ ด้านนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยืนยันว่า นายสุริยนต์ไม่ได้หลบหนี แต่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการที่อุทยานแห่งชาติทับลานโดยจะติดต่อขอมอบตัวในวันที่ 16 ม.ค.นี้ นายชัยวัฒน์ ยังบอกด้วยว่า หากเจ้าหน้าที่อุทยานทำผิดจริงก็ต้องรับโทษ แต่ขอให้ตำรวจดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม และว่า “ขอติงพนักงานสอบสวนว่า กรณีช้างถูกยิงทั้ง 2 ตัว อุทยานได้ให้เบาะแสและข้อมูลของกลุ่มคนร้ายทั้งมือยิง กลุ่มคนกลางที่ติดต่อกับกลุ่มนายทุน ซึ่งมีพยานหลักฐานเป็นตำรวจในพื้นที่ที่เห็นกลุ่มรถยนต์กลุ่มนี้ในคืนวันที่ 26 ธ.ค. เวลาประมาณ 02.00 น. มีการใช้รถยนต์ซูซูกิ วิเทียรา ทะเบียน 191 ภูเก็ต พร้อมทั้งรถกระบะโตโยต้าสีบรอนซ์และรถตู้เข้ามาในพื้นที่ที่มีการลงมือยิงช้างและตัดเฉือนเอาอวัยวะและงาไป เชื่อว่าเป็นการมารับของ” นายชัยวัฒน์ ยังบอกด้วยว่า จากการข่าวพบว่า กลุ่มคนกลางเป็นลูกน้องของคนมีสีระดับนายพล แต่เรื่องนี้กลับเงียบหายไป จึงอยากให้เร่งรัดจับกุมกลุ่มคนร้ายให้ได้
ด้านนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้มีคำสั่งให้นายชัยวัฒน์ เข้ามาช่วยราชการที่กรมอุทยานฯ โดยอ้างว่า เพื่อเปิดทางให้ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาตัวคนร้ายที่ฆ่าช้าง พร้อมยืนยันว่า นายชัยวัฒน์ไม่ได้ผิดอะไรและไม่ใช่เป็นการเรียกมาสอบข้อเท็จจริงแต่อย่างใด แต่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าอุทยานฯ เมื่อลูกน้องถูกตั้งข้อหาต้องแสดงความรับผิดชอบ หากสถานการณ์คลี่คลายสามารถหาตัวคนร้ายได้เมื่อใด นายชัยวัฒน์จะได้กลับไปทำงานเหมือนเดิม เพราะเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน
1. ครม. ไฟเขียวเยียวยาเหยื่อการเมืองตั้งแต่ปี ’48 – 53 รายละเฉียด 8 ล้าน ด้านรัฐบาล ยัน ไม่ได้มุ่งปูนบำเหน็จเสื้อแดง!
เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(ปคอป.) ชุดที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ที่เสนอให้มีการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อ ผู้เสียหาย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 หรือก่อนเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 จนถึงเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.2553 ทั้งทางการเงินและรูปแบบอื่น โดยให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อมวลชน และภาคเอกชน ตลอดจนครอบครัวของผู้เสียชีวิต
โดยกรอบการเยียวยา ได้แก่ กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ จะได้รับการเยียวยาเท่ากันในอัตรา 4.5 ล้านบาทต่อราย ซึ่งเป็นการคำนวณตามฐานข้อมูลรายได้เฉลี่ยประจำต่อคนต่อเดือนตามสถิติรายได้ประชาชาติของประเทศในปี 2553 ซึ่งเท่ากับ 1.5 แสนบาท ชดเชยค่าเสียโอกาสเป็นเวลา 30 ปี โดยประมาณว่าผู้เสียชีวิตมีอายุเฉลี่ย 35 ปี จะมีโอกาสทำงานไปจนถึงอายุ 65 ปี ซึ่งกรณีที่เสียชีวิต จะมีเงินช่วยเหลือค่าปลงศพอีกรายละ 2.5 แสนบาท หากเป็นกรณีที่มีการรักษาก่อนเสียชีวิตด้วย จะได้รับเงินค่ารักษาตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท นอกจากนี้ทั้งกรณีที่เสียชีวิตและทุพพลภาพ ยังจะได้รับเงินเยียวยาความสูญเสียทางด้านจิตใจด้วยอีกรายละ 3 ล้านบาท สรุปแล้ว กรณีที่เสียชีวิตจะได้รับเงินเยียวยาทั้งหมดประมาณ 7.75-7.95 ล้านบาท ขณะที่ผู้ทุพพลภาพจะได้รับเงินเยียวยาทั้งหมด 7.5 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สูญเสียอวัยวะนั้น หากสูญเสียอวัยะสำคัญ จะได้ค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 80 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 3.6 ล้านบาทต่อราย หากสูญเสียอวัยวะไม่สำคัญ ได้ในอัตราร้อยละ 40 ของกรณีเสียชีวิต คือ 1.8 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่สูญเสียอวัยวะ หากได้รับบาดเจ็บสาหัส จะได้ค่าชดเชยในอัตราร้อยละ 25 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 1.1 ล้านบาท หากบาดเจ็บไม่สาหัส ได้ในอัตราร้อยละ 15 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 6.7 แสนบาท หากบาดเจ็บเล็กน้อย ได้ในอัตราร้อยละ 5 ของกรณีเสียชีวิต หรือ 2.2 แสนบาท
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ครม.ได้อนุมัติงบกลางปี 2555 กว่า 43 ล้านบาทตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เพื่อใช้ในการขอประกันตัวผู้ต้องขังคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดย ครม.ประชุมเรื่องนี้เป็นวาระลับ
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ครม.มีมติเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงทางการเมืองดังกล่าว ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า มติดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติและเอื้อประโยชน์ต่อคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและก่อเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือน พ.ค.2553 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ข้องใจว่า เหตุใดต้องเจาะจงเยียวยาเฉพาะบางเหตุการณ์ ทั้งที่ยังมีเหยื่อจากอีกหลายเหตุการณ์ เช่น การสูญเสียที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ,เหตุการณ์ความสูญเสียในปี 2516 ,2519 , 2535 เหตุการณ์ฆ่าตัดตอนเรื่องยาเสพติดสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้ออกนโยบายและยอมรับว่าเป็นนโยบายที่ผิดพลาดจนเกิดความสูญเสียขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องตอบคำถามให้ได้ว่าไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติ
นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงความเป็นห่วงด้วยว่า มติ ครม.ดังกล่าวอาจทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นจากกลุ่มคนที่ตั้งข้อสงสัยว่าคนที่ทำผิดมีสิทธิได้รับชดเชยด้วยหรือไม่ “รูปธรรมที่ผมอยากจะยกคือ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีผู้ถูกศาลพิพากษาจำคุก 3-8 ปี กรณีใช้อาร์พีจียิงกระทรวงกลาโหม หรือวัดพระแก้ว ตอนยิงสะท้อนกลับมาแล้ว(ตัวเอง)บาดเจ็บ ต้องได้รับการเยียวยาตามมติ ครม.หรือไม่ แล้วคนเสียภาษีต้องไปจ่ายเงินส่วนนี้หรือไม่ หรือกรณีไปประกอบระเบิดกัน แล้วบังเอิญระเบิดเสียก่อนต้องได้(เงินชดเชย)ด้วยหรือไม่...”
ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ก็เตือนสติรัฐบาลว่า รัฐบาลต้องไม่ลืมว่ามีประชาชนต้องสละชีวิตจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลไม่ต่ำกว่า 800 ศพ ขอถามว่า 800 กว่าศพที่เสียชีวิตนี้จะได้รับมาตรการเยียวยาชดเชยด้วยหรือไม่ ไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลจะถูกครหาว่าเร่งรัดเสนอมาตรการเยียวยาผู้ชุมนุมที่สนับสนุนตัวเองเป็นหลัก
ส่วนท่าทีของแกนนำกลุ่มเสื้อแดงนั้น ทันทีที่ ครม.มีมติเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงทางการเมือง ปรากฏว่า นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) รีบเปิดแถลงแสดงความพอใจตัวเลขที่ ครม.มีมติเยียวยา พร้อมยืนยันว่า ตัวเลขเงินเยียวยา 7.75 ล้านไม่ถือว่าสูงเกินไป “ไม่มีคำว่าแพงไป เพราะสังคมไทยบอบช้ำมามาก สิ่งสำคัญคือต้องไม่มีการฆ่าคนกลางถนนอีก และการเยียวยาผู้เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เพราะพวกเขาไม่ได้เสียชีวิตด้วยเรื่องส่วนตัว” พร้อมกันนี้ นางธิดายังได้นำครอบครัวและญาติผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ไปขอพบนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 12 ม.ค. เพื่อถามขั้นตอนรายละเอียดว่าจะจ่ายเงินเยียวยาเมื่อใด
ด้านนายยงยุทธ ยืนยันว่า การจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมไม่ได้ทำเพื่อเอื้อคนเสื้อแดง แต่ยอมรับว่า การจ่ายเงินเยียวยารอบแรกจะจ่ายให้ 91 ศพที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ก่อน นายยงยุทธ ยังย้ำด้วยว่า ตัวเลขเงินเยียวยา 7.75 ล้านเป็นตัวเลขที่เหมาะสม โดยรัฐบาลจะแบ่งจ่ายเงินดังกล่าวเป็น 2 รอบ รอบแรกจะจ่าย 3 ล้านบาทให้แก่ผู้เสียชีวิต รวมทั้งค่าปลงศพ 2.5 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 4.5 ล้านบาทนั้น รัฐบาลอาจทำในลักษณะกองทุนหรือซื้อสลากออมสินในระยะยาว 5 ปี เพื่อให้ได้รับดอกเบี้ย และใช้เป็นเงินเพื่อการศึกษาแก่บุตรผู้เสียชีวิตในอนาคต เพราะถ้าให้หมด อาจจะใช้หมดในคราวเดียว ทั้งนี้ นายยงยุทธ ได้ตั้งนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายเงิน และเอกสารในการขอรับเงินเยียวยาต้องใช้อะไรบ้าง คาดว่าจะจ่ายครบทั้งหมดอย่างช้าภายใน 2 เดือน
2. สหรัฐฯ ปูด ผู้ก่อการร้ายกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ เตรียมก่อเหตุใน กทม. ด้านรัฐบาล รีบแถลงรวบตัวได้แล้ว แถมเล็งปล่อยตัวกลับประเทศอย่างรวดเร็ว!
เมื่อวันที่ 13 ม.ค. เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้แจ้งเตือนพลเมืองชาวอเมริกันให้ใช้ความระมัดระวังสูงสุดและหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังจุดที่นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกนิยมไปรวมตัวกันในกรุงเทพฯ เนื่องจากมีรายงานว่า กลุ่มก่อการร้ายต่างชาติมีแผนลงมือก่อวินาศกรรมโจมตีจุดท่องเที่ยวต่างๆ ใน กทม.ในอนาคตอันใกล้นี้ พร้อมแนะนำชาวอเมริกันว่า หากพบเห็นบุคคลต้องสงสัยหรือวัตถุต้องสงสัย ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที ขณะที่นางคริสตี้ เคนนีย์ ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้กล่าวผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า “ภัยคุกคามครั้งนี้จริงจัง น่าเชื่อถือและเฉพาะเจาะจงมาที่กรุงเทพฯ”
ทั้งนี้ หลังสถานทูตสหรัฐฯ ประกาศเตือน ปรากฏว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาบอกว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยชาวเลบานอน กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ได้แล้วตั้งแต่ก่อนที่สถานทูตสหรัฐฯ จะประกาศเตือนเสียอีก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน ร.ต.อ.เฉลิม ยังยืนยันด้วยว่า ตำรวจสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ประชาชนอย่าตื่นตกใจ สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอเวลาสอบสวนผู้ต้องสงสัยดังกล่าว แล้วจะแถลงรายละเอียดให้ทราบ และว่า ข่าวก่อการร้าย ทางตำรวจทราบตั้งแต่ปลายปี 2554 และได้ติดตามมาตลอด กระทั่งได้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้เข้าจับกุมนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน ผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย โดยถือพาสปอร์ตประเทศสวีเดน ขณะกำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อช่วงเย็นวันที่ 12 ม.ค.
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันความปลอดภัยของสถานที่สาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยว เพราะสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเช่นกัน โดยบอกเพียงว่า ได้ทราบจากการข่าวมานานแล้ว จึงสั่งการให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติ(สมช.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามข่าวเป็นระยะๆ รวมทั้งสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ติดตามอย่างใกล้ชิดและรายงานผลตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมายอมรับว่า เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา ได้รับการแจ้งเตือนจากสหรัฐฯ ว่า มีผู้ก่อการร้ายเข้ามาใน กทม. เจ้าหน้าที่การข่าวของไทยและสหรัฐฯ จึงได้ติดตามผู้ต้องสงสัย 2 คนที่เดินทางเข้ามาอย่างใกล้ชิด “กลุ่มก่อการร้ายอาจจะทำในลักษณะคาร์บอมบ์ต่อสถานที่สำคัญ อาทิ สถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย โบสถ์ชาวอิสราเอล บริษัททัวร์ และร้านอาหาร โดยมีเป้าประสงค์เพื่อจ้องล้างแค้นพวกอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาชาวอิสราเอลไปสังหารชาวอิหร่านเสียชีวิตจำนวนมาก จึงมีการวางทีมไว้เพื่อทำการแก้แค้น” พล.อ.ยุทธศักดิ์ เผยด้วยว่า จากการข่าวทราบว่า กลุ่มก่อการร้ายวางแผนก่อเหตุวันที่ 13-15 ม.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ยืนยันว่าจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้วและอยู่ระหว่างสอบสวน ปรากฏว่า ให้หลังแค่ 1 วัน(14 ม.ค.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ได้ออกมาเผยความคืบหน้าว่า ได้เตรียมส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับประเทศแล้ว หลังยอมรับว่ามีแผนก่อวินาศกรรมในประเทศไทยจริง แต่ได้ล้มเลิกแผนการไป เนื่องจากทางการไทยรู้หมดแล้ว ดังนั้นคงไม่มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยรายนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น “เราใช้กฎหมายของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวไว้ซักถามจนเสร็จสิ้นก็จะส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับประเทศ โดยกฎหมายมีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ซักถาม 60 วัน คำพูดที่ผู้ต้องสงสัยให้การไว้ไม่ถือเป็นคำรับสารภาพ เป็นเพียงการพูดคุยซักถาม เล่าให้ฟังว่าทุกอย่างไม่มีอะไรแล้ว” ส่วนที่มีข่าวว่า ผู้ต้องสงสัยอีกคนยังอยู่ในประเทศไทยและยังไม่ถูกจับกุมนั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ บอกว่า ได้สอบถามผู้ต้องสงสัยแล้วแต่บอกว่าไม่ทราบ
อย่างไรก็ตาม หลังรัฐบาลไทยอ้างว่าจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายชาวเลบานอน ซึ่งอยู่ในกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ได้ ปรากฏว่า เว็บไซต์นิวยอร์กไทม์ส รายงานว่า นายกาเบล อาบู ซีแนบ เจ้าหน้าจากเฮซบอลเลาะห์ ได้ออกมาปฏิเสธว่า ชายที่ถูกทางการไทยจับกุมตัวไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์แต่อย่างใด
ด้านรัฐบาลไทยได้เปิดแถลงเมื่อวันที่ 15 ม.ค.นำโดย 3 รัฐมนตรี ประกอบด้วย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ,พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยเนื้อหาหลักๆ ต้องการชี้แจงให้ต่างประเทศเข้าใจว่าสถานการณ์ในไทยไม่ได้น่าเป็นห่วง พร้อมแสดงความรู้สึกผิดหวังที่สหรัฐฯ ออกประกาศเตือนชาวอเมริกันให้ระวังการก่อการร้ายใน กทม.โดยไม่ได้ปรึกษาประเทศไทยก่อน ส่งผลให้หลายประเทศออกประกาศเตือนตามสหรัฐฯ
ทั้งนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้ให้ความมั่นใจว่า ขณะนี้ผู้ที่จะเข้ามาก่อการร้ายได้ออกไปจากประเทศไทยหมดแล้ว “...เราจะเห็นว่าจุดหมายที่มันเกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับทุกจังหวัดในประเทศไทยเลย เกี่ยวกับจังหวัดเดียวเท่านั้น คือ กทม.และบางจุดเท่านั้นที่เป็นที่ชุมนุมของชาวอิสราเอลและสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น ถนนข้าวสาร ที่มีชาวอิสราเอลอยู่มากที่สุดใน กทม.ซึ่งก็เป็นห่วงว่าคนไทยเราจะไม่สบายใจ ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยก็ขอให้สบายใจได้ว่า สถานการณ์ณ์ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่เราทุกคน และบุคคลที่เข้ามาก่อการร้ายได้ออกไปหมดแล้ว” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยังเผยเหตุที่รัฐบาลไม่แพร่งพรายให้ประชาชนทราบถึงแผนการก่อการร้ายในไทยทั้งที่ได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ก่อนที่สหรัฐฯ จะออกมาเตือนว่า เพราะเกรงจะทำให้ประชาชนตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างมาก
3. ป.ป.ช.มีมติแจ้งข้อกล่าวหา “สุพจน์” ร่ำรวยผิดปกติ เรียกเข้ารับทราบ 23 ม.ค.นี้ ขณะที่เจ้าตัว ยังยัน ถูกปล้นแค่ 5 ล้าน!
เมื่อวันที่ 12 ม.ค. นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงความคืบหน้าการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ การร่ำรวยผิดปกติ และการทุจริตต่อหน้าที่ว่า หลังจาก ป.ป.ช.ให้นายสุพจน์ชี้แจงทรัพย์สินที่มีในวันถูกปล้น หรือวันที่ 12 พ.ย.2554 ปรากฏว่า นายสุพจน์ได้ให้ตัวแทนมายื่นเอกสารชี้แจงทรัพย์สินดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 10 ม.ค. โดยยืนยันว่า เงินสดถูกคนร้ายปล้นไปแค่ 5,068,000 บาท พร้อมอ้างว่า เงินที่ถูกปล้นเป็นเงินสินสอดและของหมั้นของบุตรสาวที่ฝากเก็บไว้ในบ้าน เพื่อเตรียมนำเข้าบัญชีธนาคารในวันเปิดทำการ
อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายสุพจน์ก่อนถูกปล้นจำนวน 36 บัญชี และหลังถูกปล้น 3 บัญชี พบประเด็นที่น่าสนใจว่า มีรายการทรัพย์สินบางรายการทั้งเงินสดและทรัพย์สินอื่น มีราคาสูงกว่ารายได้ที่นายสุพจน์ได้แสดง ดังนั้นจากการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินทั้ง 36 บัญชี และเงินสดที่ถูกปล้นไป 18 ล้านบาท(ที่เจ้าหน้าที่ยึดคืนได้จากคนร้าย) คณะอนุกรรมการไต่สวนจึงมีมติให้ดำเนินการไต่สวนนายสุพจน์ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ โดยแจ้งให้นายสุพจน์เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 23 ม.ค.นี้ เวลา 14.00น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. จ.นนทบุรี เพื่อให้ชี้แจงว่าเงินทั้งหมดได้มาจากไหน อย่างไร ได้มาโดยชอบหรือไม่ หากนายสุพจน์ไม่เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ป.ป.ช.จะทำหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาส่งไปให้ที่บ้านนายสุพจน์ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ได้แจ้งข้อกล่าวหาโดยชอบแล้ว หากนายสุพจน์ยังไม่มารับทราบข้อกล่าวหา จะถือว่าไม่มีการแก้ข้อกล่าวหา ป.ป.ช.จะดำเนินการวินิจฉัยต่อไป “หลังรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ป.ป.ช.จะให้เวลานายสุพจน์ในการชี้แจงข้อกล่าวหาเป็นเวลา 15 วัน”
สำหรับประเด็นการทุจริตต่อหน้าที่นั้น นายกล้านรงค์ เผยว่า จากการตรวจสอบสายรัดธนบัตรพบว่า สายรัดธนบัตรดังกล่าวมีความเชื่อมโยมกับบริษัทเอกชน 4 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมกับกระทรวงคมนาคม ซึ่งคณะกรรมการไต่สวนกำลังไต่สวนในเชิงลึก เพื่อดูว่าเงินที่บริษัททั้ง 4 แห่งมีความเกี่ยวข้องในการเบิกเงินมาจากธนาคารนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายสุพจน์อย่างไร ส่วนประเด็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จต่อ ป.ป.ช.นั้น คณะอนุกรรมการไต่สวนกำลังตรวจดูว่าในการยื่นบัญชีทรัพย์สินของนายสุพจน์ มีทรัพย์สินเกินหรือขาดจากที่ยื่นไว้หรือไม่ เพื่อดูว่าเป็นการจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จหรือปกปิดทรัพย์สินหรือไม่
ส่วนความคืบหน้าในการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงคดีนายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ ที่มีนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้น นายธงทอง เผยว่า หลังจากคณะกรรมการฯ ได้นัดให้นายสุพจน์เข้าชี้แจงเรื่องเงินที่ถูกปล้นเมื่อวันที่ 12 ม.ค. นายสุพจน์ยังคงยืนยันว่า ถูกปล้นแค่ 5 ล้านบาท โดยเป็นเงินรับไหว้ในวันแต่งงานของบุตรสาว หรือเงินสินสอดที่ฝ่ายชายมอบให้แก่บุตรสาว
4. “ในหลวง-พระราชินี” ทรงเสียพระทัยช้างป่าแก่งกระจานถูกฆ่าทารุณ ด้านอธิบดีอุทยานฯ สั่งเด้ง “ชัยวัฒน์” หน.อุทยานฯ หลังลูกน้องพัวพัน!
หลังเกิดเหตุการณ์ฆ่าช้างแล้วเผาที่อุทยานแห่งชาติป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่า พล.อ.นพดล วรรธโนทัย ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ สำนักราชเลขาธิการ ได้เข้าพบนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 10 ม.ค. โดยหลังเข้าพบ พล.อ.นพดล เผยว่า ได้นำพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเกี่ยวกับกรณีที่ช้างป่าแก่งกระจานถูกฆ่าตายมาหารือกับนายดำรงค์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเสียพระทัยอย่างมากที่เห็นช้างซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองถูกฆ่าตายอย่างทารุณ พร้อมรับสั่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักและห่วงใยช้าง โดยก่อนหน้านี้ ทรงมีโครงการในพระราชดำริช่วยเหลือช้าง เช่น การจัดหาอาหารให้ช้าง เพื่อไม่ให้ช้างลงมารบกวนประชาชน ทำให้ช้างกับคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นับเป็นเรื่องเศร้าสลดและถือว่าผิดพระราชปณิธาน “ผมจึงอัญเชิญพระราชดำรัสและพระราชเสาวนีย์ของทั้งสองพระองค์มาหารือกับอธิบดีดำรงค์ ซึ่งเป็นคนที่มีความกล้าหาญว่าจะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เกิดเหตุสลดใจขึ้นอีก”
ด้านนายดำรงค์ รับปากว่า จะทำงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพื่อสนองพระราชดำรัสและพระราชเสาวนีย์ของทั้งสองพระองค์ พร้อมกันนี้ นายดำรงค์ยังเผยด้วยว่า ขณะนี้รู้ตัวขบวนการที่ร่วมมือกันฆ่าช้างแล้ว โดยทำกันเป็นขบวนการ มีทั้งคนมีสี นักการเมืองระดับชาติ นักการเมืองท้องถิ่น ขณะที่ข้าราชการบางส่วนสนับสนุนอาวุธปืน กระสุนปืน เครื่องยิงยาสลบ และยาสลบอย่างแรง เพื่อนำอวัยวะของช้าง เช่น อวัยวะเพศ งวง และหาง ไปส่งให้ภัตตาคารที่ จ.ภูเก็ต เพื่อปรุงอาหารไว้รองรับลูกทัวร์ต่างชาติ เพราะเนื้อและอวัยวะของช้าง คนไทยไม่นิยมรับประทานกัน
ทั้งนี้ 3 วันหลังมีข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หับและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเสียพระทัยกรณีช้างถูกฆ่าแล้วเผาที่ป่าแก่งกระจาน ปรากฏว่า ตำรวจภูธรภาค 7 ได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 5 คนที่ร่วมกันเผาทำลายซากช้างป่าที่ถูกยิงเสียชีวิตอย่างทารุณ ประกอบด้วย นายสุริยนต์ โพธิบัณฑิต ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ,นายผล ถมยา เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแก่งกระจาน ,นายจินดา หรือจุ๋ม พวงมาลัย ลูกจ้างอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ,นายมานะ นกแก้ว และนายสุรินทร์ ไม้แก้ว เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังช้างป่า ลูกจ้างอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ส่วนหลักฐานที่ทำให้ตำรวจขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน เนื่องจากนายผวน ท้วมทรัพย์ อาชีพเลี้ยงแกะที่ อ.แก่งกระจาน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นคนเผานั่งยางช้างที่ถูกยิงตายดังกล่าว โดยนายผวน เล่าว่า ตนได้ยินเสียงช้างร้องโหยหวนเมื่อคืนวันที่ 26 ธ.ค.2554 กระทั่งเสียงร้องเงียบไปในวันที่ 28 ธ.ค. แต่ไม่ได้สนใจ กระทั่งวันที่ 31 ธ.ค.ได้ออกไปหาปลาริมอ่างเก็บน้ำ และได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา จึงเดินตามกลิ่นไป กระทั่งพบลูกช้างนอนตายอยู่ แต่เย็นมากแล้ว จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่อุทยานทราบในวันที่ 1 ม.ค. เมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานมาตรวจสอบพบว่า เป็นช้างอายุประมาณ 3 ปี อวัยวะทุกอย่างอยู่ครบ แต่พบร่อยรอยถูกกระสุนปืนยิงเข้าคอจากด้านบน เจ้าหน้าที่อุทยานได้ถามตนว่าช่วยเลาะงาช้างให้หน่อยได้หรือไม่ แต่ตนไม่กล้าทำและไม่มีความรู้ เจ้าหน้าที่อุทยานจึงนำยางรถยนต์มาวางและจุดไฟเผาช้างดังกล่าว
ทั้งนี้ หลังออกหมายจับ ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 รายแล้ว คือ นายผล ,นายจินดา ,นายมานะ และนายสุรินทร์ ส่วนนายสุริยนต์ ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานฯ ยังหลบหนีอยู่ ด้านนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยืนยันว่า นายสุริยนต์ไม่ได้หลบหนี แต่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการที่อุทยานแห่งชาติทับลานโดยจะติดต่อขอมอบตัวในวันที่ 16 ม.ค.นี้ นายชัยวัฒน์ ยังบอกด้วยว่า หากเจ้าหน้าที่อุทยานทำผิดจริงก็ต้องรับโทษ แต่ขอให้ตำรวจดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม และว่า “ขอติงพนักงานสอบสวนว่า กรณีช้างถูกยิงทั้ง 2 ตัว อุทยานได้ให้เบาะแสและข้อมูลของกลุ่มคนร้ายทั้งมือยิง กลุ่มคนกลางที่ติดต่อกับกลุ่มนายทุน ซึ่งมีพยานหลักฐานเป็นตำรวจในพื้นที่ที่เห็นกลุ่มรถยนต์กลุ่มนี้ในคืนวันที่ 26 ธ.ค. เวลาประมาณ 02.00 น. มีการใช้รถยนต์ซูซูกิ วิเทียรา ทะเบียน 191 ภูเก็ต พร้อมทั้งรถกระบะโตโยต้าสีบรอนซ์และรถตู้เข้ามาในพื้นที่ที่มีการลงมือยิงช้างและตัดเฉือนเอาอวัยวะและงาไป เชื่อว่าเป็นการมารับของ” นายชัยวัฒน์ ยังบอกด้วยว่า จากการข่าวพบว่า กลุ่มคนกลางเป็นลูกน้องของคนมีสีระดับนายพล แต่เรื่องนี้กลับเงียบหายไป จึงอยากให้เร่งรัดจับกุมกลุ่มคนร้ายให้ได้
ด้านนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้มีคำสั่งให้นายชัยวัฒน์ เข้ามาช่วยราชการที่กรมอุทยานฯ โดยอ้างว่า เพื่อเปิดทางให้ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาตัวคนร้ายที่ฆ่าช้าง พร้อมยืนยันว่า นายชัยวัฒน์ไม่ได้ผิดอะไรและไม่ใช่เป็นการเรียกมาสอบข้อเท็จจริงแต่อย่างใด แต่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าอุทยานฯ เมื่อลูกน้องถูกตั้งข้อหาต้องแสดงความรับผิดชอบ หากสถานการณ์คลี่คลายสามารถหาตัวคนร้ายได้เมื่อใด นายชัยวัฒน์จะได้กลับไปทำงานเหมือนเดิม เพราะเป็นคนที่ตั้งใจทำงาน