xs
xsm
sm
md
lg

สื่ออิสราเอลเตือน บอมบ์"ข้าวสาร" แผนแก้แค้นก่อน12 ก.พ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สื่อยิวชี้ "ฮิซบอลเลาะห์" หวังโจมตีคนอิสราเอลในกรุงเทพฯ แก้แค้นก่อน 12 ก.พ. รัฐบาลแถลงรู้นานแล้ว "บิ๊กโก" บอกไม่ต้องห่วง "บิ๊กอ๊อด" โอ่รู้ความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวแต่มะกันทำเสียแผน ชี้เป้าย่านถนนข้าวสารคนอิสราเอลเยอะ "ปู" ก็ยืนยันปลอดภัยแล้ว ด้าน ปชป. จวก"เหลิม" ชักศึกเข้าบ้าน ดึงไทยเป็นคู่ขัดแย้งในเวทีโลก

หนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ ของอิสราเอล รายงานสถานการณ์ภัยคุกคามการก่อการร้ายในไทย วานนี้ (15ม.ค.) ว่า สำนักต่อต้านการก่อการร้ายอิสราเอล ได้ประกาศเตือนพลเรือนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และแนะนำชาวอิสราเอลในกรุงเทพฯ ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมนุมของคนอิสราเอล

แหล่งข่าวด้านกลาโหมอิสราเอล เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ฮาอาเรตซ์ว่า ทางการไทยกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อยับยั้งการก่อเหตุร้าย โดยคาดว่าอาจเกิดขึ้นก่อนวันที่ 12 ก.พ. ซึ่งเป็นวันครบรอบการลอบสังหาร อิหมัด มุกห์นิเยห์ (Imad Mughniyeh) แกนนำระดับสูง และหัวหน้าชุดปฏิบัติการของฮิซบอลเลาะห์

ทั้งนี้ มุกห์นิเยห์ เสียชีวิตจากเหตุคาร์บอมบ์ในซีเรีย เมื่อปี 2008 หลังตกเป็นเป้าหมายการลอบสังหารของ “มอสสาด” (Mossad) หน่วยสืบราชการลับของอิราเอล มานานหลายปี

แหล่งข่าวด้านกลาโหมไทย ให้ข้อมูลกับ ฮาอาเรตซ์ว่า แม้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน แต่การเตือนภัยก่อการร้ายยังคงมีผลอยู่ นอกจากนี้ แหล่งข่าวผู้นี้ยังเรียกร้องให้ชาวอิสราเอลในประเทศไทย ปฏิบัติตามคำสั่งของทางการ และหลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงนี้

ฮาอาเรตซ์ ได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า ระหว่างการสอบปากคำ อิดริส ฮุสเซน สมาชิกฮิซบอลเลาะห์วัย 48 ปี ให้การสารภาพว่า มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายวางแผนโจมตีเป้าหมายชาวอิสราเอล ซึ่งหมายรวมถึง สถานที่ที่ชาวอิราเอลอาศัยอยู่

ทั้งนี้ อิสราเอลได้แจ้งเตือนทางการไทย เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.54 ว่า สมาชิกฮิซบอลเลาะห์ 3 คน ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย เพื่อก่อเหตุร้าย ต่อมา วันที่ 8 ม.ค. อิสราเอลได้รับข่าวกรอง ชี้ว่า การก่อเหตุจะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ฮาอาเรตซ์ รายงาน

ส่วนทางการสหรัฐฯ ก็แจ้งรัฐบาลไทย ตั้งแต่ช่วงก่อนคริสต์มาสว่า ได้รับข้อมูลจากอิสราเอล เกี่ยวกับแผนก่อการร้าย ซึ่งหวังเล่นงานชาวตะวันตก และชาวอเมริกัน ในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ 3 คน ที่เข้ามาในประเทศไทย มีสัญชาติเลบานอน และยังถือหนังสือเดินทางของสวีเดน ทุกคนล้วนเคยเดินทางเข้าออกประเทศไทย ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ข้อมูลจากอิสราเอล นำทางเจ้าหน้าที่ไทยไปยังอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ย่านถนนข้าวสาร ในวันศุกร์ (13 ม.ค.) แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เหลือ ไหวตัวทัน และหนีไปก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถจับตัว อิดริส ฮุสเซน บุคคลสัญชาติเลบานอน-สวิตเซอร์แลนด์ ได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่กี่นาที ก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่อง เดินทางออกจากประเทศไทย

**ผู้ต้องสงสัยที่ถูกรวบเป็นสวีดิช

ด้านกระทรวงต่างประเทศสวีเดน เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ผู้ต้องสงสัย ก่อการร้ายที่ถูกทางการไทยจับกุม เป็นผู้ถือหนังสือเดินทางของสวีเดน

" บุคคลผู้ถือหนังสือเดินทางสวีเดนถูกจับกุม เรากำลังตรวจสอบข้อมูลของบุคคลดังกล่าว" อังเดร เอ็มกันดาไวร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสวีเดน เปิดเผยผ่านสำนักข่าว เอเอฟพี

“เราได้รับข้อมูลการจับกุมดังกล่าว โดยทางสถานทูตกำลังตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล”

ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ (13 ม.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี ทางโทรศัพท์ว่า ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมในวันพฤหัสบดี (12 ม.ค.) เดินทางมาจาก “เลบานอน”

“ เราได้จับกุมผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง เพื่อสอบปากคำที่สถานที่ราชการในกรุงเทพฯ เขาเป็นสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ จากเลบานอน” ร.ต.อ.เฉลิม ระบุ

โฆษกเอ็มกันดาไวร์ สำทับว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตสวีเดน กำลังตรวจสอบข้อมูลเพื่อความกระจ่าง

" อาจเป็นไปได้ว่าเขาถือสองสัญชาติ หรืออาจเป็นชาวสวีเดนในต่างประเทศ"

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สถานทูตสวีเดน หวังจะได้พบกับบุคคลผู้ถูกจับกุมดังกล่าวในช่วงสุดสัปดาห์นี้ หรือในวันจันทร์ (16 ม.ค.) โดย อังเดร เอ็มกันดาไวร์ ระบุถึงกรณีนี้ว่า เป็นประเด็นที่ “เปราะบาง”

** รัฐบาลตั้งโต๊ะแถลงไม่ต้องห่วง

เมื่อเวลา 12.30 น.วานนี้ (15 ม.ค.) ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมครม.สัญจร พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง พร้อมด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ร่วมกันแถลงกรณีที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์เตือนประชาชนของประเทศตนเองให้ระมัดระวังการก่อวินาศกรรมในประเทศไทย

โดย พล.ต.อ.โกวิท กล่าวว่า หน่วยงานด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และกระทรวงต่างประเทศ ได้ทำงานติดตามมาโดยตลอดทุกระยะ และทางราชการไม่จำเป็นจะต้องบอกกล่าวว่า ช่วงเวลาใดมีบุคคลต้องสงสัยเดินทางเข้า-ออก ประเทศ เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะต้องติดตามดูแลพฤติกรรมต่างๆ จึงขอย้ำว่า ฝ่ายรัฐบาล ผู้รับผิดชอบ จะดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่ ประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง

" ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะดูแลความปลอดภัย พี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ความสงบทุกอย่างไม่ต้องเป็นกังวล เราจะร่วมมือกันทำงานให้เต็มที่ และถ้าสื่อมวลชนช่วยทำความเข้าใจ ก็จะเกิดความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว ทัวร์ต่างๆ ก็จะเข้ามาเหมือนเดิม" พล.ต.อ.โกวิท กล่าว

** อ้างรู้เบาะแสตั้งแต่ 18 ธ.ค.54

พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวกันตั้งแต่ 18 ธ.ค.54 โดยเราได้รับรายงานจากฝ่ายการข่าวของอิสราเอล ที่เรียกว่า หน่วยงานโมซาด (MOSSAD) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สามารถติดตามข่าวต่างๆได้อย่างแน่นอน และประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจสันติบาลหน่วยรักษาความปลอดภัย และหน่วยการข่าวของกองทัพ ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เรารู้อยู่แล้ว กำลังติดตามอยู่แล้ว

ทั้งนี้ การที่เราติดตามอยู่ตลอดเวลา เราไม่ได้เข้าไปจับกุม เพราะถ้ายังไม่ปรากฏความผิด เอาตัวไปก็ไม่ได้อะไร ฉะนั้นเราก็รอให้มันมีสัญญาณที่จะเกิดความผิดเสียก่อน และเราก็ตกลงกับทางอิสราเอล และสหรัฐฯ ที่เป็นฝ่ายข่าวในประเทศไทยว่า เรื่องนี้เราจะดำเนินการด้วยความเงียบสงบ ไม่ต้องแพร่งพราย เพราะเราไม่ต้องการให้มีข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศไทย หรือกทม. เพราะจะทำให้ประชาชนตกใจ มีความกังวลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบกับการท่องเที่ยวอย่างมาก เราได้ติดตามตลอดเวลา

" พอมีข่าวว่า การดำเนินการ จะเริ่มภายในวันที่ 13-15 ม.ค. ผมคิดว่ามันเป็นการตกใจของสหรัฐฯ เป็นผู้เปิดเรื่องนี้ขึ้นมาเพียงประเทศเดียว ฉะนั้นการเปิดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ทำให้ประเทศไทยในฐานะที่ดำเนินการข่าวลับอยู่แล้ว มีความไม่สบายใจ แต่ขอยืนยันว่าประเทศไทย ไม่ใช่เป้าหมายของการก่อการร้าย แต่การที่ผู้ก่อการร้ายมาใช้พื้นที่ใน กทม.ดำเนินการ เพราะว่าประเทศไทยมีความสงบมาก เรียกว่า Soft Target เป็นเป้าหมายที่อ่อนนุ่ม ที่ผู้ก่อการร้าย และผู้ที่นำผู้ก่อการร้ายมาเคลื่อนไหว ดังนั้น เราจะเห็นว่าจุดหมายที่มันเกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับทุกจังหวัดในประเทศไทยเลย เกี่ยวกับจังหวัดเดียวเท่านั้น คือ กทม.และบางจุดเท่านั้น ที่เป็นที่ชุมนุมของชาวอิสราเอล และสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น ถนนข้าวสาร ที่มีชาวอิสราเอลอยู่มากที่สุดใน กทม. ซึ่งก็เป็นห่วงว่าคนไทยเราจะไม่สบายใจ ชาวต่างชาติที่จะมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ก็ขอให้สบายใจได้ว่า สถานการณ์ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่เราทุกคน และบุคคลที่เข้ามาก่อการร้ายได้ออกไปหมดแล้ว" พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าว

รมว.กลาโหม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เพื่อไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับประเทศไทย กระทบกระเทือนต่อการท่องเที่ยว ทางกระทรวงกลาโหม ได้ให้สำนักนโนบายและแผนกลาโหมติดต่อขอคุยกับผู้ช่วยเอกอัครราชทูตทหาร ของสหรัฐฯ ว่า ครั้งหน้าหากจะมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้อีก หากเกิดอะไรขึ้นมา ขอให้มันรัดกุมมากขึ้นกว่านี้ ขอให้คุยกันเสียก่อน เห็นใจประเทศไทยบ้าง เพราะว่ามันกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความมั่นคงอย่างเดียวเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมามีการแจ้งเตือนว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจะเข้ามาในประเทศไทยกี่คน รมว.กลาโหม กล่าวว่าแจ้งมา 2 คน แต่ต่อมาแจ้งเพิ่มว่าอาจเข้ามาอีก 4-5 คน แต่ไทยติดตาม 2 คน และจับกุมได้ 1 คน เพราะใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย และยอมรับสารภาพว่า ตั้งใจมาทำงานนี้ แต่ทำไม่ได้แล้ว เพราะถูกเปิดเผยแล้ว แต่อีกหนึ่งคนนั้น ออกไปแล้วโดยไม่ต้องกังวล ส่วนคนที่โดนจับกุมตอนนี้ได้ส่งไปประเทศอื่นแล้ว และไม่ทราบว่าไปไหน อาจกลับไปอิสราเอล หรือสหรัฐฯ เพราะบางประเทศอาจขอตัวไป เพราะมีพันธะทางกฎหมาย ซึ่งตนพูดอะไรเพิ่มไม่ได้แล้ว เพราะไม่รู้กฎหมายด้านนี้

เมื่อถามว่า มูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ รมว.กลาโหม กล่าวว่า มาแก้แค้นเพราะกลุ่มนี้ประกาศว่า จะต้องแก้แค้นอิสราเอลให้ถึงที่สุด เพราะเมื่อปี 2551 อิสราเอลฆ่าบุคลากรระดับหัวหน้าของกลุ่มนี้ ที่ประเทศซีเรีย

** "ยิ่งลักษณ์" ยืนยันปลอดภัยแล้ว

ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ประเทศไทยยืนยันความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยในสถานที่สาธารณะ และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ซึ่งตนได้สั่งการให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กองทัพ และสภาความมั่นคง ให้ดูทั้งความปลอดภัยและรายงานสถานการณ์ 24 ช.ม.

อย่างไรก็ตาม แม้ทางสหรัฐฯ มีการเตืยนมา แต่ก็ไม่ได้เตือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งตนได้มอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศ ประสานกับทุกประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดี เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเตือนที่ไม่แจ้งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ถือเป็นการผิดขั้นตอนทางการทูตหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขอให้เจ้าหน้าที่เช็ครายละเอียดก่อน และได้สั่งการให้กระทรวงต่างประเทศ หารือกับสหรัฐฯ เพื่อสร้างความเข้าใจกัน รวมถึงประเทศต่างๆที่ได้มีการแจ้งเตือน ทั้งนี้ยืนยันว่า เราดูแลความปลอดภัยเจ้าหน้าที่พร้อมทำหน้าที่ตลอด 24 ช.ม. นักท่องเที่ยวสบายใจได้

เมื่อถามว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า จริงๆ แล้วอาจเป็นเรื่องการสื่อสาร แต่ในความเป็นจริงเราได้แจ้งแล้ว และได้ให้ความมั่นใจกับสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้วว่า ให้กระจายบอกข่าวกันไป ขอฝากสื่อมวลชนด้วย เพราะภาพรวม เป็นเรื่องของกระแสข่าว ขอย้ำว่าเราจะดูแลความปลอดภัย และมั่นใจในศักยภาพของเจ้าหน้าที่จะดูแลได้ เรากระจายทุกส่วนทั้งหน่วยข่าวกรอง สภาความมั่นคง กองทัพ ตำรวจทุกหน่วยงาน ซึ่งช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เราก็ติดตาม เราไม่ได้ทำงานหลังปัญหาเกิด เราจะติดตามเช็ครายละเอียดตั้งแต่ต้นตออย่างใกล้ชิด ถ้ามีความคืบหน้า จะชี้แจงให้ทราบอีกครั้ง

** ย่านถนนข้าวสารจุดเสี่ยง

แหล่งข่าวในที่ประชุมครม.สัญจร จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในที่ประชุมครม.ได้มีการหารือเรื่องการก่อการร้ายอย่างเคร่งเครียด โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ได้กล่าวชี้แจงกรณีที่มีข่าวใน ช่อง 11 ว่า ตนเตรียมที่จะยื่นหนังสือทางการถึงสหรัฐฯ และเตรียมเรียกทูตสหรัฐฯ มาเคลียร์นั้น ไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยมีนโยบายดังกล่าว เป็นความเข้าใจที่คาดเคลื่อนของช่อง11 ซึ่งนายกฯบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเพราะฉะนั้นเวลาจะพูดอะไรต้องระมัดระวัง และนายกฯ ได้สั่งกระทรวงต่างประเทศไปประสานหน่วยงานด้านความั่นคง ไปประชุมและให้แถลงอย่างเป็นทางการ โดยให้เน้นรูปแบบของเอกสาร ไม่เน้นให้สัมภาษณ์ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

แหล่งข่าว เปิดเผยต่อว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ได้แจ้งต่อที่ประชุมครม.ว่า ผู้ก่อการร้ายความจริงมี 2 คน ซึ่งเรามีข้อมูลอยู่แล้ว และได้ประสานกับทางสหรัฐฯ มาตลอด แต่ไม่เข้าใจทำไมออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ทั้งนี้เราได้รับข่าวมาว่า ผู้ก่อร้าย ตั้งใจที่จะมาก่อการร้ายพุ่งเป้าไปที่คนอิสราเอลในประเทศไทย ซึ่งคนอิสราเอล จะอาศัยอยู่มากแถวย่านถนนข้าวสาร

**ปชป.จวก"เหลิม" ชักศึกเข้าบ้าน

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่สถานทูต 12 ประเทศ ออกคำเตือนประชาชนในประเทศตัวเองไม่ให้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย เนื่องจากกลุ่มฮิซบอเราะห์ เตรียมก่อวินาศกรรมในประเทศไทยว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจ การบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความมั่นคง โดยรัฐบาลควรจะดำเนินการกับเหตุการณ์เช่นนี้ใน 3 ขั้นตอน คือ

1. การประกาศเตือนภัยจากสถานทูต ซึ่งรัฐบาลบอกว่าได้ทราบถึงเรื่องดังกล่าวล่วงหน้าแล้ว และมีการประสานงานภายในอย่างต่อเนื่องกับต่างชาติ และสถานทูต แต่ต่างชาติกลับยังไม่มั่นใจว่า รัฐบาลจะปกป้องภัยจากผู้ก่อวินาศกรรมได้ ซึ่งในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็มีการประกาศเตือนเช่นนี้มาตลอด แต่กระทรวงการต่างประเทศสมัยนั้น ก็ได้มีการแจ้งเตือนภายใน เมื่อมีการจับผู้ก่อการร้ายได้ ก็จะส่งกลับประเทศ โดยไม่ปล่อยให้สถานทูตประเทศต่างๆ ออกมาตีโพยตีพาย แจ้งเตือนคนของเขาเอง ซึ่งในขณะนี้ได้เกิดผลกระทบที่เกิดกับไทย คือ ต่างชาติไม่ให้ความไว้วางใจ ไม่มั่นใจ และไม่เกรงใจรัฐบาลนี้แม้แต่น้อย โดยไม่ยอมรับฟัง หรือยอมรับคำชี้แจงของรัฐบาลไทยเลย

2. เมื่อมีการแจ้งเตือนแล้ว รัฐบาลควรจะชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับประชาชน และสังคมโลกโดยทันที แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องกับมีการพูดจาให้เกิดความสับสน โดยบอกว่า ทราบเรื่องตั้งแต่ก่อนปีใหม่ และได้มีการเตือนแล้ว แต่ที่ตนจำได้คือ ร.ต.อ.เฉลิม พูดถึงคนมือสั่น เป็นโรคพาร์กินสัน ที่เป็นผู้ก่อกวน ไม่ทราบว่า คนๆนี้ เกี่ยวข้องกับกลุ่มฮิซบอเลาะห์ หรือไม่ ขณะที่กระทรวงกลาโหมกลับบอกเพียงว่า เพิ่งทราบเรื่องนี้ก่อนหน้าการแจ้งเตือนเพียง 2 วัน แสดงว่าเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ให้ความมั่นใจต่อชาวต่างชาติ ที่สำคัญข้อมูลเหล่านี้ทำให้ต่างชาติยังคงระดับการแจ้งเตือนภัย และตนเชื่อว่าจะมีอีกหลายประเทศ ที่จะทำการแจ้งเตือนเพิ่มขึ้น เพราะขนาดรัฐบาลไทย ยังสับสนกันเองแล้วจะให้ต่างชาติรับฟังได้อย่างไร และยังบอกว่าจับตัวคนเลบานอลได้แล้ว และมีการล้มแผนการก่อวินาศกรรมแล้ว แต่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ กับบอกว่าไม่ใช่เป็นสมาชิกของเขา ถือว่าเรากำลังหาเหาใส่หัวหรือไม่ เพราะประเทศไทย ไม่เคยเข้าเป็นคู่ขัดแย้งในเวทีโลกเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ท่านชักศึกเข้าบ้าน เอาคนไทยไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม ดังนั้นจึงควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

3. หลังเกิดเหตุควรหาทางแก้ไข โดยสิ่งแรกที่ต้องทำ คือต้องเชิญทูตานุทูตของทุกประเทศ เข้ารับฟังความจริงและควรให้เอกอัครราชทูตไทยในประเทศต่างๆ เดินทางไปให้ข้อเท็จจริงกับทุกประเทศโดยทันที โดยการดำเนินการกระทรวงการต่างประเทศต้องมียุทธศาสตร์ด้านสื่อเพื่อแก้ไขภาพพจน์ให้กับประเทศ เพราะขณะนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยพังไปแล้ว ยอดการจองโรงแรมในกทม.เริ่มตกแล้ว และกำลังลามไปยังหัวเมืองใหญ่ ๆ ในภาคต่างๆ เพราะรัฐบาลบอกว่าสถานการณ์อยู่ในขั้นปลอดภัย แต่ครม.กลับยกพลไปประชุมครม.สัญจรที่ภาคเหนือ ทิ้งประชาชนตาดำๆ ไปแบบนี้ แล้วจะให้ต่างชาติมั่นใจได้อย่างไร

**พบกล่องของขวัญต้องสงสัย BTS

เมื่อเวลา 15.30 น.วานนี้ (15ม.ค.) ร.ต.อ.นิวัฒน์ พรมวงษ์ รองสวป.สน.ทองหล่อ รับแจ้งพบกล่องของขวัญต้องสงสัยว่าจะเป็นวัตถุระเบิด บริเวณหน้าห้องขายตั๋วโดยสารสถานีรถไฟฟ้า (บีทีเอส) ทองหล่อ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม และเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด

ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบกล่องของขวัญสีน้ำตาลวางอยู่ 2 กล่อง จึงได้กั้นแนวป้องกันการระเบิด แล้วเข้าทำการตรวจสอบ แต่เมื่อแกะกล่องของขวัญออกดู พบว่าเป็นเพียงโคมไฟสำหรับอ่านหนังสือทั้ง 2 กล่อง คาดว่าน่าจะมีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า มาซื้อตั๋วแล้วลืมไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะเจ้าหน้าที่ได้กั้นพื้นเพื่อตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยทำให้ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ตื่นตกใจเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา มีการแจ้งเตือนการก่อวินาศกรรมใน กทม. แต่เมื่อทราบว่าเป็นเพียงกล่องของขวัญธรรมดา ต่างโล่งใจไปตามกัน.
กำลังโหลดความคิดเห็น