โดย : ปราโมทย์ นาครทรรพ
“สังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการค้าเสรีถูกนำมาใช้ภายใต้ “ระบบอุปถัมภ์” จนก่อให้เกิด “ทุนนิยมผูกขาด” ที่เข้ามาครอบงำอำนาจทางการเมือง ผ่านการเลือกตั้งและการใช้นโยบายประชานิยม จนส่งผลให้เกิดการ “ผูกขาดอำนาจทางการเมือง” และนำไปสู่การ “ผูกขาดอำนาจในสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จ” จนเกิด “วิกฤตการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มีการชี้นำความคิดความเชื่อของประชาชนไปในทิศทางที่ทุนนิยมผูกขาดต้องการ”
ขึ้นต้น “คำประกาศอุดมการณ์” ของ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์”
13 มกราคม 2555
ผมยินดีที่ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” เปิดตัวอันประกอบด้วยแกนจากมหาวิทยาลัยและปัญญาชนอิสระ เป็นนักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ และนักพัฒนาสังคมจากนิด้า สุโขทัย รังสิต ธรรมศาสตร์ และจุฬาฯ เป็นต้น
ได้ยินว่า นอกจากงานหลักอันได้แก่การขับเคลื่อนประเทศให้ออกจากวิกฤตอันเกิดจาก “ผูกขาดอำนาจทางการเมือง” และ “ผูกขาดอำนาจในสังคมอย่างเบ็ดเสร็จ” โดยกลุ่ม “ทุนนิยมเผด็จการ” แล้ว กลุ่มยังจะติดตามตรวจสอบการทำงานของ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่บิดเบือนเผยแพร่วิชาการในนามแห่งเสรีภาพ แต่ซ่อนเร้นการสนับสนุนและแผนการกลับคืนสู่อำนาจของผู้นำเผด็จการทุนนิยมที่คดโกงบั่นทอนเสรีภาพ และทำลายสิทธิมนุษยชนของพี่น้องชาวไทยมาแล้วอย่างแสนสาหัส
ความจริง ผมส่งเสริมการใช้เสรีภาพของ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” และ “กลุ่มนิติราษฎร์” ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน ขอแต่อย่าให้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมีเบื้องหลังได้รับการสนับสนุนอุ้มชูจากเผด็จการและอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมและลำเอียง
การต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเป็นธรรมที่แท้จริงนั้นว้าเหว่ โดดเดี่ยว และเสี่ยงยิ่งนัก ไม่เหมือนกับการต่อสู้กำมะลอที่มีเงินและอำนาจคอยหนุนอยู่ข้างหลัง
อาจารย์ป๋วยเคยเขียนจดหมายจากเคมบริดจ์ถึงผมตอนที่ยังอยู่ปารีส เมื่อ 30 พ.ย. 2514 ตอนหนึ่งมีความว่า “เกี่ยวกับการ ‘ปฏิวัติ’ นั้น (คือการปฏิวัติของจอมพลถนอม-ผม) คำว่าปฏิวัติทั้งคราวก่อนและคราวนี้เป็นการหมิ่นประมาทพวก Revolutionaries จริงๆ ตั้งแต่ French Revolutions มาจนถึง Che Quevara เพราะเป็นเรื่องที่คนมีอำนาจแล้ว รวบอำนาจหมดเอาเอง ไม่เห็นต้องผจญภัยอะไรเลย มองอีกแง่หนึ่ง ก็มหาโจร บ่นโจรเล็กๆ น้อยๆ กวนใจ เลยทำเสียให้เข็ด”
“กลุ่มนิติราษฎร์” มีภาระจะต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยว่าตนไม่ได้รับเงินจากมหาโจรหรือเครือข่าย และมิได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากรัฐบาลให้เผยแพร่การใช้เสรีภาพทางวิชาการแบบเอาเปรียบผู้อื่น รวมทั้งกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ที่เกิดใหม่ ทั้งๆ ที่การใช้เสรีภาพของกลุ่มนิติราษฎร์นั้น เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพของประมุขแห่งรัฐเสียด้วยซ้ำ
ทั้ง “กลุ่มนิติราษฎร์” และ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” ควรจะตรวจสอบตนเอง ตรวจสอบกันเอง และถูกตรวจสอบโดยบุคคลภายนอก แล้วเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริงให้แจ้งชัดต่อพี่น้องประชาชนว่ามีผู้ใดบ้างเป็นอุปถัมภก เป็นผู้นำ เป็นแกน และประวัติตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันของบุคคลเหล่านั้นว่ายุคใด สมัยที่บุคคลเหล่านั้นนอกจากจะหดหัวให้เผด็จการแล้ว ยังหากินด้วยอภิสิทธิ์อิทธิพลและความสงเคราะห์ของเผด็จการอีกด้วย
เรื่องเศร้าอีกอย่างหนึ่งของยุคนี้ ยิ่งกว่าพังเพยของจีนโบราณที่เงินใช้ผีโม่แป้งได้ นั่นก็คือการกลับตาลปัตรของเรื่องราวต่างๆ โดยสื่อและวงวิชาการทั่วโลก ที่หลงผิดว่าเผด็จการทุนนิยมอย่างไพร่พลบริวารของทักษิณกลายเป็นนักสู้ประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ในขณะที่นักสู้ที่แท้จริงตั้งแต่กึ่งพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันถูกป้ายสีให้เป็นฟาสซิสต์อำนาจนิยมและคนหัวเก่าตกยุค คนพวกเราหลังที่ต่อสู้มายาวนาน เขารู้จักกำพืดของคนพวกแรกดี เขาจึงต้องยอมแบกน้ำหนักสู้ด้วยมือเปล่าและปากเปล่า ซ้ำยังถูกอำนาจรัฐอนุรักษนิยมที่ซูเอี๋ยกับพวกขายชาติกลั่นแกล้งเสียอีก
นี่น่าจะเป็นภารกิจอีกอย่างหนึ่งของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ที่จะต้องช่วยทุ่มเทแก้ไข หาไม่ตนเองจะพลอยติดร่างแหไปด้วย
ผมใคร่ขอแถมข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ว่า ในยุคที่ผมและเพื่อนพ้องต่อสู้กับเผด็จการคณะรัฐประหารพิบูล-สฤษดิ์-เผ่าระหว่างปี พ.ศ. 2496-2500 นั้น นิสิต นักศึกษาผู้บริสุทธิ์ใจ และไร้ผลประโยชน์ต่างหากที่ออกนำหน้า หาใช่บรรดาครูบาอาจารย์ไม่ แต่แน่นอนที่สุด ข้อมูลและปัญญาที่ทำให้เกิดความกล้าหาญนั้น ย่อมปฏิเสธมิได้ว่ามาจากการสั่งสอนและเรียนรู้จากครูบาอาจารย์
ผมอยากจะย้ำว่า หากบรรดาครูอาจารย์ในกลุ่มสยามภิวัฒน์ไม่มีปัญญาในการปลุกนิสิตนักศึกษาให้ตื่นขึ้นมาเข้าใจปัญญาและความจำเป็นที่จะต้องมีสยามาภิวัฒน์หรือการอภิวัฒน์ประเทศอย่างจริงจังแล้ว ก็ยากที่ภารกิจของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์จะสำเร็จได้
ผมขออวยพรและขอนำคำประกาศอุดมการณ์ทั้งหมดของกลุ่มมาให้นิสิตนักศึกษาและพี่น้องประชาชนพิจารณาว่าสมควรจะสนับสนุนหรือเข้าร่วมหรือไม่
หากมีเวลา ผมจะเชิญมาร์กซ์-เลนิน-และเหมา มาสอนแกนนำว่าจะต้องทำอะไรบ้างการอภิวัฒน์จึงจะสำเร็จ
ประกาศอุดมการณ์
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์”
สังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการค้าเสรีถูกนำมาใช้ภายใต้ “ระบบอุปถัมภ์” จนก่อให้เกิด “ทุนนิยมผูกขาด” ที่เข้ามาครอบงำอำนาจทางการเมือง ผ่านการเลือกตั้งและการใช้นโยบายประชานิยม จนส่งผลให้เกิดการ “ผูกขาดอำนาจทางการเมือง” และนำไปสู่การ “ผูกขาดอำนาจในสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จ” จนเกิด “วิกฤตการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มีการชี้นำความคิดความเชื่อของประชาชนไปในทิศทางที่ทุนนิยมผูกขาดต้องการ
คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาหลายสถาบันจึงรวมตัวกันในนามกลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” โดยมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างความรู้และขับเคลื่อน “การปฏิรูปประเทศไทย : การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม” โดยคำนึงถึงการออกแบบโครงสร้างอำนาจหน้าที่ของสถาบันทางสังคมที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย เพื่อความเป็นธรรมแก่ประชาชน ชุมชน และสังคมโดยรวม
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ขอประกาศอุดมการณ์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการสู่สังคม โดยยึดมั่นการคุ้มครองปัจเจกบุคคลตามหลัก “นิติรัฐ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชน” ภายใต้ “หลักภราดรภาพและความมั่นคงของสังคม” รวมทั้งส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ไม่ “เปิดช่อง” ให้เกิดการ “ผูกขาดอำนาจในสังคมไทย”
เพื่อบรรลุความมุ่งหมายดังกล่าว กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ได้กำหนดจุดยืนต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้
1. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่าต่อสังคมและระบบการเมืองไทย
2. สนับสนุนการปฏิรูประบอบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย เพื่อขจัดอิทธิพลของเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
3. ขจัดวิกฤตเสรีภาพ ที่มีการใช้สิทธิและเสรีภาพเกินขอบเขตจนนำไปสู่สังคมแบบอนาธิปไตย
4. ขจัดวิกฤตความคิดและความเชื่อที่ว่าสูตรสำเร็จของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น
5. ขจัดวิกฤตในด้านศีลธรรมและจริยธรรม ที่ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจ และการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง
พวกเราในนามกลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงขอประกาศอุดมการณ์ต่อสังคม และพร้อมขับเคลื่อนเพื่อความถูกต้องและความเป็นธรรมในสังคม อันจะยังประโยชน์สุขที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนชาวสยามอย่างเสมอหน้าเท่าเทียมกัน
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์”
13 มกราคม 2555
“สังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการค้าเสรีถูกนำมาใช้ภายใต้ “ระบบอุปถัมภ์” จนก่อให้เกิด “ทุนนิยมผูกขาด” ที่เข้ามาครอบงำอำนาจทางการเมือง ผ่านการเลือกตั้งและการใช้นโยบายประชานิยม จนส่งผลให้เกิดการ “ผูกขาดอำนาจทางการเมือง” และนำไปสู่การ “ผูกขาดอำนาจในสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จ” จนเกิด “วิกฤตการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มีการชี้นำความคิดความเชื่อของประชาชนไปในทิศทางที่ทุนนิยมผูกขาดต้องการ”
ขึ้นต้น “คำประกาศอุดมการณ์” ของ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์”
13 มกราคม 2555
ผมยินดีที่ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” เปิดตัวอันประกอบด้วยแกนจากมหาวิทยาลัยและปัญญาชนอิสระ เป็นนักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ และนักพัฒนาสังคมจากนิด้า สุโขทัย รังสิต ธรรมศาสตร์ และจุฬาฯ เป็นต้น
ได้ยินว่า นอกจากงานหลักอันได้แก่การขับเคลื่อนประเทศให้ออกจากวิกฤตอันเกิดจาก “ผูกขาดอำนาจทางการเมือง” และ “ผูกขาดอำนาจในสังคมอย่างเบ็ดเสร็จ” โดยกลุ่ม “ทุนนิยมเผด็จการ” แล้ว กลุ่มยังจะติดตามตรวจสอบการทำงานของ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่บิดเบือนเผยแพร่วิชาการในนามแห่งเสรีภาพ แต่ซ่อนเร้นการสนับสนุนและแผนการกลับคืนสู่อำนาจของผู้นำเผด็จการทุนนิยมที่คดโกงบั่นทอนเสรีภาพ และทำลายสิทธิมนุษยชนของพี่น้องชาวไทยมาแล้วอย่างแสนสาหัส
ความจริง ผมส่งเสริมการใช้เสรีภาพของ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” และ “กลุ่มนิติราษฎร์” ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน ขอแต่อย่าให้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมีเบื้องหลังได้รับการสนับสนุนอุ้มชูจากเผด็จการและอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมและลำเอียง
การต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเป็นธรรมที่แท้จริงนั้นว้าเหว่ โดดเดี่ยว และเสี่ยงยิ่งนัก ไม่เหมือนกับการต่อสู้กำมะลอที่มีเงินและอำนาจคอยหนุนอยู่ข้างหลัง
อาจารย์ป๋วยเคยเขียนจดหมายจากเคมบริดจ์ถึงผมตอนที่ยังอยู่ปารีส เมื่อ 30 พ.ย. 2514 ตอนหนึ่งมีความว่า “เกี่ยวกับการ ‘ปฏิวัติ’ นั้น (คือการปฏิวัติของจอมพลถนอม-ผม) คำว่าปฏิวัติทั้งคราวก่อนและคราวนี้เป็นการหมิ่นประมาทพวก Revolutionaries จริงๆ ตั้งแต่ French Revolutions มาจนถึง Che Quevara เพราะเป็นเรื่องที่คนมีอำนาจแล้ว รวบอำนาจหมดเอาเอง ไม่เห็นต้องผจญภัยอะไรเลย มองอีกแง่หนึ่ง ก็มหาโจร บ่นโจรเล็กๆ น้อยๆ กวนใจ เลยทำเสียให้เข็ด”
“กลุ่มนิติราษฎร์” มีภาระจะต้องพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยว่าตนไม่ได้รับเงินจากมหาโจรหรือเครือข่าย และมิได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากรัฐบาลให้เผยแพร่การใช้เสรีภาพทางวิชาการแบบเอาเปรียบผู้อื่น รวมทั้งกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ที่เกิดใหม่ ทั้งๆ ที่การใช้เสรีภาพของกลุ่มนิติราษฎร์นั้น เป็นการกระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพของประมุขแห่งรัฐเสียด้วยซ้ำ
ทั้ง “กลุ่มนิติราษฎร์” และ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” ควรจะตรวจสอบตนเอง ตรวจสอบกันเอง และถูกตรวจสอบโดยบุคคลภายนอก แล้วเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริงให้แจ้งชัดต่อพี่น้องประชาชนว่ามีผู้ใดบ้างเป็นอุปถัมภก เป็นผู้นำ เป็นแกน และประวัติตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันของบุคคลเหล่านั้นว่ายุคใด สมัยที่บุคคลเหล่านั้นนอกจากจะหดหัวให้เผด็จการแล้ว ยังหากินด้วยอภิสิทธิ์อิทธิพลและความสงเคราะห์ของเผด็จการอีกด้วย
เรื่องเศร้าอีกอย่างหนึ่งของยุคนี้ ยิ่งกว่าพังเพยของจีนโบราณที่เงินใช้ผีโม่แป้งได้ นั่นก็คือการกลับตาลปัตรของเรื่องราวต่างๆ โดยสื่อและวงวิชาการทั่วโลก ที่หลงผิดว่าเผด็จการทุนนิยมอย่างไพร่พลบริวารของทักษิณกลายเป็นนักสู้ประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า ในขณะที่นักสู้ที่แท้จริงตั้งแต่กึ่งพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันถูกป้ายสีให้เป็นฟาสซิสต์อำนาจนิยมและคนหัวเก่าตกยุค คนพวกเราหลังที่ต่อสู้มายาวนาน เขารู้จักกำพืดของคนพวกแรกดี เขาจึงต้องยอมแบกน้ำหนักสู้ด้วยมือเปล่าและปากเปล่า ซ้ำยังถูกอำนาจรัฐอนุรักษนิยมที่ซูเอี๋ยกับพวกขายชาติกลั่นแกล้งเสียอีก
นี่น่าจะเป็นภารกิจอีกอย่างหนึ่งของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ที่จะต้องช่วยทุ่มเทแก้ไข หาไม่ตนเองจะพลอยติดร่างแหไปด้วย
ผมใคร่ขอแถมข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ว่า ในยุคที่ผมและเพื่อนพ้องต่อสู้กับเผด็จการคณะรัฐประหารพิบูล-สฤษดิ์-เผ่าระหว่างปี พ.ศ. 2496-2500 นั้น นิสิต นักศึกษาผู้บริสุทธิ์ใจ และไร้ผลประโยชน์ต่างหากที่ออกนำหน้า หาใช่บรรดาครูบาอาจารย์ไม่ แต่แน่นอนที่สุด ข้อมูลและปัญญาที่ทำให้เกิดความกล้าหาญนั้น ย่อมปฏิเสธมิได้ว่ามาจากการสั่งสอนและเรียนรู้จากครูบาอาจารย์
ผมอยากจะย้ำว่า หากบรรดาครูอาจารย์ในกลุ่มสยามภิวัฒน์ไม่มีปัญญาในการปลุกนิสิตนักศึกษาให้ตื่นขึ้นมาเข้าใจปัญญาและความจำเป็นที่จะต้องมีสยามาภิวัฒน์หรือการอภิวัฒน์ประเทศอย่างจริงจังแล้ว ก็ยากที่ภารกิจของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์จะสำเร็จได้
ผมขออวยพรและขอนำคำประกาศอุดมการณ์ทั้งหมดของกลุ่มมาให้นิสิตนักศึกษาและพี่น้องประชาชนพิจารณาว่าสมควรจะสนับสนุนหรือเข้าร่วมหรือไม่
หากมีเวลา ผมจะเชิญมาร์กซ์-เลนิน-และเหมา มาสอนแกนนำว่าจะต้องทำอะไรบ้างการอภิวัฒน์จึงจะสำเร็จ
ประกาศอุดมการณ์
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์”
สังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการค้าเสรีถูกนำมาใช้ภายใต้ “ระบบอุปถัมภ์” จนก่อให้เกิด “ทุนนิยมผูกขาด” ที่เข้ามาครอบงำอำนาจทางการเมือง ผ่านการเลือกตั้งและการใช้นโยบายประชานิยม จนส่งผลให้เกิดการ “ผูกขาดอำนาจทางการเมือง” และนำไปสู่การ “ผูกขาดอำนาจในสังคมได้อย่างเบ็ดเสร็จ” จนเกิด “วิกฤตการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มีการชี้นำความคิดความเชื่อของประชาชนไปในทิศทางที่ทุนนิยมผูกขาดต้องการ
คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาหลายสถาบันจึงรวมตัวกันในนามกลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” โดยมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างความรู้และขับเคลื่อน “การปฏิรูปประเทศไทย : การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม” โดยคำนึงถึงการออกแบบโครงสร้างอำนาจหน้าที่ของสถาบันทางสังคมที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพสังคมไทย เพื่อความเป็นธรรมแก่ประชาชน ชุมชน และสังคมโดยรวม
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ขอประกาศอุดมการณ์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการสู่สังคม โดยยึดมั่นการคุ้มครองปัจเจกบุคคลตามหลัก “นิติรัฐ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคเท่าเทียมกันของประชาชน” ภายใต้ “หลักภราดรภาพและความมั่นคงของสังคม” รวมทั้งส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ไม่ “เปิดช่อง” ให้เกิดการ “ผูกขาดอำนาจในสังคมไทย”
เพื่อบรรลุความมุ่งหมายดังกล่าว กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ได้กำหนดจุดยืนต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้
1. สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่าต่อสังคมและระบบการเมืองไทย
2. สนับสนุนการปฏิรูประบอบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย เพื่อขจัดอิทธิพลของเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
3. ขจัดวิกฤตเสรีภาพ ที่มีการใช้สิทธิและเสรีภาพเกินขอบเขตจนนำไปสู่สังคมแบบอนาธิปไตย
4. ขจัดวิกฤตความคิดและความเชื่อที่ว่าสูตรสำเร็จของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น
5. ขจัดวิกฤตในด้านศีลธรรมและจริยธรรม ที่ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจ และการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง
พวกเราในนามกลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงขอประกาศอุดมการณ์ต่อสังคม และพร้อมขับเคลื่อนเพื่อความถูกต้องและความเป็นธรรมในสังคม อันจะยังประโยชน์สุขที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนชาวสยามอย่างเสมอหน้าเท่าเทียมกัน
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์”
13 มกราคม 2555