ASTVผู้จัดการรายวัน - “ลลิล” ขยายธุรกิจสู่ตลาดคอนโดฯ ระบุกระจายความเสี่ยงแถมมาร์จินยังล่อใจสูงถึง 30-35% ตั้งเป้าใน 3 ปีรายได้จากคอนโดฯ 30% ของพอร์ต ปี 55 ตั้งเป้าเปิด 2-3 โครงการราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ประเดิมโครงการแรก “ลีโว (LEVO)” ลาดพร้าว มูลค่า 500 ล้านบาท
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล ผู้อำนวยการ SBU 2 บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายการลงทุนออกไปในกลุ่มคอนโดมิเนียม โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจคอนโดฯ 10% ในปี 2555 และเพิ่มเป็น 30% ภายใน 3 ปี ซึ่งในช่วงแรกจะพัฒนาปีละอย่างน้อย 2 โครงการ ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ลีโว (LEVO)” แนวคิด “Revolution Of Life” เน้นออกแบบอาคารด้วยสถาปัตยกรรมสมัยใหม่สไตล์ Modern Chic เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุตั้งแต่ 26-27 ปีขึ้นไปฐานเงินเดือน 30,000-40,000 บาทขึ้นไป และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัวอีกทั้งต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง
สำหรับโครงการ ลีโว (LEVO) โครงการแรก ตั้งอยู่บนถนนลาดพร้าว 18 บนที่ดินขนาด 0-3-46 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 129 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 27- 43 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.8 ล้านบาท เฉลี่ยตารางเมตรละ 67,000 บาท มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท พร้อมระบบสาธารณูปโภค อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย และพื้นที่สำหรับจอดรถ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี MRT ลาดพร้าว 350 เมตร
ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนจากอดีตที่บริษัทพัฒนาเฉพาะโครงการประเภทแนวราบ มาเพิ่มการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม ในครั้งนี้ ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนพัฒนาสินค้าเพียงประเภทเดียว นอจกากนี้ยังถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงประมาณ 30-35% เมื่อเทียบกับโครงการแนวราบที่มีผลตอบแทนถูกกว่า
"การที่เราหันมาจับตลาดคอนโดฯ เพราะเราเห็นดีมานด์ที่มีอยู่ค่อนข้างเยอะ รวมถึงผลกระทบน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกค้าหันมามองคอนโดฯและเลือกคอนโดฯ ซึ่งในส่วนคอนโด ลาดพร้าว 18% ก็มีลูกค้าที่ได้รับผลกระทบราว 10-20% เข้ามาซื้อด้วย" นายชูรัชฎ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เปิดพรีเซลล์แล้วตั้งแต่วันที่ 17-18 ธันวาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 40-50% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด แบ่งเป็นกลุ่มคนที่ซื้อเนื่องจากน้ำท่วมประมาณ 20-30% กลุ่มคนที่เคยเช่าอพาร์ตเมนต์ย่านลาดพร้าวประมาณ 30-40% และกลุ่มคนที่มีบ้านพักอาศัยเดิมอยู่แถวลาดพร้าวแต่ตั้งการแยกครอบครัวประมาณ 30-40% และจาการสำรวจตลาดในย่านเดียวกันพบว่า ซัพพลายในระดับราคา 1-2 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 100,000 บาท/ตร.ม. นั้นไม่มีเหลือยู่เลย ซึ่งโครงการ LEVO มีระดับราคาที่ถูกกว่าประมาณ 30% โดยมีราคาขายอยู่ที่ตารางเมตรละ 60,000-70,000 บาท ทั้งนี้ภายหลังช่วงพรีเซลล์บริษัทจะมีการปรับขึ้นราคาประมาณ 100,000 บาท เนื่องจากการปรับขึ้นของราคาต้นทุนการก่อสร้าง แต่ก็ยังถือว่าถูกกว่าคู่แข่งในย่านเดียวกัน
ส่วนงานด้านการก่อสร้างขณะนี้งานฐานรากแล้วเสร็จอยู่ระหว่างก่อสร้างในส่วนของห้องพักชั้น 1คาดใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี และจะแล้วเสร็จพร้อมโอนได้ในไตรมาส 4/55 ซึ่งล่าช้ากว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้ เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งภายหลังน้ำลดได้มีการเปลี่ยนแปลนของอาคารโดยนำงานระบบทั้งหมดย้ายขึ้นชั้น 2 เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
นายชูรัชฏ์ กล่าวว่า สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา โครงการของบริษัทได้รับผลกระทบรวม 10 โครงการ จากทั้งหมด 30 โครงการ เสียหายมากเพียง 2-3 โครงการเท่านั้น เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ จ. นนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักจากน้ำท่วม
ส่วนแผนการดำเนินการในปี 55 เตรียมเปิดตัวโครงการประเภทคอนโดอีกประมาณ 2-3 โครงการ ส่วนรูปแบบโครงการจะขึ้นอยู่กับทำเลและพื้นที่ที่ได้มา แต่จะพัฒนาเป็นคอนโดฯระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ LEVO หากระดับราคาเกินกว่านั้นจะมีการพิจารณาอีกครั้ง เน้นทำเลที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าหรือจุดขึ้นลงทางด่วนเป็นหลัก ส่วนการบริหารโครงการหลังปิดการขายแล้วทางบริษัทจะหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านบริหารเข้ามาดูแลงานนิติบุคลในทุกโครงการ
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 55 ขึ้นอยู่กับการบริหารและการจัดการของรัฐบาล หากสามารถแก้ไขและป้องกันปัญหาน้ำท่วมให้เป็นรูปธรรมได้จะช่วยคลายความวิตกกังวลของผู้ซื้อได้ระดับหนึ่ง และอีกปัจจัยสำคัญคือสภาพเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ฟื้นตัว เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากประเทศไทยยังต้องพึ่งการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศดังกล่าว คาดตลาดอสังหาฯจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงท้ายของไตรมาส 2/55
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล ผู้อำนวยการ SBU 2 บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายการลงทุนออกไปในกลุ่มคอนโดมิเนียม โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจคอนโดฯ 10% ในปี 2555 และเพิ่มเป็น 30% ภายใน 3 ปี ซึ่งในช่วงแรกจะพัฒนาปีละอย่างน้อย 2 โครงการ ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ลีโว (LEVO)” แนวคิด “Revolution Of Life” เน้นออกแบบอาคารด้วยสถาปัตยกรรมสมัยใหม่สไตล์ Modern Chic เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุตั้งแต่ 26-27 ปีขึ้นไปฐานเงินเดือน 30,000-40,000 บาทขึ้นไป และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัวอีกทั้งต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง
สำหรับโครงการ ลีโว (LEVO) โครงการแรก ตั้งอยู่บนถนนลาดพร้าว 18 บนที่ดินขนาด 0-3-46 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 129 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 27- 43 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.8 ล้านบาท เฉลี่ยตารางเมตรละ 67,000 บาท มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท พร้อมระบบสาธารณูปโภค อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย และพื้นที่สำหรับจอดรถ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย ห่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี MRT ลาดพร้าว 350 เมตร
ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนจากอดีตที่บริษัทพัฒนาเฉพาะโครงการประเภทแนวราบ มาเพิ่มการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม ในครั้งนี้ ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนพัฒนาสินค้าเพียงประเภทเดียว นอจกากนี้ยังถือเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงประมาณ 30-35% เมื่อเทียบกับโครงการแนวราบที่มีผลตอบแทนถูกกว่า
"การที่เราหันมาจับตลาดคอนโดฯ เพราะเราเห็นดีมานด์ที่มีอยู่ค่อนข้างเยอะ รวมถึงผลกระทบน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกค้าหันมามองคอนโดฯและเลือกคอนโดฯ ซึ่งในส่วนคอนโด ลาดพร้าว 18% ก็มีลูกค้าที่ได้รับผลกระทบราว 10-20% เข้ามาซื้อด้วย" นายชูรัชฎ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เปิดพรีเซลล์แล้วตั้งแต่วันที่ 17-18 ธันวาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 40-50% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด แบ่งเป็นกลุ่มคนที่ซื้อเนื่องจากน้ำท่วมประมาณ 20-30% กลุ่มคนที่เคยเช่าอพาร์ตเมนต์ย่านลาดพร้าวประมาณ 30-40% และกลุ่มคนที่มีบ้านพักอาศัยเดิมอยู่แถวลาดพร้าวแต่ตั้งการแยกครอบครัวประมาณ 30-40% และจาการสำรวจตลาดในย่านเดียวกันพบว่า ซัพพลายในระดับราคา 1-2 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 100,000 บาท/ตร.ม. นั้นไม่มีเหลือยู่เลย ซึ่งโครงการ LEVO มีระดับราคาที่ถูกกว่าประมาณ 30% โดยมีราคาขายอยู่ที่ตารางเมตรละ 60,000-70,000 บาท ทั้งนี้ภายหลังช่วงพรีเซลล์บริษัทจะมีการปรับขึ้นราคาประมาณ 100,000 บาท เนื่องจากการปรับขึ้นของราคาต้นทุนการก่อสร้าง แต่ก็ยังถือว่าถูกกว่าคู่แข่งในย่านเดียวกัน
ส่วนงานด้านการก่อสร้างขณะนี้งานฐานรากแล้วเสร็จอยู่ระหว่างก่อสร้างในส่วนของห้องพักชั้น 1คาดใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี และจะแล้วเสร็จพร้อมโอนได้ในไตรมาส 4/55 ซึ่งล่าช้ากว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้ เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งภายหลังน้ำลดได้มีการเปลี่ยนแปลนของอาคารโดยนำงานระบบทั้งหมดย้ายขึ้นชั้น 2 เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
นายชูรัชฏ์ กล่าวว่า สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา โครงการของบริษัทได้รับผลกระทบรวม 10 โครงการ จากทั้งหมด 30 โครงการ เสียหายมากเพียง 2-3 โครงการเท่านั้น เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ จ. นนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักจากน้ำท่วม
ส่วนแผนการดำเนินการในปี 55 เตรียมเปิดตัวโครงการประเภทคอนโดอีกประมาณ 2-3 โครงการ ส่วนรูปแบบโครงการจะขึ้นอยู่กับทำเลและพื้นที่ที่ได้มา แต่จะพัฒนาเป็นคอนโดฯระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ LEVO หากระดับราคาเกินกว่านั้นจะมีการพิจารณาอีกครั้ง เน้นทำเลที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าหรือจุดขึ้นลงทางด่วนเป็นหลัก ส่วนการบริหารโครงการหลังปิดการขายแล้วทางบริษัทจะหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านบริหารเข้ามาดูแลงานนิติบุคลในทุกโครงการ
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 55 ขึ้นอยู่กับการบริหารและการจัดการของรัฐบาล หากสามารถแก้ไขและป้องกันปัญหาน้ำท่วมให้เป็นรูปธรรมได้จะช่วยคลายความวิตกกังวลของผู้ซื้อได้ระดับหนึ่ง และอีกปัจจัยสำคัญคือสภาพเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ฟื้นตัว เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากประเทศไทยยังต้องพึ่งการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศดังกล่าว คาดตลาดอสังหาฯจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงท้ายของไตรมาส 2/55