ในการการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 เมื่อวานนี้ (6 ม.ค.) ในช่วงที่มีการอภิปราย มาตรา 8 งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตั้งไว้ 7,579,811,600 บาท โดย กมธ.วิสามัญฯ ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ต่างอภิปรายขอตัดลดงบ ของกระทรวงการต่างประเทศ โดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ต่างอภิปรายติติงการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ในช่วงหลัง กระทรวงการต่างประเทศเปลี่ยนแปลงไป มีข้าราชการพร้อมรับใช้ฝ่ายการเมือง ทำงานเพื่อประโยชน์คนๆ เดียว ผลักดันออกวีซ่า ให้กับอดีตนายกฯที่หนีคดี ให้เข้าประเทศสหรัฐฯ และอังกฤษ รวมถึงการออกพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อน เกิดปัญหาการปกป้องรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนไทย การไม่ประท้วงกรณีกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือไทย ในทันที กรณีนักโทษชาย ประกาศว่า ผลงานที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปเจรจากับพม่า เป็นผลงานของนักโทษชาย ซึ่งปรากฏว่าได้มีส.ส.พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง ลุกขึ้นประท้วง เป็นระยะๆ ว่าเป็นการอภิปรายพาดพิงบุคคลภายนอก
ขณะที่ นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรมว.ต่างประเทศ อภิปรายว่า บทบาทภาระของกระทรวงการต่างประเทศ คือการสะท้อนความรู้สึกของต่างประเทศต่อประเทศไทย และแง่กลับ สะท้อนความเป็นไปในประเทศไทย ให้ชาวโลกได้รับทราบ
ขณะนี้คณะทูต และวงการธุรกิจต่างประเทศอึดอัดใจต่อการดำเนินการนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น ต้องใช้งบประมาณในองค์รวมอย่างเต็มที่ เพื่อสะท้อนความจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในไทย ที่ต่างชาติกังวลทั้งเรื่องการทุจริต กฎหมายหมิ่นฯ บทบาทของอดีตนายกฯ มีความสับสนว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไร เพราะไม่มีความชัดเจน โปร่งใส ดังนั้น อยากให้เน้นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ ในการเป็นกระจกสะท้อนความเป็นไปของประเทศสู่โลก
**"ปึ้ง"คุยสัมพันธ์เพื่อนบ้านดีกว่ามาร์ค
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า ที่บอกกระทรวงการต่างประเทศ ทำเพื่อคนๆ เดียวอย่างน้อยก็ทำดีกว่ารัฐบาลที่แล้ว ที่ตามล่าคนๆ เดียว จนเกิดความขัดแย้งไปทั่วโลก ที่บอกว่ารัฐบาลเดินทางไปประเทศต่างๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะเดินทางไปก่อนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไปทุกประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านเรา เพราะท่านมีเพื่อน ท่านไม่ใช่คนไร้เพื่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านของรัฐบาลชุดนี้ ดีกว่าชุดที่แล้ว เพราะรัฐบาลที่แล้ว เวลาไปไหนผู้นำประเทศมักไปชวนเขาทะเลาะ ตนในฐานะรมว.ต่างประเทศ ก็ต้องไปทำหน้าที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดี วันนี้ความสัมพันธ์ไทย-ลาว-พม่า-กัมพูชา ดีขึ้นกว่าช่วงรัฐบาลที่แล้ว
ส่วนกรณียิงเฮลิคอปเตอร์ ที่บอกตนไม่ได้ทำอะไรนั้น เป็นการเข้าใจผิด เพราะทุกอย่างได้ดำเนินการตามขั้นตอน หลังจากเขมรยิงเฮลิคอปเตอร์ ทางทหารไทยได้มีหนังสือถึงทหารกัมพูชา ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ไปเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 54 ส่วนกระทรวงต่างประเทศ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพียงแต่ไม่ได้พูดให้เป็นข่าว โดย เราได้มีหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 54 ถึงสำนักงานเอกอัครราชทูต (สอท.) กัมพูชา ประจำประเทศไทย เพื่อประท้วงทหารกัมพูชา ยิงเฮลิคอปเตอร์ไทย ในระดับรัฐบาล รวมถึงเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวและแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบ โดยสั่งการให้ สอท. ณ กรุงพนมเปญ จัดส่งสำเนาดังกล่าวให้กัมพูชา ซึ่ง สอท.ได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
" ที่กล่าวหาว่า กระทรวงการต่างประเทศ โกหกประชาชน เรื่องพาสปอร์ต สมัยมาร์ค บอกพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในบัญชีแดงของตำรวจสากล พอผมมาดู ก็ไม่มี ท่านโกหกหรือไม่ ระวังกรรมจะตามทัน ผมยอมรับว่าฝ่ายค้านพูดเก่ง เป็นการดึงศึกเข้าบ้าน ทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้าน ไม่มีมิตรกับใคร ไปไหนก็มีแต่คนตำหนิรัฐบาลที่แล้ว เรื่องการขอพาสปอร์ตนั้น ยืนยันว่าผมได้ยกเลิกคำสั่งของอดีต รมว.ต่างประเทศ ตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศข้อ 23 (7) ที่รัฐบาลเห็นว่าการเดินทางไปไหนมาไหนของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำความเสียหายแก่ประเทศไทย สำหรับขั้นตอนการออกหนังสือเดินทางชนิดธรรมดา เป็นเรื่องของกรมการกงศุล ที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน" นายสุรพงษ์ กล่าว
** "ตู่"โยนเรื่องเสียดินแดนให้"มาร์ค"
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า นายสุรพงษ์เป็นคนโชคดี แค่บริหารงานก็ประสบความสำเร็จ ตรงข้ามกับ รมว.ต่างประเทศคนที่แล้ว แต่สิ่งที่ตนมีความวิตก และอยากฝากไปถึงรมว.ต่างประเทศ คือ การที่ศาลโลกจะวินิจฉัยเรื่องปราสาทพระวิหาร จึงอยากให้กระทรวงต่างประเทศ บอกความจริงกับประชาชน ตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการพูดความจริงให้ประชาชนซึมซับว่า รัฐบาลที่แล้วไปก่อเหตุอะไร จนไปเข้าทางกัมพูชา นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศ ยุคนี้ต้องไม่ให้เกิดซ้ำรอย กรณีเครื่องบินพระที่นั่ง ที่เยอรมนี ซึ่งความจริงต้องจับ รมว.ต่างประเทศ ประหารชีวิตด้วยซ้ำ
นายจตุพร กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะจัดการคนสองสัญชาติได้อย่างไร ให้เป็นนายกฯ และ เป็นส.ส.ได้หรือไม่ หรือคนไทยต้องเลือกสัญชาติเดียว หรือไม่ ทั้หมดเพื่อต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อม วันนี้ประเทศไทยจะได้ประโยชน์กับประเทศเพื่อนบ้านมากมาย ประเทศสิงคโปร์ ไปทำธุรกิจในกัมพูชา แต่ไทยไปทะเลาะกับเขา กระทรวงการต่าประเทศต้องรีบทำความจริงกับประชาชน คือสิ่งที่เป็นคำพิพากษาของศาลโลก เพื่อไม่ให้คนไทยช็อก ใครที่ทำประเทศเสียดินแดน ต้องรับผิดชอบ เพราะนี่จะเป็นการเสียดินแดน ชนิดที่เราไม่เคยเสียเลย และท้ายที่สุดผลร้ายจะเกิดกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ต้องมารับเคราะห์เหมือนกับที่เคยรับน้ำ เคยรับหนี้มา
**จวกปล่อยต่างชาติจุ้น ม.112
ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตนขอตัดลดงบของ กระทรวงการต่างประเทศลง 15 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ได้ทำตามพันธกิจที่เคยประกาศไว้ว่า จะรักษาศักดิ์ศรีของคนไทย โดยเฉพาะกรณีที่ต่างชาติออกระบุว่า มาตรา 112 เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กระทรวงการต่างประเทศหายหัวไปไหน ไม่เคยออกมาตอบโต้เพื่อคนไทยว่า หมวดพระมหากษัตริย์ อยู่ในหมวดของความมั่นคงของรัฐ ไม่ใช่เรื่องการหมิ่นประมาท กระทรวงการต่างประเทศกำลังสูญเสียจิตสำนึก ลืมกำพืดหมดแล้ว ภาษีประชาชน ภาระกิจที่ประกาศไว้ต้องไปทำความเข้าใจ ที่เขาออกมาพูดอย่างนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีการแก้ตัวเลย หมายความว่า ยอมรับหรือสอดรับเพื่อมากดดัน ให้มาแก้ไข มาตรา 112 หรือไม่
" วันนี้ไม่ได้รักษาศักดิ์ศรีของคนไทย ให้คนมาหลบหลู่บิดาของคนไทย วิสัยทัศน์ที่บอกจะดำเนินการเวทีต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ วันนี้ต้องแยกแยะ อย่าสำลักเรื่องธุรกิจกับอธิปไตยของประเทศ มันเป็นคนละเรื่องกัน เป็นเพื่อนกัน แบ่งประโยชน์ แบ่งธุรกิจกัน แล้วอยู่ๆ เพื่อนจะมาเอาตีนลูบหน้า มันไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องขอตัดงบประมาณ เพราะต้องการเตือนสติ ไปกินเงินเดือนทำอะไรปกป้องประเทศไทยบ้าง ไม่ใช่กินบนเรือน ขี้บนหลังคา ให้ต่างประเทศก้าวก่ายการออกกฎหมายของไทย และกิจการภายใน ทุกชาติมีวัฒนธรรม คนที่ต้องขอบคุณ คือคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ มีคนๆ เดียว ที่ออกมาปกป้อง นายกฯ รองนายกฯ บอกไม่แก้ แต่กระทรวงการต่างประเทศ อมอะไรไว้ ถึงพูดไม่ได้ นโยบายรัฐบาลก็ชัดเจน" นายจุติ กล่าว
นายจุติ กล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ทางธุรกิจมีได้ หายได้ แต่อธิปไตยประเทศต้องรักษาอยู่ เรื่องยิงเฮลิคอปเตอร์ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ประเทศไทยไม่ใช่ขี้ข้าใคร จะยอมเพื่อธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ต่างหาก ที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน ประเทศไทยแบ่งขายไม่ได้ ไม่ใช่จะเอาไปแลกกับการทำธุรกิจ ทั้งปลัดกระทรวง ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ หายหัวหมดเลย คนกินเงินเดือนหลวงทำงานไม่คุ้มค่า ทำไม่ได้ตามพันธกิจที่ประกาศ แล้วจะเอาเงินไปทำไม กระทรวงการต่างประเทศ ให้ไปทำการตลาด ไม่ใช่ให้ไปขายดินแดน
ขณะที่ นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรมว.ต่างประเทศ อภิปรายว่า บทบาทภาระของกระทรวงการต่างประเทศ คือการสะท้อนความรู้สึกของต่างประเทศต่อประเทศไทย และแง่กลับ สะท้อนความเป็นไปในประเทศไทย ให้ชาวโลกได้รับทราบ
ขณะนี้คณะทูต และวงการธุรกิจต่างประเทศอึดอัดใจต่อการดำเนินการนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น ต้องใช้งบประมาณในองค์รวมอย่างเต็มที่ เพื่อสะท้อนความจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในไทย ที่ต่างชาติกังวลทั้งเรื่องการทุจริต กฎหมายหมิ่นฯ บทบาทของอดีตนายกฯ มีความสับสนว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไร เพราะไม่มีความชัดเจน โปร่งใส ดังนั้น อยากให้เน้นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ ในการเป็นกระจกสะท้อนความเป็นไปของประเทศสู่โลก
**"ปึ้ง"คุยสัมพันธ์เพื่อนบ้านดีกว่ามาร์ค
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า ที่บอกกระทรวงการต่างประเทศ ทำเพื่อคนๆ เดียวอย่างน้อยก็ทำดีกว่ารัฐบาลที่แล้ว ที่ตามล่าคนๆ เดียว จนเกิดความขัดแย้งไปทั่วโลก ที่บอกว่ารัฐบาลเดินทางไปประเทศต่างๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะเดินทางไปก่อนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไปทุกประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านเรา เพราะท่านมีเพื่อน ท่านไม่ใช่คนไร้เพื่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านของรัฐบาลชุดนี้ ดีกว่าชุดที่แล้ว เพราะรัฐบาลที่แล้ว เวลาไปไหนผู้นำประเทศมักไปชวนเขาทะเลาะ ตนในฐานะรมว.ต่างประเทศ ก็ต้องไปทำหน้าที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดี วันนี้ความสัมพันธ์ไทย-ลาว-พม่า-กัมพูชา ดีขึ้นกว่าช่วงรัฐบาลที่แล้ว
ส่วนกรณียิงเฮลิคอปเตอร์ ที่บอกตนไม่ได้ทำอะไรนั้น เป็นการเข้าใจผิด เพราะทุกอย่างได้ดำเนินการตามขั้นตอน หลังจากเขมรยิงเฮลิคอปเตอร์ ทางทหารไทยได้มีหนังสือถึงทหารกัมพูชา ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ไปเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 54 ส่วนกระทรวงต่างประเทศ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพียงแต่ไม่ได้พูดให้เป็นข่าว โดย เราได้มีหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 54 ถึงสำนักงานเอกอัครราชทูต (สอท.) กัมพูชา ประจำประเทศไทย เพื่อประท้วงทหารกัมพูชา ยิงเฮลิคอปเตอร์ไทย ในระดับรัฐบาล รวมถึงเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวและแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบ โดยสั่งการให้ สอท. ณ กรุงพนมเปญ จัดส่งสำเนาดังกล่าวให้กัมพูชา ซึ่ง สอท.ได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
" ที่กล่าวหาว่า กระทรวงการต่างประเทศ โกหกประชาชน เรื่องพาสปอร์ต สมัยมาร์ค บอกพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในบัญชีแดงของตำรวจสากล พอผมมาดู ก็ไม่มี ท่านโกหกหรือไม่ ระวังกรรมจะตามทัน ผมยอมรับว่าฝ่ายค้านพูดเก่ง เป็นการดึงศึกเข้าบ้าน ทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้าน ไม่มีมิตรกับใคร ไปไหนก็มีแต่คนตำหนิรัฐบาลที่แล้ว เรื่องการขอพาสปอร์ตนั้น ยืนยันว่าผมได้ยกเลิกคำสั่งของอดีต รมว.ต่างประเทศ ตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศข้อ 23 (7) ที่รัฐบาลเห็นว่าการเดินทางไปไหนมาไหนของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำความเสียหายแก่ประเทศไทย สำหรับขั้นตอนการออกหนังสือเดินทางชนิดธรรมดา เป็นเรื่องของกรมการกงศุล ที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน" นายสุรพงษ์ กล่าว
** "ตู่"โยนเรื่องเสียดินแดนให้"มาร์ค"
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า นายสุรพงษ์เป็นคนโชคดี แค่บริหารงานก็ประสบความสำเร็จ ตรงข้ามกับ รมว.ต่างประเทศคนที่แล้ว แต่สิ่งที่ตนมีความวิตก และอยากฝากไปถึงรมว.ต่างประเทศ คือ การที่ศาลโลกจะวินิจฉัยเรื่องปราสาทพระวิหาร จึงอยากให้กระทรวงต่างประเทศ บอกความจริงกับประชาชน ตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการพูดความจริงให้ประชาชนซึมซับว่า รัฐบาลที่แล้วไปก่อเหตุอะไร จนไปเข้าทางกัมพูชา นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศ ยุคนี้ต้องไม่ให้เกิดซ้ำรอย กรณีเครื่องบินพระที่นั่ง ที่เยอรมนี ซึ่งความจริงต้องจับ รมว.ต่างประเทศ ประหารชีวิตด้วยซ้ำ
นายจตุพร กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะจัดการคนสองสัญชาติได้อย่างไร ให้เป็นนายกฯ และ เป็นส.ส.ได้หรือไม่ หรือคนไทยต้องเลือกสัญชาติเดียว หรือไม่ ทั้หมดเพื่อต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อม วันนี้ประเทศไทยจะได้ประโยชน์กับประเทศเพื่อนบ้านมากมาย ประเทศสิงคโปร์ ไปทำธุรกิจในกัมพูชา แต่ไทยไปทะเลาะกับเขา กระทรวงการต่าประเทศต้องรีบทำความจริงกับประชาชน คือสิ่งที่เป็นคำพิพากษาของศาลโลก เพื่อไม่ให้คนไทยช็อก ใครที่ทำประเทศเสียดินแดน ต้องรับผิดชอบ เพราะนี่จะเป็นการเสียดินแดน ชนิดที่เราไม่เคยเสียเลย และท้ายที่สุดผลร้ายจะเกิดกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ต้องมารับเคราะห์เหมือนกับที่เคยรับน้ำ เคยรับหนี้มา
**จวกปล่อยต่างชาติจุ้น ม.112
ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตนขอตัดลดงบของ กระทรวงการต่างประเทศลง 15 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ได้ทำตามพันธกิจที่เคยประกาศไว้ว่า จะรักษาศักดิ์ศรีของคนไทย โดยเฉพาะกรณีที่ต่างชาติออกระบุว่า มาตรา 112 เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กระทรวงการต่างประเทศหายหัวไปไหน ไม่เคยออกมาตอบโต้เพื่อคนไทยว่า หมวดพระมหากษัตริย์ อยู่ในหมวดของความมั่นคงของรัฐ ไม่ใช่เรื่องการหมิ่นประมาท กระทรวงการต่างประเทศกำลังสูญเสียจิตสำนึก ลืมกำพืดหมดแล้ว ภาษีประชาชน ภาระกิจที่ประกาศไว้ต้องไปทำความเข้าใจ ที่เขาออกมาพูดอย่างนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ไม่มีการแก้ตัวเลย หมายความว่า ยอมรับหรือสอดรับเพื่อมากดดัน ให้มาแก้ไข มาตรา 112 หรือไม่
" วันนี้ไม่ได้รักษาศักดิ์ศรีของคนไทย ให้คนมาหลบหลู่บิดาของคนไทย วิสัยทัศน์ที่บอกจะดำเนินการเวทีต่างประเทศ อย่างมีเกียรติ วันนี้ต้องแยกแยะ อย่าสำลักเรื่องธุรกิจกับอธิปไตยของประเทศ มันเป็นคนละเรื่องกัน เป็นเพื่อนกัน แบ่งประโยชน์ แบ่งธุรกิจกัน แล้วอยู่ๆ เพื่อนจะมาเอาตีนลูบหน้า มันไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องขอตัดงบประมาณ เพราะต้องการเตือนสติ ไปกินเงินเดือนทำอะไรปกป้องประเทศไทยบ้าง ไม่ใช่กินบนเรือน ขี้บนหลังคา ให้ต่างประเทศก้าวก่ายการออกกฎหมายของไทย และกิจการภายใน ทุกชาติมีวัฒนธรรม คนที่ต้องขอบคุณ คือคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ มีคนๆ เดียว ที่ออกมาปกป้อง นายกฯ รองนายกฯ บอกไม่แก้ แต่กระทรวงการต่างประเทศ อมอะไรไว้ ถึงพูดไม่ได้ นโยบายรัฐบาลก็ชัดเจน" นายจุติ กล่าว
นายจุติ กล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ทางธุรกิจมีได้ หายได้ แต่อธิปไตยประเทศต้องรักษาอยู่ เรื่องยิงเฮลิคอปเตอร์ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ประเทศไทยไม่ใช่ขี้ข้าใคร จะยอมเพื่อธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ต่างหาก ที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน ประเทศไทยแบ่งขายไม่ได้ ไม่ใช่จะเอาไปแลกกับการทำธุรกิจ ทั้งปลัดกระทรวง ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ หายหัวหมดเลย คนกินเงินเดือนหลวงทำงานไม่คุ้มค่า ทำไม่ได้ตามพันธกิจที่ประกาศ แล้วจะเอาเงินไปทำไม กระทรวงการต่างประเทศ ให้ไปทำการตลาด ไม่ใช่ให้ไปขายดินแดน