“สภาฯ ตลาด” เปลี่ยนจากถกงบฯ ปี 55 เป็นซักฟอกการทำงานกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายค้านรุมจวก “ปึ้ง” ทำเพื่อ “แม้ว” เอาดินแดนไปแลกกับธุรกิจ “จุติ” สับเละบัวแก้วลืมกำพืดตัวเอง ไม่ยอมรักษาศักดิ์ศรี ให้ต่างชาติวิจารณ์ ม.112 ลบหลู่บิดาของคนไทย แขวะอมอะไรอยู่ ปล่อยเพื่อนบ้านเอาตีนลูบหน้าคนไทย ด้าน “รมว.บัวแก้ว” โวทำความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านดีกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว อ้างทำหนังสือถึง สอท.ทักท้วงระดับ รบ.กรณีเขมรยิง ฮ.ไทยแล้ว
ที่รัฐสภา วันนี้ (6 ม.ค.) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งเป็นการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 55 ในมาตรา 8 งบประมาณรายจ่ายของกระทรวงการต่างประเทศ ให้ตั้งเป็นจำนวน 7,579,811,600 บาท โดย กมธ.วิสามัญฯ ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ต่างอภิปรายขอตัดลดงบของกระทรวงการต่างประเทศ
โดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ต่างรุมอภิปรายติติงการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงไป มีข้าราชการพร้อมรับใช้ฝ่ายการเมืองทำงานเพื่อประโยชน์คนคนเดียว ผลักดันออกวีซ่าให้กับอดีตนายกฯ ให้เข้าประเทศสหรัฐฯ และประเทศอังกฤษ รวมถึงการออกพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีผลประโยชน์ทับซ้อน เกิดปัญหาการปกป้องรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนไทย การไม่ประท้วงกรณีที่กัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือในทันที กรณีที่นักโทษชายประกาศว่าผลงานที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ไปเจรจากับพม่า เป็นผลงานของนักโทษชาย
ซึ่งปรากฏว่าได้มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง ลุกขึ้นประท้วงการอภิปรายพาดพิงบุคคลภายนอก เป็นระยะ ๆ โดยประท้วงไม่ให้พาดพิงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ นายก่อแก้ว พิกุลทอง และพล.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ โดยกล่าวว่า รมว.ต่างประเทศในรัฐบาลชุดก่อนเป็นผู้สร้างปัญหา
ด้าน นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า การที่จะวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลในอดีตมีปัญหาก็ดูจะไม่เป็นความจริง แต่เป็นเรื่องของความต่อเนื่องในการบริหารที่สำคัญ เราทำทั้งเรื่องทวิภาคี พหุภาคีในกรอบของสหประชาชาติ ทั้งนี้ บทบาทภาระของกระทรวงการต่างประเทศ คือการสะท้อนความรู้สึกของต่างประเทศต่อประเทศไทย และแง่กลับสะท้อนความเป็นไปในประเทศไทยให้ชาวโลกได้รับทราบ ขณะนี้คณะทูตและวงการธุรกิจต่างประเทศอึดอัดใจต่อการดำเนินการนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น ต้องใช้งบประมาณในองค์รวมอย่างเต็มที่เพื่อสะท้อนความจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในไทยที่ต่างชาติกังวลทั้งเรื่องการทุจริต กฎหมายหมิ่น บทบาทของอดีตนายกฯ มีความสับสนว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไร เพราะไม่มีความชัดเจนโปร่งใส ดังนั้น อยากให้เน้นกับกระทรวงการต่างประเทศให้ปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นกระจกสะท้อนความเป็นไปของประเทศสู่โลก
ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ชี้แจงว่า ที่บอกกระทรวงการต่างประเทศทำเพื่อคนๆ เดียวอย่างน้อยก็ทำดีกว่ารัฐบาลที่แล้วที่ตามล่าคนคนเดียวจนเกิดความขัดแย้งไปทั่วโลก ที่บอกรัฐบาลเดินทางไปประเทศต่างๆ พ.ต.ท.ทักษิณก็จะเดินทางไปก่อนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไปทุกประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านเรา เพราะท่านมีเพื่อน ท่านไม่ใช่คนไร้เพื่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความสัมพันธ์ของรัฐบาลชุดนี้ดีกว่าชุดที่แล้ว เพราะรัฐบาลที่แล้วเวลาไปไหนผู้นำประเทศมักบอกความสัมพันธ์เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ไปชวนเขาทะเลาะ ตนในฐานะรมว.ต่างประเทศก็ไปทำหน้าที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่พูดเอาเรื่องกับเขาจนเป็นปากเสียง บางเรื่องอดทนได้เพื่อประเทศชาติ วันนี้ความสัมพันธ์ไทย-ลาว-พม่า-กัมพูชา ดีขึ้นกว่ารัฐบาลที่แล้ว
รมว.การต่างประเทศกล่าวว่า กรณียิงเฮลิคอปเตอร์ที่บอกตนไม่ได้ทำอะไรนั้น เป็นการเข้าใจผิด เพราะทุกอย่างได้ดำเนินการตามขั้นตอน หลังจากยิงเฮลิคอปเตอร์ทางทหารได้พูดคุยกัน โดยทหารไทยได้มีหนังสือถึงทหารกัมพูชาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงไปเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.54 สำหรับกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจเพียงแต่ไม่ได้พูดให้เป็นข่าว แต่พวกท่านพยายามพูดให้เกิดความแตกแยกให้ไทยและกัมพูชาต้องรบกันเหมือนสมัยท่าน เราได้มีหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.54 ได้มีหนังสือถึงสำนักงานเอกอัครราชทูต (สอท.) กัมพูชาประจำประเทศไทยเพื่อประท้วงทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์ไทยในระดับรัฐบาล รวมถึงเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวและแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบ โดยสั่งการให้ สอท. ณ กรุงพนมเปญ จัดส่งสำเนาดังกล่าวให้กัมพูชา ซึ่ง สอท.ได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น อยากขอร้องว่าเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องอ่อนไหว ปากมีไว้พูดแต่สิ่งดี ไม่ใช่พูดแต่ความแตกแยก
ส่วนที่กล่าวหาว่ากระทรวงการต่างประเทศโกหกประชาชนเรื่องพาสปอร์ต สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี บอกอยู่ในบัญชีแดงของตำรวจสากล พอตนมาดูก็ไม่มี ท่านโกหกหรือไม่ ระวังกรรมจะตามทันท่าน ตนยอมรับว่าฝ่ายค้านพูดเก่ง เป็นการดึงศึกเข้าบ้าน ทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้าน ไม่มีมิตรกับใคร ไปไหนก็มีแต่คนตำหนิรัฐบาลที่แล้ว เรื่องการขอพาสปอร์ต ตนยืนยันว่า ตนได้ยกเลิกคำสั่งของอดีต รมว.การต่างประเทศตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ ข้อ 23 (7) ที่รัฐบาลเห็นว่าการเดินทางไปไหนมาไหนของพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ทำความเสียหายแก่ประเทศไทย สำหรับขั้นตอนการออกหนังสือเดินทางชนิดธรรมดาเป็นเรื่องของกรมการกงศุลที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง อภิปรายว่า นายสุรพงษ์เป็นคนโชคดีแค่บริหารงานก็ประสบความสำเร็จ ตรงข้ามกับ รมว.ต่างประเทศคนที่แล้ว แต่สิ่งที่มีความวิตกและอยากฝากไปถึง รมว.ต่างประเทศ คือ การที่ศาลโลกจะวินิจฉัยเรื่องปราสาทพระวิหาร จึงอยากให้กระทรวงต่างประเทศบอกความจริงกับประชาชนตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการพูดความจริงให้ประชาชนซึมซับว่า รัฐบาลที่แล้วไปก่อเหตุอะไรจนไปเข้าทางกัมพูชา นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศยุคนี้ต้องไม่ให้เกิดซ้ำรอยกรณีเครื่องบินพระที่นั่งที่เยอรมัน ซึ่งความจริงต้องจับ รมว.ต่างประเทศประหารชีวิตด้วยซ้ำ
นายจตุพรกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะจัดการคนสองสัญชาติได้อย่างไร ให้เป็นนายกฯ และเป็น ส.ส.ได้หรือไม่ หรือคนไทยต้องเลือกสัญชาติเดียวหรือไม่ ทั้หมดเพื่อต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อม วันนี้ประเทศไทยจะได้ประโยชน์กับประเทศเพื่อนบ้านมากมาย ประเทศสิงคโปร์ไปทำธุรกิจในกัมพูชา แต่ไทยไปทะเลาะกับเขา กระทรวงการต่าประเทศต้องรีบทำความจริงกับประชาชน คือสิ่งที่เป็นคำพิพากษาของศาลโลกเพื่อไม่ให้คนไทยช็อก ใครที่ทำประเทศเสียดินแดนต้องรับผิดชอบ เพราะนี่จะเป็นการเสียดินแดนชนิดที่เราไม่เคยเสียเลย และท้ายที่สุดผลร้ายจะเกิดกับรัฐบาลชุดนี้ที่ต้องมารับเคราะห์เหมือนกับที่เคยรับน้ำ เคยรับหนี้มา
ด้าน นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตนขอตัดลดงบของกระทรวงการต่างประเทศ ลง 15 เปอร์เซ็นต์ เพราะกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ทำตามพันธกิจที่เคยประกาศไว้ว่าจะรักษาศักดิ์ศรีของคนไทย โดยเฉพาะกรณีที่ต่างชาติออกระบุว่า มาตรา 112 เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กระทรวงการต่างประเทศหายหัวไปไหนไม่เคยออกมาตอบโต้เพื่อคนไทยว่าหมวดพระมหากษัตริย์อยู่ในหมวดของความมั่นคงของรัฐไม่ใช่เรื่องการหมิ่นประมาท กระทรวงการต่างประเทศกำลังสูญเสียจิตสำนึก ลืมกำพืดหมดแล้ว ภาษีประชาชน ภาระกิจที่ประกาศไว้ต้องไปทำความเข้าใจ ที่เขาออกมาพูดอย่างนี้กระทรวงการต่างประเทศไม่มีการแก้ตัวเลย หมายความว่ายอมรับหรือสอดรับเพื่อมากดดันให้มาแก้ไขมาตรา 112 หรือไม่
“วันนี้ไม่ได้รักษาศักดิ์ศรีของคนไทย ให้คนมาหลบหลู่บิดาของคนไทย วิสัยทัศน์ที่บอกจะดำเนินการเวทีต่างประเทศอย่างมีเกียรติ วันนี้ต้องแยกแยะอย่าสำลักเรื่องธุรกิจกับอธิปไตยของประเทศมันเป็นคนละเรื่องกัน เป็นเพื่อนกัน แบ่งประโยชน์ แบ่งธุรกิจกัน แล้วจู่ๆ เพื่อนจะมาเอาตีนลูบหน้า มันไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องขอตัดงบประมาณ เพราะต้องการเตือนสติ ไปกินเงินเดือนทำอะไรปกป้องประเทศไทยบ้าง ไม่ใช่กินบนเรือนขี้บนหลังคา ให้ต่างประเทศก้าวก่ายการออกกฎหมายของไทย และกิจการภายใน ทุกชาติมีวัฒนธรรม คนที่ต้องขอบคุณมีชัย ฤชุพันธ์ มีคนๆ เดียวที่ออกมาปกป้อง นายกฯ รองนายกฯ บอกไม่แก้ แต่กระทรวงการต่างประเทศอมอะไรไว้ ถึงพูดไม่ได้ นโยบายรัฐบาลก็ชัดเจน” นายจุติกล่าว
นายจุติกล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ทางธุรกิจมีได้ หายได้ แต่อธิปไตยประเทศต้องรักษาอยู่ เรื่องยิงเฮลิคอปเตอร์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ประเทศไทยไม่ใช่ขี้ข้าใคร จะยอมเพื่อธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ต่างหากที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน ประเทศไทยแบ่งขายไม่ได้ ไม่ใช่จะเอาไปแลกกับการทำธุรกิจ ทั้งปลัดกระทรวง ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศหายหัวหมดเลย คนกินเงินเดือนหลวงทำงานไม่คุ้มค่า ทำไม่ได้ตามพันธกิจที่ประกาศแล้วจะเอาเงินไปทำไม กระทรวงการต่างประเทศให้ไปทำการตลาดไม่ใช่ให้ไปขายดินแดน