เหตุการณ์บ้านเมืองไทยในวันนี้ ถ้าถามว่าปกติสุขดีไหม คงไม่มีใครบอกว่าปกติดี หลายคนบอกว่าต้องก้าวข้ามทักษิณแล้วจะสงบ แต่คงลืมถามตัวเองว่า ทักษิณยอมให้ก้าวข้ามไหม ทุกวันนี้ที่ต้องนั่งวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ใช่เพราะต้องมานั่งสู้กับตัวแทนทักษิณอยู่หรือ
การต่อสู้ การเปลี่ยนแปลงในแต่ละประเทศ คงไม่มีใครกำหนดเหตุการณ์ได้ทุกเหตุการณ์ บางครั้งมีสถานการณ์สอดแทรกที่ไม่สามารถมากำหนดได้ อย่างการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยของกองกำลังกลุ่มอาเจะห์ในอินโดนีเซีย ต้องยุติลงเมื่อโดนคลื่นสึนามิ ในปี พ.ศ. 2547 ถล่มเกาะสุมาตราทำให้สมาชิกทหารและมวลชนตายนับแสนคนก็ต้องหันกลับมาเจรจาเพื่ออยู่อย่างสันติกับรัฐบาลอินโดนีเซีย
การต่อสู้ทางการเมืองเพื่อการเปลี่ยนแปลงนี้ ต่างมีจุดร่วมเป็นเป้าหมายเดียวกันที่ “อำนาจรัฐ” การได้อำนาจในการเข้าควบคุมกลไกในการบริหารประเทศ ซึ่งการได้มาแล้วแต่บริบทของสังคมและกลุ่มคน อย่างสังคมไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นอย่างมากมายที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างพรรคพลังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกิจสังคม พรรคชาติไทย พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย พรรคแนวร่วมสังคมนิยม พรรคธรรมสังคม ฯลฯ
ส่วนพรรคที่ไม่ยอมรับกฎหมายอย่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ประกาศชัดเจนว่า “อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน” หนทางการได้อำนาจรัฐคือทำสงครามด้วยยุทธวิธี “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งเป็นแนวทางของเหมา เจ๋อตุง ผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในอดีตถ้าใครที่เป็นฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์แล้วยังนิยมแนวทางรัฐสภา จะถูกเรียกว่าพวกลัทธิแก้หรือพวกเพ้อฝันแนวทางรัฐสภา ซึ่งอาจสรุปง่ายๆ ถ้าคิดว่าการเปลี่ยนผ่านได้โดยสันติถือว่าเป็นความเพ้อฝันของชนชั้นกลางเพราะพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเชื่อว่าอำนาจรัฐได้มาด้วยสงครามประชาชน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสะดุดหยุดบทบาทลงจากปัญหาภายในที่เกิดความคิดแตกแยกในเรื่องทฤษฎีสามโลกตามการวิเคราะห์ของจีน ที่จัดแบ่งให้ประเทศทุนนิยมเป็นโลกที่หนึ่ง โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ โลกที่สองเป็นกลุ่มประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียต รัสเซียเป็นแกนนำ เและโลกที่สามคือกลุ่มประเทศที่ด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนาซึ่งจีนจัดตัวเองให้อยู่ในกลุ่มนี้ จากความแตกแยกปัญหาความคิด ท่าทีในการจัดการ จนมาแตกหักกันเมื่อสถานการณ์ภายนอกเปลี่ยน เมื่อเกิดการปลดปล่อยในเวียดนาม กัมพูชา ลาว
และเหตุการณ์ความขัดแย้งขยายวงเมื่อลาวไม่ยอมให้ใช้ดินแดนเพื่อเป็นกำแพงหลัง เวียดนามช่วยเฮง สัมรินลูกพี่ของฮุนเซนยึดกัมพูชาจากรัฐบาลพล พตของกลุ่มเขมรแดง ประกอบกับรัฐบาลจีนรับคำขอของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ที่ให้จีนปิดสถานีวิทยุเสียงประชาชนไทยอันเป็นเครื่องมือในการโฆษณาและเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญให้สมาชิกพรรคทั้งประเทศฟัง ถูกปิดวิทยุก็เหมือนถูกปิดปาก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยซึ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ
เมื่อรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศนโยบาย 66/2523 ทำให้กำลังพล แนวร่วมและผู้อาศัยพรรคคอมมิวนิสต์ฯ หลบภัย ต่างทยอยออกมามอบตัว แปรสภาพจากนักปฏิวัติมาเป็นผู้พัฒนาชาติไทยจำนวนมาก สุดท้ายเมื่อกรรมการกลางพรรคถูกจับกุมพรรคก็หมดบทบาทลง ซึ่งความเข้าใจของคนในสังคมไทยคิดว่าทุกอย่างยุติไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริง ความเชื่อหรืออุดมการณ์ของคนบางส่วนไม่ได้สิ้นสุดไปด้วย อย่างการแสดงออกของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ที่ประกาศตั้งพรรคพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใหม่ อย่างความเชื่อในลัทธิมากซ์ของนายใจ อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ ตลอดจนการวิเคราะห์สังคมตามปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงสังคมจากสังคมบุพการี มาเป็นสังคมทาส มาเป็นสังคมศักดินา มาเป็นสังคมทุนนิยมแล้วเปลี่ยนไปเป็นคอมมิวนิสต์ในที่สุด ซึ่งในช่วงการเปลี่ยนแปลงจะมีการต่อสู้ทางชนชั้น
การประกาศว่า “ทุนสามานย์ ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” นั้น จึงไม่ได้หนีความเชื่อแบบวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ แต่ความเชื่อนี้อาจเป็นจิตนิยมประวัติศาสตร์ก็ได้ คือ เชื่อแบบไม่ต้องถามหาเหตุผล เชื่อมากเท่าไรก็ได้เงิน ได้ผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น และการสร้างให้คนเชื่อตามมากเท่าไรก็จะเป็นการยกระดับฐานะแกนนำตามไปด้วย จะเห็นได้ว่าในการต่อสู้ที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงมักกล่าวอ้างถึงอำมาตย์ก็ดี อำนาจเหนืออำมาตย์ก็ดีต่างเป็นการสร้างหรือการอาศัยเรื่องชนชั้นเป็นการเดินเกมทางการเมือง และเห็นช่องว่างทางเศรษฐกิจ สังคมในสังคมไทยที่จะก่อขบวนการได้ ซึ่งช่องว่างเหล่านี้ แม้พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลก็ไม่เคยหาทางอุดช่องว่างแต่กับขยายอย่างหนี้ต่อครัวเรือนก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีค่าเฉลี่ยอยู่ที่เจ็ดหมื่นกว่าบาทต่อครัวเรือน เมื่อไทยรักไทยเป็นรัฐบาลหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นกว่าแสนบาทต่อครัวเรือน
แม้สานุศิษย์หรือองครักษ์พิทักษ์ทักษิณจะมาบอกว่าหนี้เพิ่มขึ้น แต่รายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งฟังแค่ครึ่งเดียวจะดูดีมาก แต่ถ้าถามกลับไปว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นประกอบกับค่าครองชีพเพิ่มขึ้น ความสามารถที่จะใช้หนี้มีประสิทธิภาพลดลงใช่ไหม พวกทักษิณจะไม่ตอบ แต่จะสร้างเงื่อนไขลดแลกแจกแถมมาปกปิด อย่างชาวบ้านที่กู้เงินกองทุนหมู่บ้านหรือโครงการ SML ชาวบ้านต่างเข้าใจว่าเป็นหนี้ที่ไม่ต้องใช้คืนหรือยังไม่จำเป็นต้องใช้คืน ตามลัทธิประชานิยมที่ถูกปลูกฝังอย่างรวดเร็วมาก น่าเป็นห่วงสังคมไทยส่วนใหญ่ในเรื่องหนี้สาธารณะที่จะถูกแรงกระชากจากลัทธิประชานิยมทำให้ล่มสลาย
การต่อสู้กับระบอบทักษิณ จึงเป็นการต่อสู้ที่ต้องระมัดระวัง ด้วยรูปแบบผสมที่หลอมรวมในระบอบทักษิณมีทีมและคนทำงานในหลายรูปแบบอย่างระบบพรรคการเมืองที่จะบอกว่าเป็นแบบลัทธินาซีก็ได้ เพราะพรรคอยู่ใต้การบัญชาการชี้ขาดจากคนคนเดียว หรือจะบอกว่าเป็นระบบพรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้เพราะเป็นการรายงานตามจัดตั้ง ประธานพรรคเป็นใหญ่ แต่พอเป็นรัฐบาลจะเห็นว่าระบอบทักษิณจัดการใช้อำนาจในแบบประธานาธิบดี การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีสามารถให้การรองรับโดยมติคณะรัฐมนตรีในภายหลังก็ได้
การต่อสู้กับระบอบทักษิณหรือการที่จะก้าวข้ามทักษิณอย่างที่ผู้สูงวัยหลายๆ คนพูดในวันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะไม่พูดถึงตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถ้าเป็นนักบาสเกตบอลก็จะวางแผนยิงจนนาทีสุดท้าย ถ้าเป็นอเมริกันฟุตบอลต้องยอมรับ มีทีมรุก ทีมรับครบเครื่องซึ่งถ้าเป็นสนามการเลือกตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นับว่าเป็นนักการเมืองที่ทรงอิทธิมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ดูได้จากการเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกยึดอำนาจก็ยังสามารถตั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีตัวแทนอย่างนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทั้งยังสร้างนายกรัฐมนตรีโคลนนิ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใน 45 วัน ทั้งการ ควบคุมสั่งการจากภายนอกประเทศซึ่งความสามารถอย่างหาที่เปรียบได้ยากนี้ ยังใช้กลยุทธ์อ่อนนอกแข็งในอย่างใช้นายเสนาะ เทียนทองออกมาสัมภาษณ์ให้หยุดไล่ล่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร คนที่ฟังแค่ครึ่งเดียวก็จะเห็นคล้อยตามนายเสนาะ แต่ถ้าดูรูปการณ์ทั้งหมดทั้งสิ้นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยถูกล่า กรมตำรวจไทยไม่เคยแจ้งไปทางตำรวจสากลเลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งการที่มีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรีก็สามารถเดินทางไปประเทศต่างๆ ได้อย่างเสรี แถมได้คืนหนังสือเดินทางที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเอาไปประเคนให้
การต่อสู้เพื่อก้าวข้ามระบอบทักษิณ ถ้าเปรียบเป็นสงครามก็เป็นสงครามที่ร้อนระอุ การข้ามผ่านสงครามได้นั้น ต้องเข้าใจกับสัจธรรมสั้นๆ ว่า “สงครามการเมืองไม่จบ ความสงบไม่มี”
การต่อสู้ การเปลี่ยนแปลงในแต่ละประเทศ คงไม่มีใครกำหนดเหตุการณ์ได้ทุกเหตุการณ์ บางครั้งมีสถานการณ์สอดแทรกที่ไม่สามารถมากำหนดได้ อย่างการต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยของกองกำลังกลุ่มอาเจะห์ในอินโดนีเซีย ต้องยุติลงเมื่อโดนคลื่นสึนามิ ในปี พ.ศ. 2547 ถล่มเกาะสุมาตราทำให้สมาชิกทหารและมวลชนตายนับแสนคนก็ต้องหันกลับมาเจรจาเพื่ออยู่อย่างสันติกับรัฐบาลอินโดนีเซีย
การต่อสู้ทางการเมืองเพื่อการเปลี่ยนแปลงนี้ ต่างมีจุดร่วมเป็นเป้าหมายเดียวกันที่ “อำนาจรัฐ” การได้อำนาจในการเข้าควบคุมกลไกในการบริหารประเทศ ซึ่งการได้มาแล้วแต่บริบทของสังคมและกลุ่มคน อย่างสังคมไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นอย่างมากมายที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างพรรคพลังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกิจสังคม พรรคชาติไทย พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย พรรคแนวร่วมสังคมนิยม พรรคธรรมสังคม ฯลฯ
ส่วนพรรคที่ไม่ยอมรับกฎหมายอย่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ประกาศชัดเจนว่า “อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน” หนทางการได้อำนาจรัฐคือทำสงครามด้วยยุทธวิธี “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งเป็นแนวทางของเหมา เจ๋อตุง ผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในอดีตถ้าใครที่เป็นฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์แล้วยังนิยมแนวทางรัฐสภา จะถูกเรียกว่าพวกลัทธิแก้หรือพวกเพ้อฝันแนวทางรัฐสภา ซึ่งอาจสรุปง่ายๆ ถ้าคิดว่าการเปลี่ยนผ่านได้โดยสันติถือว่าเป็นความเพ้อฝันของชนชั้นกลางเพราะพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเชื่อว่าอำนาจรัฐได้มาด้วยสงครามประชาชน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสะดุดหยุดบทบาทลงจากปัญหาภายในที่เกิดความคิดแตกแยกในเรื่องทฤษฎีสามโลกตามการวิเคราะห์ของจีน ที่จัดแบ่งให้ประเทศทุนนิยมเป็นโลกที่หนึ่ง โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ โลกที่สองเป็นกลุ่มประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียต รัสเซียเป็นแกนนำ เและโลกที่สามคือกลุ่มประเทศที่ด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนาซึ่งจีนจัดตัวเองให้อยู่ในกลุ่มนี้ จากความแตกแยกปัญหาความคิด ท่าทีในการจัดการ จนมาแตกหักกันเมื่อสถานการณ์ภายนอกเปลี่ยน เมื่อเกิดการปลดปล่อยในเวียดนาม กัมพูชา ลาว
และเหตุการณ์ความขัดแย้งขยายวงเมื่อลาวไม่ยอมให้ใช้ดินแดนเพื่อเป็นกำแพงหลัง เวียดนามช่วยเฮง สัมรินลูกพี่ของฮุนเซนยึดกัมพูชาจากรัฐบาลพล พตของกลุ่มเขมรแดง ประกอบกับรัฐบาลจีนรับคำขอของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ที่ให้จีนปิดสถานีวิทยุเสียงประชาชนไทยอันเป็นเครื่องมือในการโฆษณาและเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญให้สมาชิกพรรคทั้งประเทศฟัง ถูกปิดวิทยุก็เหมือนถูกปิดปาก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยซึ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ
เมื่อรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประกาศนโยบาย 66/2523 ทำให้กำลังพล แนวร่วมและผู้อาศัยพรรคคอมมิวนิสต์ฯ หลบภัย ต่างทยอยออกมามอบตัว แปรสภาพจากนักปฏิวัติมาเป็นผู้พัฒนาชาติไทยจำนวนมาก สุดท้ายเมื่อกรรมการกลางพรรคถูกจับกุมพรรคก็หมดบทบาทลง ซึ่งความเข้าใจของคนในสังคมไทยคิดว่าทุกอย่างยุติไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริง ความเชื่อหรืออุดมการณ์ของคนบางส่วนไม่ได้สิ้นสุดไปด้วย อย่างการแสดงออกของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ที่ประกาศตั้งพรรคพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใหม่ อย่างความเชื่อในลัทธิมากซ์ของนายใจ อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ ตลอดจนการวิเคราะห์สังคมตามปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงสังคมจากสังคมบุพการี มาเป็นสังคมทาส มาเป็นสังคมศักดินา มาเป็นสังคมทุนนิยมแล้วเปลี่ยนไปเป็นคอมมิวนิสต์ในที่สุด ซึ่งในช่วงการเปลี่ยนแปลงจะมีการต่อสู้ทางชนชั้น
การประกาศว่า “ทุนสามานย์ ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” นั้น จึงไม่ได้หนีความเชื่อแบบวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ แต่ความเชื่อนี้อาจเป็นจิตนิยมประวัติศาสตร์ก็ได้ คือ เชื่อแบบไม่ต้องถามหาเหตุผล เชื่อมากเท่าไรก็ได้เงิน ได้ผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น และการสร้างให้คนเชื่อตามมากเท่าไรก็จะเป็นการยกระดับฐานะแกนนำตามไปด้วย จะเห็นได้ว่าในการต่อสู้ที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงมักกล่าวอ้างถึงอำมาตย์ก็ดี อำนาจเหนืออำมาตย์ก็ดีต่างเป็นการสร้างหรือการอาศัยเรื่องชนชั้นเป็นการเดินเกมทางการเมือง และเห็นช่องว่างทางเศรษฐกิจ สังคมในสังคมไทยที่จะก่อขบวนการได้ ซึ่งช่องว่างเหล่านี้ แม้พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลก็ไม่เคยหาทางอุดช่องว่างแต่กับขยายอย่างหนี้ต่อครัวเรือนก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีค่าเฉลี่ยอยู่ที่เจ็ดหมื่นกว่าบาทต่อครัวเรือน เมื่อไทยรักไทยเป็นรัฐบาลหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นกว่าแสนบาทต่อครัวเรือน
แม้สานุศิษย์หรือองครักษ์พิทักษ์ทักษิณจะมาบอกว่าหนี้เพิ่มขึ้น แต่รายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งฟังแค่ครึ่งเดียวจะดูดีมาก แต่ถ้าถามกลับไปว่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นประกอบกับค่าครองชีพเพิ่มขึ้น ความสามารถที่จะใช้หนี้มีประสิทธิภาพลดลงใช่ไหม พวกทักษิณจะไม่ตอบ แต่จะสร้างเงื่อนไขลดแลกแจกแถมมาปกปิด อย่างชาวบ้านที่กู้เงินกองทุนหมู่บ้านหรือโครงการ SML ชาวบ้านต่างเข้าใจว่าเป็นหนี้ที่ไม่ต้องใช้คืนหรือยังไม่จำเป็นต้องใช้คืน ตามลัทธิประชานิยมที่ถูกปลูกฝังอย่างรวดเร็วมาก น่าเป็นห่วงสังคมไทยส่วนใหญ่ในเรื่องหนี้สาธารณะที่จะถูกแรงกระชากจากลัทธิประชานิยมทำให้ล่มสลาย
การต่อสู้กับระบอบทักษิณ จึงเป็นการต่อสู้ที่ต้องระมัดระวัง ด้วยรูปแบบผสมที่หลอมรวมในระบอบทักษิณมีทีมและคนทำงานในหลายรูปแบบอย่างระบบพรรคการเมืองที่จะบอกว่าเป็นแบบลัทธินาซีก็ได้ เพราะพรรคอยู่ใต้การบัญชาการชี้ขาดจากคนคนเดียว หรือจะบอกว่าเป็นระบบพรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้เพราะเป็นการรายงานตามจัดตั้ง ประธานพรรคเป็นใหญ่ แต่พอเป็นรัฐบาลจะเห็นว่าระบอบทักษิณจัดการใช้อำนาจในแบบประธานาธิบดี การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีสามารถให้การรองรับโดยมติคณะรัฐมนตรีในภายหลังก็ได้
การต่อสู้กับระบอบทักษิณหรือการที่จะก้าวข้ามทักษิณอย่างที่ผู้สูงวัยหลายๆ คนพูดในวันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะไม่พูดถึงตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถ้าเป็นนักบาสเกตบอลก็จะวางแผนยิงจนนาทีสุดท้าย ถ้าเป็นอเมริกันฟุตบอลต้องยอมรับ มีทีมรุก ทีมรับครบเครื่องซึ่งถ้าเป็นสนามการเลือกตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นับว่าเป็นนักการเมืองที่ทรงอิทธิมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ดูได้จากการเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกยึดอำนาจก็ยังสามารถตั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีตัวแทนอย่างนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทั้งยังสร้างนายกรัฐมนตรีโคลนนิ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใน 45 วัน ทั้งการ ควบคุมสั่งการจากภายนอกประเทศซึ่งความสามารถอย่างหาที่เปรียบได้ยากนี้ ยังใช้กลยุทธ์อ่อนนอกแข็งในอย่างใช้นายเสนาะ เทียนทองออกมาสัมภาษณ์ให้หยุดไล่ล่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร คนที่ฟังแค่ครึ่งเดียวก็จะเห็นคล้อยตามนายเสนาะ แต่ถ้าดูรูปการณ์ทั้งหมดทั้งสิ้นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยถูกล่า กรมตำรวจไทยไม่เคยแจ้งไปทางตำรวจสากลเลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งการที่มีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรีก็สามารถเดินทางไปประเทศต่างๆ ได้อย่างเสรี แถมได้คืนหนังสือเดินทางที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเอาไปประเคนให้
การต่อสู้เพื่อก้าวข้ามระบอบทักษิณ ถ้าเปรียบเป็นสงครามก็เป็นสงครามที่ร้อนระอุ การข้ามผ่านสงครามได้นั้น ต้องเข้าใจกับสัจธรรมสั้นๆ ว่า “สงครามการเมืองไม่จบ ความสงบไม่มี”