ผ่าประเด็นร้อน
แน่นอนแล้วว่า ตั้งแต่ปลายปี คือตั้งแต่สภาผู้แทนราษฎรเปิดสมัยประชุมสมัยสามัญนิติบัญญัติตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมเป็นต้นไปต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้า เป็นช่วงที่การเมืองกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ที่สำคัญยังเป็นความขัดแย้งที่วนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ นั่นคือสาเหตุมาจากผลประโยชน์ของ ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียวเท่านั้น
ล่าสุดก็ได้ส่งสัญญาณผ่านทาง นพดล ปัทมะ คนรับใช้ด้านกฎหมายยื่นเงื่อนไข 6 ข้อเพื่อต่อรองกับคนไทย โดยอ้างว่านี่คือการ “ปรองดอง” กับเขา โดยสรุปก็คือ ก็ต้องออกเป็นพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมความผิด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียใหม่ รวมไปถึงการแก้ไขพระราชบัญญัติสภากลาโหม ซึ่งยังเป็นอุปสรรคเข้ามาล้วงลูกโยกย้ายนายทหารประจำปี
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันก็มีความเคลื่อนไหวในการปรับคณะรัฐมนตรีในบางตำแหน่ง ซึ่งน่าสังเกตก็คือก่อนรับตำแหน่งหรือเลื่อนขึ้นมารับตำแหน่งใหม่ที่สำคัญกว่าเดิมก็จะต้องมีการรับปากรับคำเสียก่อนว่าจะเดินหน้าผลักดันภารกิจดังกล่าวให้สำเร็จอีกด้วย
การเคลื่อนไหวดังกล่าวแม้ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ในทางกลับกันยังถือว่า “เดินเครื่อง” ได้ล่าช้าเสียด้วยซ้ำไป ปัญหาเป็นเพราะเกิดปัญหาน้ำท่วม ทำให้ประจานความ “กลวง” ความไม่เอาไหนของ “น้องสาว” ตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผลักดันมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำผลงานออกมาไร้มาตรฐานอย่างไม่น่าเชื่อ จนสังคมทั่วไปส่ายหัว พวกเดียวกันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่งเสียงเชียร์แบบเดิมไม่ไหว ทำให้เสียงสนับสนุนให้ตัวเองได้เอาเปรียบชาวบ้านบางอย่าง เช่น กรณีสอดไส้ขอพระราชทานอภัยโทษต้องล้มเหลว ส่วนสำคัญย่อมมาจากความห่วยแตกของรัฐบาล ทำให้คนเกิดอารมณ์เสีย บรรยากาศหักมุมอย่างไม่น่าเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ความต้องการ “เอาเปรียบ” ชาวบ้าน ของ ทักษิณ ชินวัตร ยังคงดำเนินต่อไป และไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่เขายังมีเงิน และที่สำคัญยังสามารถหลอกต้มคนไทยให้เชื่อว่าเขาคือ “เทวดา” เป็นความหวังทำให้หายจนได้ ประมาณว่าถ้าประเทศไทยขาดเขาแล้วทุกอย่างจะสิ้นหวัง บ้านเมืองจะด้อยพัฒนาหรือฉิบหายวายวอดไปเลยก็ได้ และที่สำคัญต้องอยู่เหนือกฎหมาย ทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะถูกกลั่นแกล้ง ถูกอิจฉาจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้กล่าวหาว่าเป็นฝีมือของพวกอำมาตย์
แต่ในท่ามกลางบรรยากาศที่เปลี่ยนไป นั่นคือการบริหารงานที่ไม่เอาไหนของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ทั้งที่มีทุกอย่างอยู่ในมือพร้อมสรรพ ไม่ว่าเสียงสนับสนุนในสภา การโยกย้ายข้าราชการที่กระชับอำนาจอย่างต่อเนื่อง ชนิดที่เรียกว่ามีทุกอย่างพร้อม ขาดเพียงอย่างเดียวคือ “ปัญญา” เท่านั้น ทำให้ชาวบ้านเริ่มคิดได้ว่าเมื่อทำงานห่วยแตกแบบนี้ยังคิดที่จะมาขอโบนัสอย่างงั้นหรือ ซึ่งก็เปรียบเหมือนกับความพยายามที่จะช่วยเหลือให้ทักษิณ เอาเปรียบคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะหากเทียบบรรยากาศยามนี้กับในช่วงปี 2544 ขณะที่โดนคดีซุกหุ้นภาคแรกหลังชนะเลือกตั้งใหม่ๆชาวบ้านจำนวนไม่น้อยเอาใจช่วย ขัดขวางไม่ให้เขาต้องมีความผิด บีบบังคับจนแม้กระทั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนในยุคนั้นต้องเปลี่ยนใจไม่ยอมบังคับใช้กฎหมายก็มี
ในทางตรงข้าม หากพิจารณาในบรรยากาศยามนี้รับรองว่าอารมณ์ของคนไทยเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง หรือหากเปรียบเอาช่วงหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 และหลังน้ำลดในตอนนี้ แม้ว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่ยังศรัทธา แม้รับรองว่าลดลงอย่างฮวบฮาบแน่นอน ดังนั้น ด้วยกระแสความนิยมที่พลิกผันมันก็ยิ่งทำให้ ทักษิณ ต้องรีบเร่งเกมให้เร็วขึ้น เพราะถ้าขืนปล่อยให้เวลาทอดนานออกไปทุกอย่างก็ยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิม และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเริ่มดีเดย์ตั้งแต่กันตั้งแต่ปลายปีและเดินเครื่องเต็มกำลังตั้งแต่ต้นปีใหม่เป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน ถ้าพิจารณาจากความเป็นจริงก็ต้องบอกว่าการเคลื่อนไหวเที่ยวนี้เป็นการระดมสรรพกำลังเต็มพิกัดทั้งในและนอกสภาเพื่อนำไปสู่เป้าหมายให้ได้ เพราะถ้าพลาดรับรองว่าน่าจะหมดโอกาสแล้ว ทำได้อย่างมากก็แค่ความวุ่นวายน่ารำคาญเท่านั้น
หากให้เดาใจและความต้องการของ ทักษิณ เป้าหมายสูงสุดน่าจะอยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญมากที่สุด เพื่อลบล้างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือฉบับปี 2550 ที่เป็นอุปสรรคในการกลับคืนสู่อำนาจ และได้เงินที่ถูกยึดไปกลับคืนมา ซึ่งประเด็นที่น่าจับตาก็คือการกำหนดใน “บทเฉพาะกาล”ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหนก็ตามคือการลบล้างผลทางกฎหมายที่เกิดขึ้นก่อนและหลังการรัฐประหารเสมือนหนึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมไปถึงการกำหนดให้การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
เมื่อพิจารณาจากเสียงสนับสนุนของรัฐบาล 4 พรรค คือ เพื่อไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา และพลังชล รวมทั้งมีข่าวว่าจะดึงเสียงของกลุ่ม สมศักดิ์ เทพสุทินในพรรคภูมิใจไทยออกมาสนับสนุนรัฐบาลอีก เมื่อบวกกับเสียงของวุฒิสมาชิกที่ประสานงานเอาไว้ล้วงหน้าทำให้เชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่งว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญน่าจะผ่านไปได้
อย่างไรก็ดี อย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าบรรยากาศยามนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว มีคนไทยรู้ทันมากขึ้น อีกทั้งด้วยสภาพเศรษฐกิจ ทั้งภายในภายนอกมันไม่ค่อยอำนวย ปีหน้าข้าวของจะแพง นโยบายที่คุยโม้เอาไว้ผลักดันได้ไม่เต็มที่ ติดขัดเรื่องงบประมาณ อีกทั้งไปเกี่ยวพันกับภาคเอกชนในเรื่องค่าแรงวันละ 300 บาททำให้ต้นทุนพุ่ง เพราะแม้แต่ทุนพวกเดียวกันก็ยังกระอักกระอ่วน และไม่ต้องดูอื่นไกลแค่เงิน “เบี้ยยังชีพคนแก่” ที่คุยเอาไว้ว่าจะเพิ่มให้ แต่จนถึงบัดนี้เอาแค่คนละ 500 บาท คุณลุง คุณป้า ไม่ได้รับมานานหลายเดือนแล้ว เมื่อปากท้องชาวบ้านยังปากแห้งแบบนี้แล้วจะให้มาหนุนช่วย ทักษิณ มันก็เกินไปหน่อย
อย่างไรก็ดี ในมุมของทักษิณ ในสถานการณ์แบบนี้แหละที่จะต้องเร่งเกม และต้องทำอย่างเต็มกำลังแบบรวบรัดตัดความให้เร็วที่สุดประสานกันทั้งในและนอกสภา ทำแบบม้วนเดียวจบ แม้ว่าจะรู้ว่าเสี่ยงสูงเหมือนกัน แต่ถ้าทอดเวลาให้นานออกมาไปโอกาสที่เป็นไปได้ก็ยิ่งแทบไม่มีเลย ขณะเดียวกันถ้าพลาดเที่ยวนี้ก็จบเห่ ขาดทุนป่นปี้!!