ASTVผู้จัดการรายวัน- “สุริยะใส”จวก “เสนาะ”เสนอกักบริเวณ"ทักษิณ"เหมือน"ซูจี" เพื่อไทยเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่ อ้างแถลงต่อสภา ตามที่“ยิ่งลักษณ์” ให้คำมั่นไว้เป็นนโยบาย ''บัญญัติ '' ชี้ชัด การเมืองไทย ปีหน้า ยังก้าวข้าม "ทักษิณ" ไม่ได้ “ปู”หยุดปีใหม่ เที่ยวทะเล 3 วันกับครอบครัว
วานนี้ (2 ม.ค.)นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวถึงกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานพรรคเพื่อไทย เสนอวิธีปรองดองด้วยการหยุดไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และให้ใช้วิธีกักบริเวณเหมือนนางออง ซาน ซูจี ว่า นายเสนาะคงแกล้งตีมึนเพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ หรืออาจจะไม่เข้าใจข้อเท็จจริงที่มีสาเหตุของปัญหาต่างกันระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ กับนางออง ซาน ซูจี
“นางออง ซาน ซูจี เป็นนักโทษการเมืองเพราะเป็นนักประชาธิปไตยที่ถูกรัฐบาลเผด็จการทหารของพม่าจับกุม และกักบริเวณไว้ เพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นนักโทษในคดีอาญา ต้องคำพิพากษาโดยกระบวนการยุติธรรมไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณก็ได้สิทธิต่อสู้ในชั้นศาลเฉกเช่นบุคคลทั่วไปมาแล้ว แต่เมื่อศาลพิพากษาว่าผิดพ.ต.ท.ทักษิณกลับหลบหนีไม่ยอมรับคำพิพากษาใดๆ ซ้ำร้ายยังโจมตีกระบวนการยุติธรรมไทยว่าไม่มีความยุติธรรม ฉะนั้นข้อเสนอกักบริเวณพ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นไปไม่ได้ และไม่มีบทลงโทษในระบบกฎหมายไทยที่ให้กักบริเวณนักโทษในคดีอาญา”
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายเสนาะบอกว่าให้ทุกฝ่ายหยุดไล่ล่า นั้นนายเสนาะก็ต้องชี้แจงให้ชัดว่าใครไล่ล่า เพราะในขณะนี้เป็นยุคสมัยของรัฐบาลน้องสาว และครม.ทั้งคณะก็ขึ้นอยู่กับพ.ต.ท.ทักษิณ แม้แต่รัฐบาลที่แล้วซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เห็นมีการไล่ล่าใดๆ ในทางตรงกันข้ามคนไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าสังคมไทยกำลังถูกคุกคามจาก พ.ต.ท.ทักษิณยาวนานเกินไปแล้ว เมื่อไหร่จะหยุดซักที นายเสนาะควรจะพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กลับเข้ามารับโทษและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะนี่เป็นจุดเริ่มต้นเดียวของการนับหนึ่งกระบวนการปรองดองและสมานฉันท์
**รัฐบาล-เพื่อไทยแก้รธน.แน่
นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายเสนาะ เทียนทอง ออกมาค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ( รธน. )50 ว่า ยังไม่ถึงเวลาและอาจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในพรรคเพื่อไทยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 50 ต้องดำเนินการแน่นอนเพราะรัฐบาลชุดนี้ได้แถลงเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาไปแล้ว ซึ่งจะต้องเดินตามนั้นตามที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภาไว้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ ว่า จะดำเนินการอย่างไรมีการตั้งส.ส.ร.ขึ้นมาร่างและจะทำประชามติก่อนหรือหลัง เป็นเรื่องกระบวนการที่ต้องหารือกันในพรรค ว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่เป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาของประเทศได้ โดยตนเชื่อว่าจะไม่เกิดความขัดแย้งขึ้น หากมีการพูดคุยกันในระดับผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค มั่นใจว่านายเสนาะ จะเข้าใจหลังจากพูดคุยกับแกนนำพรรคแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายเสนาะ เสนอให้กักบริเวณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหากต้องการเดินทางกลับประเทศไทยปี 55 เหมือนนางอองซาน ซูจี นักโทษการเมืองประเทศพม่า นายวิทยา กล่าวตนยังไม่ทราบเรื่องนี้เลยคาดว่าเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ของพรรคต้องหารือกัน
**บัญญัติ"แนะชะลอแก้ รธน.-นิรโทษฯ
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การเมืองไทย ภายในปี 2555 ว่า เห็นได้ชัดจากฉายาของรัฐบาลในปีนี้ ทั้งทักษิณส่วนหน้า กุมารทองคะนองศึก ปึ้งเป้าเป๊ะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยากแนะนำให้รัฐบาลชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ก่อน รวมทั้ง ชะลอพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมด้วย และให้ตั้งใจแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างจริงจัง รวมถึง ต้องมีแผนการที่ชัดเจนในการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนว่า น้ำจะไม่ท่วมภายในปีนี้ และต้องอย่าให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการต่าง ๆ ซึ่งหากทำได้จะเป็นการชะลอไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง หรือ อาจจะไม่เกิดขึ้นได้
**หนุนทำประชามิตสสร.3
นายบัญญัติ ยังกล่าวถึง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวเห็นว่า การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ควรนำตัวแทน ผู้ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี2550 รวมทั้ง ภาควิชาการ เอกชน เข้าไปมีส่วนร่วม และฝ่ายการเมือง ควรมีอยู่ด้วย แต่ให้เป็นเพียงเสียงส่วนน้อยเท่านั้น จากนั้น จึงทำประชามติ พร้อมทำความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจถึงกฎเกณฑ์กติกา ที่มาของ สสร. ว่า มีความสำคัญอย่างไรในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งควรที่จะใช้เวลา 3 เดือน ในการทำเรื่องดังกล่าว ถ้าหากทำได้ก็จะทำให้เกิดความปรองดอง และถ้ารัฐบาลพูดเรื่องนี้ให้ชัด อุบัติเหตุทางการเมือง และความขัดแย้ง ก็จะไม่เกิดขึ้น
นายบัญญัติ เป็นห่วงในปีหน้า หากรัฐบาลมีการเดินหน้าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อย่างเต็มที่ จะเป็นชนวนที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย และหากยังดึงดันจะแก้มาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์รักษาสถาบัน ถ้าทำเรื่องดังกล่าวจริง จะเป็นการสร้างความขัดแย้งให้เกิดมากขึ้น และจะเป็นการซ้ำเติมประเทศที่บอบช้ำมาจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
**ชทพ.วอน"คณิต"ใจกว้าง
นายวัชระ กรรณิกา โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ระบุว่านายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาแสดงความเห็นว่าไม่ควรแตะต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งตนขอชี้แจงว่าสิ่งที่นายบรรหารพูดนั้น พูดในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่จงรักภักดี ไม่อยากเห็นใครล่วงละเมิดสถาบันสูงสุดของประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นที่นายคณิต เข้าใจโดยง่าย ขณะเดียวกันนายบรรหารก็พูดในสถานภาพที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อหน้าพระพักตร์ เป็นการพูดในมุมมองของความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า และการทักท้วงเพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมได้ ซึ่งนายคณิตอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งนายบรรหารไม่ได้เจาะจงที่คอป.โดยตรง แต่พูดโดยหลักการว่าไม่เห็นด้วยและไม่เหมาะสม เป็นการท้วงติงและโดยหลักการหากคนไทยไม่เอาด้วยก็ไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดเลย
โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวอีกว่า เมื่อนายคณิตปวารณาตัวที่จะทำให้ประเทศปรองดอง ก็ต้องมีความใจเย็นและใจกว้าง ซึ่งพวกเราก็ชื่นชมคอป. แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องเปิดหูรับฟัง และหากเรื่องนี้มีการเสนอให้มีการแก้ไขไม่ว่าจะเป็นใครหรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนาก็มีความชัดเจนและมีจุดยืนที่จะคัดค้าน
**"วิชา"ค้าน พท.แก้ ม.112
นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 50 กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทยที่จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ แต่ต้องสอบถามความเห็นของประชาชน และแก้ไขในส่วนที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวม
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน
**อ.จุฬาฯไม่เห็นด้วยตั้งส.ส.ร.แก้รธน.
ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกัา เดิมทีไม่เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญในทันที แต่ควรที่จะมีการตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษา ข้อดี ข้อด้อย หรือ ศึกษาว่า รัฐธรรมนูญ ทั้งของปี 2540 และ 2550 ว่า จุดไหนดี จุดไหนเด่น จุดไหนด้อย เพราะบางครั้งคนที่ตีความบทบัญญัติของกฎหมาย อาจจะเป็นปัญหาเองก็ได้ และชี้แจงหลักการและเหตุผลให้ได้ก่อน จึงจะมีการแก้ไข แต่หากจะเริ่มแก้ไขด้วยการตั้ง ส.ส.ร.3 ขึ้นมาทันที โดยไม่ศึกษาก่อนนั้น ถือว่า ไม่ถูกต้อง
**จับตาคน 111ใครยังจะอยู่
ศ.ดร.นันทวัฒน์ ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มในการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลว่า ไม่ขอออกตัวว่า กระทรวงไหน ควรปรับเปลี่ยนบ้าง แต่เสนอแนะว่า รัฐบาลควรที่จะหาตัวบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านนั้น ๆ เฉพาะทางมาดูแลในแต่ละกระทรวง หรือ เข้าใจปัญหาของแต่ละกระทรวงเป็นอย่างดีมาแก้ปัญหา เพราะหากในตำแหน่งต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานได้ นายกรัฐมนตรี ก็จะทำงานลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ค่อยจะมีบทบาทภาวะผู้นำอย่างปัจจุบัน
ส่วนกรณีที่หลายฝ่าย ระบุว่า เวลานี้มีนักการเมืองที่มีคุณภาพน้อย ต้องรอบ้านเลขที่ 111 กลับมานั้น ก็ไม่จริงเสมอไป เพราะมองว่าในจำนวนนั้นบางส่วนก็มีปัญหากับพรรค บางส่วนก็ประกาศตัวไม่ยุ่งกับการเมืองไปแล้ว ดังนั้น ต้องรอดูว่า ใครที่จะกลับมาจริง ๆ และจะทำงานได้จริงหรือไม่ หลังจาก เว้นวรรคไปนานถึง 5 ปี
**สมศักดิ์เชียร์ “ ชทพ.” คุมก.พลังงาน
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองตอนนี้ว่า รัฐบาลต้องเร่งทำการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้เป็นรูปธรรมก่อน เพราะอุทกภัยครั้งแรกคนยังทำใจได้อยู่ แต่ครั้งที่ 2 อย่างน้อยๆต้องมีแผนที่ชัดเจนทั้งการหาเงินการมีแผนงานการใช้บุคลากร การจะปรับเปลี่ยนเป็นกระทรวงน้ำหรือจะทำอย่างไรก็ก็ว่ากันไป แต่หากให้มีเงินมาทำจริงจะทำให้ประชาชนมีความหวัง เมื่อถามว่ากระทรวงน้ำมีความจำเป็นหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้แต่ถ้าไม่มี ต้องมีรองนายกรัฐมนตรีมาดูแลในเรื่องนี้เป็นประธานมาบูรณาการเรื่องน้ำให้จริงจัง แต่เห็นว่าถ้ามีกระทรวงน้ำอยากให้นายกรัฐมนตรีควบกระทรวงน้ำ จะได้ดำเนินการอย่างจริงจังเสียที เคยให้ความเห็นไว้ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ ซึ่งมีกรมชลประทานอยู่ในสังกัด แล้วให้พรรคเล็กไปดูกรมชลประทาน คงไปไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่ให้เงินสนับสนุนพิเศษมันจะขับเคลื่อนไปได้ลำบาก เรื่องน้ำต้องขับเคลื่อนด้วยการใช้เงินสนับสนุนพิเศษ กระทรวงเกษตรฯไม่เคยได้พรรคใหญ่ มีแต่พรรคเล็กเวลามีงบมาก็ไม่ได้รับมากหนัก ถ้าพรรคใหญ่เป็นก็ใส่งบได้เต็มที่ พรรคเล็กๆก็ไปอยู่กระทรวงที่ไม่ต้องใช้งบประมาณเช่นกระทรวงพลังงาน ตนขอแนะนำว่า ให้ผู้นำรัฐบาลนำกระทรวงพลังงานมาแลกกับ นายบรรหาร ศฺิลปอาชา ซึ่งคิดว่านายบรรหารคงไม่รังเกียจ เพราะกระทรวงพลังงานมีเรื่องอื่นๆต้องทำเยอะที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก
ส่วนเรื่องสมาชิก 111 ที่จะปลดล๊อคนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอบใจสื่อมวลชนที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ดูแล้วสื่อไม่ค่อยสัมภาษณ์รัฐมนตรี อาจจะกลัวผิด ถ้ามือเก่าๆเขาจะรู้ว่าอะไรพูดได้เราต้องเห็นใจคนใหม่ๆด้วย นักการเมืองบางคนก็ชอบพูดเรื่องการเมืองเพราะไม่ต้องเตรียมตัว ตนอยากให้นักการเมืองพูดในเรื่องงานมากกว่าว่าจะมีการพัฒนางานไปอย่างไรประชาชนจะได้ประโยชน์ เรื่องการเมืองก็ให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย2-3 คนพูดจะดีกว่า จะได้ชัดเจน ดูจากหน้าสื่อไม่มีเรื่องงานกันเลย อาจจะเพราะเรื่องต้องเตรียมตัว ต้องเข้าใจถึงจะออกมาพูดได้ กลัวถูกปรับแต่ไม่อ่านตำราเลยหรือไม่.
**“วัชระ”อัด”เทพไท”วิพากษ์”เติ้ง”
นายวัชระ กรรณิกา โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา แถลงตอบโต้นายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ วิจารณ์นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา มีความลำเอียง ให้คะแนนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 8 เต็ม 10 และให้คะแนนความเป็นสตรีเพศอีก 1 คะแนนนั้นเห็นว่า นายเทพไทพูดในทำนองกล่าวหาว่าพรรคลำเอียงหรือต้องการเอาใจ มีความคิดเข้าข้างรัฐบาล และต้องการเอาใจเพราะเกรงว่าจะกระทบต่อการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้อาจจทำให้ประชาชนมีความเข้าใจผิดและถือเป็นการดูหมิ่นพรรคชาติไทยพัฒนา โดยขอชี้แจงว่า จากการให้สัมภาษณ์ของนายเทพไท เป็นการพูดจาเพ้อเจ้อ ห่างไกลข้อเท็จจริง
การพูดของนายบรรหารเป็นการให้คะแนนความขยัน อดทน การทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาอย่างไม่ย่อท้อ และตรงกับความคิดเห็นของประชาชน เพราะที่ผ่านมาโพลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโพลที่รักหรือเกลียดนายกรัฐมนตรี มีผลสำรวจใกล้เคียงกับการให้คะแนนของนายบรรหาร การพูดของนายบรรหารนั้นก็เป็นการพูดของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่ต้องการให้กำลังใจในการทำงาน
"นายเทพไทควรพูดให้เครดิตคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ดิตเครดิตอย่างเดียวทำให้ทั้งตัวนายเทพไทเองและพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่มีเพื่อนฝูง ซึ่งอยากเตือนนายเทพไท การพูดของนายบรรหารเป็นการพูดในฐานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง มองการทำงานของคนที่เป็นนายกฯ ด้วยกัน ฉะนั้นนายบรรหารจึงมีสิทธิให้คะแนนโดยสุจริต แต่นายเทพไทไม่เคยเป็นนายกฯ เป็นแค่ส.ส. ชั้นยังไม่ถึงที่จะมาพูดจาในเรื่องนี้ ซึ่งควรปล่อยให้สังฆราชสนธนาธรรมกัน เณรน้อย สัปเหร่อ อย่ายุ่ง เพราะจะเสียรังวัด
นายเทพไทควรศึกษาวิชาการพูดจากน.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ว่าพูดอย่างไรถึงได้เป็นดาวเด่นในสภา หรือปรึกษานายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอายุห่างกันเป็น 10 ปี ว่าพูดอย่างไรถึงมีตำแหน่งในพรรค ไม่ลอยเคว้งคว้าง ย้ำพรรคไม่ได้กลัวถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี เรื่องนี้น่าสมเพชไปอยู่ที่ไหนมา พรรคได้ตอบโต้ทุกประเด็นในเรื่องนี้ไปแล้ว ถ้าพรรคกลัวจริงสู้อยู่เงียบๆ เอาใจไม่ดีกว่าหรือ เราท้าทายมาโดยตลอด ถ้าเราผิดหรือบกพร่องก็โชว์หลักฐานมาเลย พรรคชาติไทยพัฒนามีศีกดิ์ศรี ไม่ได้คิดโง่ๆ ไม่ได้ดื้อด้านแต่มีผลงาน” นายวัชระ กล่าว
โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวอีกว่า ผลงานรัฐมนตรีของพรรคนั้น สามารถดูได้จากผลโพล โดยรัฐมนตรีทั้ง 2 กระทรวงติด 5 อันดับแรก ดีกว่ารัฐมนตรีอีกหลาย 10 กระทรวง หรือแม้แต่การที่อยู่กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ ผลงานก็ดีกว่ารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์หลายคน ดังนั้นการให้คะแนนของนายบรรหารเป็นการให้คะแนนด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะแม้แต่ช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นายบรรหารก็ให้คะแนนแบบนี้เหมือนกัน ทั้งนี้หากนายเทพไทและพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการที่จะยังมีเพื่อนอยู่นั้น ก็ต้องลืมคำว่าดิสเครดิต หรือถ้าพูดอย่างนี้ก็ลืมคำว่าปรองดองได้เลย
**ปูเที่ยวทะเล 3 วันกับครอบครัว
วันเดียวกันบรรยากาศที่บริเวณบ้านพัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายในซอยโยธินพัฒนา 3 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า นายกรัฐมนตรีและครอบครัว พักอาศัยอยู่ในบ้านหรือไม่ เพราะจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณจุดตรวจ ซอยโยธินพัฒนา 3 ของสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว บริเวณหน้าบ้านพักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า นายกรัฐมนตรี ไม่ได้อยู่ภายในบ้านแล้ว ขณะที่ เจ้าหน้าที่ทหาร ที่ดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบ กลับระบุว่า นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เดินทางออกไปที่ไหน ประกอบกับในวันนี้ นายกรัฐมนตรี ไม่มีกำหนดการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ใด ทำให้ สื่อมวลชนบางส่วน มาติดตามความเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรี บริเวณหน้าบ้านพัก ซอยโยธินพัฒนา 3
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางพร้อมครอบครัว คือ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรส และด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ น้องไปป์ บุตรชาย พักผ่อนที่ต่างจังหวัด เนื่องในวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2555 ระหว่างวันที่ 1 - 3 ม.ค. นี้ โดยนายกฯ ขอหยุดพักผ่อนเป็นการส่วนตัวที่ชายทะเล และไม่ขอเปิดเผยสถานที่
**กห.แจงแก้ไขพรบ.กห.ต้องเหมาะสม
พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงทิศทางการเมืองไทยในปี 2555 ว่า เหตุการณ์ต่างๆน่าจะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพราะเรามีความเข้าใจและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา โดยเฉพาะจากปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมที่ทำให้ทุกคนหันหน้ากลับมาช่วยเหลือ มีความเอื้ออาทรร่วมกัน ช่วยเหลือกัน ทำให้ชำระล้างจิตใจ แม้จะมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ ไม่เข้าใจกันแต่พอเหตุการณ์น้ำจบลง ทำให้ทุกคนมองเห็นว่าทุกคนต่างเอื้ออาทร โดยไม่แบ่งพรรคฝ่ายค้านหรือรัฐบาล หรือเสื้อสีไหนก็แล้วแต่ ดังนั้นตนมองว่าทิศทางในปีหน้าคงจะดีขึ้นตามลำดับ ประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในเรื่องความเรียบร้อยทางการเมือง นอกจากนี้การทำงานของหน่วยงานความมั่นคงทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กอ.รมน. เรามีการทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี ทำให้การทำงานมีเอกภาพมากขึ้น
ส่วนการที่รัฐบาลเตรียมจะแก้ไขกฎหมายโดยเฉพาะพรบ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหมจะทำให้เกิดปัญหาอะไรปีหน้าหรือไม่ว่า หากให้กองทัพมีบุคลากรที่มีคุณภาพเพราะที่ผ่านมากองทัพเราพิจารณาในเรื่องอาวุโส แต่ในบางมาตราที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะให้มีอำนาจในเรื่องรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี เพราะถือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ก็ต้องมาดูกันว่าความเหมาะสมเรามีการแก้ไขก็จะทำให้เกิดเอกภาพในการปรับย้ายขอกองทัพ เพราะไม่มีใครจะรู้อะไรได้ดีเท่าคนในกองทัพ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำกันอย่างไร แต่โดยสรุปภาพรวมจะแก้หรือไม่แก้ผลประโยชน์สูงสุดจะต้องเกิดกับประเทศชาติ เกิดกับกองทัพและประชาชนจะต้องมีผลประโยชน์มากที่สุด
**ปปช. แจงสอบ"คดี91 ศพ "เสร็จปี55
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการสลายการชุมนุม กลุ่มนปช. มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า ขณะนี้ป.ป.ช.ได้ขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติม กรณีของผู้เสียชีวิตจำนวน 16 ศพ ที่มีการตรวจพบว่าอาจเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ เพราะก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งข้อมูลว่าการเสียชีวิต 13 ศพ เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ และส่งเพิ่มเติมอีก 3 ราย จึงต้องมีการรวบรวมข้อมูลและต้องรอศาลไต่สวนด้วยว่าทั้ง 16 ศพ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือไม่
ทั้งนี้อาจต้องเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ชันสูตรศพ มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมรวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มาให้ข้อมูลด้วย เพราะขณะนี้ยังขาดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้สั่งการ สายงานการสั่งการ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ระหว่างที่มีผู้เสียชีวิต เนื่องจากข้อมูลในขณะนี้มีการตรวจสอบพบว่าอาจเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุว่าเจ้าหน้าที่ ในส่วนใดและใครเป็นผู้รับผิดชอบ ที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้ขอข้อมูลจากทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน ทั้งนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง เป็นต้น รวมถึงคนเสื้อแดงคนอื่น ๆ และเจ้าหน้าที่ทหารด้วย รวมแล้วหลายร้อยปาก แต่เท่าที่เรียกพยานมาต่างให้การว่ามีชายชุดดำเข้ามายิงประชาชนทั้งนั้นเลย ไม่มีใครชี้ว่าถูกเจ้าหน้าที่ยิง เพราะคนถูกยิงก็ตายแล้ว ดังนั้นจึงขาดข้อมูลว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ระหว่างเกิดเหตุเป็นอย่างไร พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ของหน่วยใด กองกำลังอะไรที่ยิงประชาชน เป็นต้น
นายวิชา กล่าวต่อว่า เรื่องดังกล่าวต้องแล้วเสร็จภายในปีนี้อย่างแน่นอน และป.ป.ช.ไม่ได้ทำงานแบบเลือกปฏิบัติเช่นเดียวกับคดี 7 ต.ค. 2551 ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากในคดี 7 ต.ค. มีพยานหลักฐานชัดเจนจึงทำให้การทำงานรวดเร็ว การตรวจสอบของป.ป.ช.จะไม่ยืดเยื้อและจะทำงานด้วยความชัดเจน รอบคอบ และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
วานนี้ (2 ม.ค.)นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวถึงกรณีที่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานพรรคเพื่อไทย เสนอวิธีปรองดองด้วยการหยุดไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และให้ใช้วิธีกักบริเวณเหมือนนางออง ซาน ซูจี ว่า นายเสนาะคงแกล้งตีมึนเพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ หรืออาจจะไม่เข้าใจข้อเท็จจริงที่มีสาเหตุของปัญหาต่างกันระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ กับนางออง ซาน ซูจี
“นางออง ซาน ซูจี เป็นนักโทษการเมืองเพราะเป็นนักประชาธิปไตยที่ถูกรัฐบาลเผด็จการทหารของพม่าจับกุม และกักบริเวณไว้ เพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นนักโทษในคดีอาญา ต้องคำพิพากษาโดยกระบวนการยุติธรรมไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณก็ได้สิทธิต่อสู้ในชั้นศาลเฉกเช่นบุคคลทั่วไปมาแล้ว แต่เมื่อศาลพิพากษาว่าผิดพ.ต.ท.ทักษิณกลับหลบหนีไม่ยอมรับคำพิพากษาใดๆ ซ้ำร้ายยังโจมตีกระบวนการยุติธรรมไทยว่าไม่มีความยุติธรรม ฉะนั้นข้อเสนอกักบริเวณพ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นไปไม่ได้ และไม่มีบทลงโทษในระบบกฎหมายไทยที่ให้กักบริเวณนักโทษในคดีอาญา”
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายเสนาะบอกว่าให้ทุกฝ่ายหยุดไล่ล่า นั้นนายเสนาะก็ต้องชี้แจงให้ชัดว่าใครไล่ล่า เพราะในขณะนี้เป็นยุคสมัยของรัฐบาลน้องสาว และครม.ทั้งคณะก็ขึ้นอยู่กับพ.ต.ท.ทักษิณ แม้แต่รัฐบาลที่แล้วซึ่งเป็นขั้วตรงกันข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เห็นมีการไล่ล่าใดๆ ในทางตรงกันข้ามคนไทยจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าสังคมไทยกำลังถูกคุกคามจาก พ.ต.ท.ทักษิณยาวนานเกินไปแล้ว เมื่อไหร่จะหยุดซักที นายเสนาะควรจะพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กลับเข้ามารับโทษและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะนี่เป็นจุดเริ่มต้นเดียวของการนับหนึ่งกระบวนการปรองดองและสมานฉันท์
**รัฐบาล-เพื่อไทยแก้รธน.แน่
นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายเสนาะ เทียนทอง ออกมาค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ( รธน. )50 ว่า ยังไม่ถึงเวลาและอาจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในพรรคเพื่อไทยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 50 ต้องดำเนินการแน่นอนเพราะรัฐบาลชุดนี้ได้แถลงเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาไปแล้ว ซึ่งจะต้องเดินตามนั้นตามที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภาไว้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ ว่า จะดำเนินการอย่างไรมีการตั้งส.ส.ร.ขึ้นมาร่างและจะทำประชามติก่อนหรือหลัง เป็นเรื่องกระบวนการที่ต้องหารือกันในพรรค ว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่เป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาของประเทศได้ โดยตนเชื่อว่าจะไม่เกิดความขัดแย้งขึ้น หากมีการพูดคุยกันในระดับผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค มั่นใจว่านายเสนาะ จะเข้าใจหลังจากพูดคุยกับแกนนำพรรคแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายเสนาะ เสนอให้กักบริเวณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหากต้องการเดินทางกลับประเทศไทยปี 55 เหมือนนางอองซาน ซูจี นักโทษการเมืองประเทศพม่า นายวิทยา กล่าวตนยังไม่ทราบเรื่องนี้เลยคาดว่าเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ของพรรคต้องหารือกัน
**บัญญัติ"แนะชะลอแก้ รธน.-นิรโทษฯ
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การเมืองไทย ภายในปี 2555 ว่า เห็นได้ชัดจากฉายาของรัฐบาลในปีนี้ ทั้งทักษิณส่วนหน้า กุมารทองคะนองศึก ปึ้งเป้าเป๊ะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยากแนะนำให้รัฐบาลชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเอาไว้ก่อน รวมทั้ง ชะลอพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมด้วย และให้ตั้งใจแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างจริงจัง รวมถึง ต้องมีแผนการที่ชัดเจนในการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกคนว่า น้ำจะไม่ท่วมภายในปีนี้ และต้องอย่าให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการต่าง ๆ ซึ่งหากทำได้จะเป็นการชะลอไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง หรือ อาจจะไม่เกิดขึ้นได้
**หนุนทำประชามิตสสร.3
นายบัญญัติ ยังกล่าวถึง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวเห็นว่า การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ควรนำตัวแทน ผู้ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี2550 รวมทั้ง ภาควิชาการ เอกชน เข้าไปมีส่วนร่วม และฝ่ายการเมือง ควรมีอยู่ด้วย แต่ให้เป็นเพียงเสียงส่วนน้อยเท่านั้น จากนั้น จึงทำประชามติ พร้อมทำความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจถึงกฎเกณฑ์กติกา ที่มาของ สสร. ว่า มีความสำคัญอย่างไรในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งควรที่จะใช้เวลา 3 เดือน ในการทำเรื่องดังกล่าว ถ้าหากทำได้ก็จะทำให้เกิดความปรองดอง และถ้ารัฐบาลพูดเรื่องนี้ให้ชัด อุบัติเหตุทางการเมือง และความขัดแย้ง ก็จะไม่เกิดขึ้น
นายบัญญัติ เป็นห่วงในปีหน้า หากรัฐบาลมีการเดินหน้าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อย่างเต็มที่ จะเป็นชนวนที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย และหากยังดึงดันจะแก้มาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์รักษาสถาบัน ถ้าทำเรื่องดังกล่าวจริง จะเป็นการสร้างความขัดแย้งให้เกิดมากขึ้น และจะเป็นการซ้ำเติมประเทศที่บอบช้ำมาจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
**ชทพ.วอน"คณิต"ใจกว้าง
นายวัชระ กรรณิกา โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ระบุว่านายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ออกมาแสดงความเห็นว่าไม่ควรแตะต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งตนขอชี้แจงว่าสิ่งที่นายบรรหารพูดนั้น พูดในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่จงรักภักดี ไม่อยากเห็นใครล่วงละเมิดสถาบันสูงสุดของประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นที่นายคณิต เข้าใจโดยง่าย ขณะเดียวกันนายบรรหารก็พูดในสถานภาพที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อหน้าพระพักตร์ เป็นการพูดในมุมมองของความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า และการทักท้วงเพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมได้ ซึ่งนายคณิตอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งนายบรรหารไม่ได้เจาะจงที่คอป.โดยตรง แต่พูดโดยหลักการว่าไม่เห็นด้วยและไม่เหมาะสม เป็นการท้วงติงและโดยหลักการหากคนไทยไม่เอาด้วยก็ไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดเลย
โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวอีกว่า เมื่อนายคณิตปวารณาตัวที่จะทำให้ประเทศปรองดอง ก็ต้องมีความใจเย็นและใจกว้าง ซึ่งพวกเราก็ชื่นชมคอป. แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องเปิดหูรับฟัง และหากเรื่องนี้มีการเสนอให้มีการแก้ไขไม่ว่าจะเป็นใครหรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคชาติไทยพัฒนาก็มีความชัดเจนและมีจุดยืนที่จะคัดค้าน
**"วิชา"ค้าน พท.แก้ ม.112
นายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญปี 50 กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทยที่จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ แต่ต้องสอบถามความเห็นของประชาชน และแก้ไขในส่วนที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวม
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน
**อ.จุฬาฯไม่เห็นด้วยตั้งส.ส.ร.แก้รธน.
ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกัา เดิมทีไม่เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญในทันที แต่ควรที่จะมีการตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษา ข้อดี ข้อด้อย หรือ ศึกษาว่า รัฐธรรมนูญ ทั้งของปี 2540 และ 2550 ว่า จุดไหนดี จุดไหนเด่น จุดไหนด้อย เพราะบางครั้งคนที่ตีความบทบัญญัติของกฎหมาย อาจจะเป็นปัญหาเองก็ได้ และชี้แจงหลักการและเหตุผลให้ได้ก่อน จึงจะมีการแก้ไข แต่หากจะเริ่มแก้ไขด้วยการตั้ง ส.ส.ร.3 ขึ้นมาทันที โดยไม่ศึกษาก่อนนั้น ถือว่า ไม่ถูกต้อง
**จับตาคน 111ใครยังจะอยู่
ศ.ดร.นันทวัฒน์ ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มในการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลว่า ไม่ขอออกตัวว่า กระทรวงไหน ควรปรับเปลี่ยนบ้าง แต่เสนอแนะว่า รัฐบาลควรที่จะหาตัวบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านนั้น ๆ เฉพาะทางมาดูแลในแต่ละกระทรวง หรือ เข้าใจปัญหาของแต่ละกระทรวงเป็นอย่างดีมาแก้ปัญหา เพราะหากในตำแหน่งต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานได้ นายกรัฐมนตรี ก็จะทำงานลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ค่อยจะมีบทบาทภาวะผู้นำอย่างปัจจุบัน
ส่วนกรณีที่หลายฝ่าย ระบุว่า เวลานี้มีนักการเมืองที่มีคุณภาพน้อย ต้องรอบ้านเลขที่ 111 กลับมานั้น ก็ไม่จริงเสมอไป เพราะมองว่าในจำนวนนั้นบางส่วนก็มีปัญหากับพรรค บางส่วนก็ประกาศตัวไม่ยุ่งกับการเมืองไปแล้ว ดังนั้น ต้องรอดูว่า ใครที่จะกลับมาจริง ๆ และจะทำงานได้จริงหรือไม่ หลังจาก เว้นวรรคไปนานถึง 5 ปี
**สมศักดิ์เชียร์ “ ชทพ.” คุมก.พลังงาน
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองตอนนี้ว่า รัฐบาลต้องเร่งทำการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้เป็นรูปธรรมก่อน เพราะอุทกภัยครั้งแรกคนยังทำใจได้อยู่ แต่ครั้งที่ 2 อย่างน้อยๆต้องมีแผนที่ชัดเจนทั้งการหาเงินการมีแผนงานการใช้บุคลากร การจะปรับเปลี่ยนเป็นกระทรวงน้ำหรือจะทำอย่างไรก็ก็ว่ากันไป แต่หากให้มีเงินมาทำจริงจะทำให้ประชาชนมีความหวัง เมื่อถามว่ากระทรวงน้ำมีความจำเป็นหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้แต่ถ้าไม่มี ต้องมีรองนายกรัฐมนตรีมาดูแลในเรื่องนี้เป็นประธานมาบูรณาการเรื่องน้ำให้จริงจัง แต่เห็นว่าถ้ามีกระทรวงน้ำอยากให้นายกรัฐมนตรีควบกระทรวงน้ำ จะได้ดำเนินการอย่างจริงจังเสียที เคยให้ความเห็นไว้ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ ซึ่งมีกรมชลประทานอยู่ในสังกัด แล้วให้พรรคเล็กไปดูกรมชลประทาน คงไปไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่ให้เงินสนับสนุนพิเศษมันจะขับเคลื่อนไปได้ลำบาก เรื่องน้ำต้องขับเคลื่อนด้วยการใช้เงินสนับสนุนพิเศษ กระทรวงเกษตรฯไม่เคยได้พรรคใหญ่ มีแต่พรรคเล็กเวลามีงบมาก็ไม่ได้รับมากหนัก ถ้าพรรคใหญ่เป็นก็ใส่งบได้เต็มที่ พรรคเล็กๆก็ไปอยู่กระทรวงที่ไม่ต้องใช้งบประมาณเช่นกระทรวงพลังงาน ตนขอแนะนำว่า ให้ผู้นำรัฐบาลนำกระทรวงพลังงานมาแลกกับ นายบรรหาร ศฺิลปอาชา ซึ่งคิดว่านายบรรหารคงไม่รังเกียจ เพราะกระทรวงพลังงานมีเรื่องอื่นๆต้องทำเยอะที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก
ส่วนเรื่องสมาชิก 111 ที่จะปลดล๊อคนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอบใจสื่อมวลชนที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ดูแล้วสื่อไม่ค่อยสัมภาษณ์รัฐมนตรี อาจจะกลัวผิด ถ้ามือเก่าๆเขาจะรู้ว่าอะไรพูดได้เราต้องเห็นใจคนใหม่ๆด้วย นักการเมืองบางคนก็ชอบพูดเรื่องการเมืองเพราะไม่ต้องเตรียมตัว ตนอยากให้นักการเมืองพูดในเรื่องงานมากกว่าว่าจะมีการพัฒนางานไปอย่างไรประชาชนจะได้ประโยชน์ เรื่องการเมืองก็ให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย2-3 คนพูดจะดีกว่า จะได้ชัดเจน ดูจากหน้าสื่อไม่มีเรื่องงานกันเลย อาจจะเพราะเรื่องต้องเตรียมตัว ต้องเข้าใจถึงจะออกมาพูดได้ กลัวถูกปรับแต่ไม่อ่านตำราเลยหรือไม่.
**“วัชระ”อัด”เทพไท”วิพากษ์”เติ้ง”
นายวัชระ กรรณิกา โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา แถลงตอบโต้นายเทพไท เสนพงษ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ วิจารณ์นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา มีความลำเอียง ให้คะแนนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 8 เต็ม 10 และให้คะแนนความเป็นสตรีเพศอีก 1 คะแนนนั้นเห็นว่า นายเทพไทพูดในทำนองกล่าวหาว่าพรรคลำเอียงหรือต้องการเอาใจ มีความคิดเข้าข้างรัฐบาล และต้องการเอาใจเพราะเกรงว่าจะกระทบต่อการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้อาจจทำให้ประชาชนมีความเข้าใจผิดและถือเป็นการดูหมิ่นพรรคชาติไทยพัฒนา โดยขอชี้แจงว่า จากการให้สัมภาษณ์ของนายเทพไท เป็นการพูดจาเพ้อเจ้อ ห่างไกลข้อเท็จจริง
การพูดของนายบรรหารเป็นการให้คะแนนความขยัน อดทน การทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาอย่างไม่ย่อท้อ และตรงกับความคิดเห็นของประชาชน เพราะที่ผ่านมาโพลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโพลที่รักหรือเกลียดนายกรัฐมนตรี มีผลสำรวจใกล้เคียงกับการให้คะแนนของนายบรรหาร การพูดของนายบรรหารนั้นก็เป็นการพูดของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่ต้องการให้กำลังใจในการทำงาน
"นายเทพไทควรพูดให้เครดิตคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ดิตเครดิตอย่างเดียวทำให้ทั้งตัวนายเทพไทเองและพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่มีเพื่อนฝูง ซึ่งอยากเตือนนายเทพไท การพูดของนายบรรหารเป็นการพูดในฐานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง มองการทำงานของคนที่เป็นนายกฯ ด้วยกัน ฉะนั้นนายบรรหารจึงมีสิทธิให้คะแนนโดยสุจริต แต่นายเทพไทไม่เคยเป็นนายกฯ เป็นแค่ส.ส. ชั้นยังไม่ถึงที่จะมาพูดจาในเรื่องนี้ ซึ่งควรปล่อยให้สังฆราชสนธนาธรรมกัน เณรน้อย สัปเหร่อ อย่ายุ่ง เพราะจะเสียรังวัด
นายเทพไทควรศึกษาวิชาการพูดจากน.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ว่าพูดอย่างไรถึงได้เป็นดาวเด่นในสภา หรือปรึกษานายชวนนท์ อินทรโกมาลสุตย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีอายุห่างกันเป็น 10 ปี ว่าพูดอย่างไรถึงมีตำแหน่งในพรรค ไม่ลอยเคว้งคว้าง ย้ำพรรคไม่ได้กลัวถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี เรื่องนี้น่าสมเพชไปอยู่ที่ไหนมา พรรคได้ตอบโต้ทุกประเด็นในเรื่องนี้ไปแล้ว ถ้าพรรคกลัวจริงสู้อยู่เงียบๆ เอาใจไม่ดีกว่าหรือ เราท้าทายมาโดยตลอด ถ้าเราผิดหรือบกพร่องก็โชว์หลักฐานมาเลย พรรคชาติไทยพัฒนามีศีกดิ์ศรี ไม่ได้คิดโง่ๆ ไม่ได้ดื้อด้านแต่มีผลงาน” นายวัชระ กล่าว
โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวอีกว่า ผลงานรัฐมนตรีของพรรคนั้น สามารถดูได้จากผลโพล โดยรัฐมนตรีทั้ง 2 กระทรวงติด 5 อันดับแรก ดีกว่ารัฐมนตรีอีกหลาย 10 กระทรวง หรือแม้แต่การที่อยู่กับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก่อนหน้านี้ ผลงานก็ดีกว่ารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์หลายคน ดังนั้นการให้คะแนนของนายบรรหารเป็นการให้คะแนนด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะแม้แต่ช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี นายบรรหารก็ให้คะแนนแบบนี้เหมือนกัน ทั้งนี้หากนายเทพไทและพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการที่จะยังมีเพื่อนอยู่นั้น ก็ต้องลืมคำว่าดิสเครดิต หรือถ้าพูดอย่างนี้ก็ลืมคำว่าปรองดองได้เลย
**ปูเที่ยวทะเล 3 วันกับครอบครัว
วันเดียวกันบรรยากาศที่บริเวณบ้านพัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายในซอยโยธินพัฒนา 3 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า นายกรัฐมนตรีและครอบครัว พักอาศัยอยู่ในบ้านหรือไม่ เพราะจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณจุดตรวจ ซอยโยธินพัฒนา 3 ของสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว บริเวณหน้าบ้านพักของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า นายกรัฐมนตรี ไม่ได้อยู่ภายในบ้านแล้ว ขณะที่ เจ้าหน้าที่ทหาร ที่ดูแลความเรียบร้อยบริเวณโดยรอบ กลับระบุว่า นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เดินทางออกไปที่ไหน ประกอบกับในวันนี้ นายกรัฐมนตรี ไม่มีกำหนดการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ใด ทำให้ สื่อมวลชนบางส่วน มาติดตามความเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรี บริเวณหน้าบ้านพัก ซอยโยธินพัฒนา 3
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางพร้อมครอบครัว คือ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรส และด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ น้องไปป์ บุตรชาย พักผ่อนที่ต่างจังหวัด เนื่องในวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2555 ระหว่างวันที่ 1 - 3 ม.ค. นี้ โดยนายกฯ ขอหยุดพักผ่อนเป็นการส่วนตัวที่ชายทะเล และไม่ขอเปิดเผยสถานที่
**กห.แจงแก้ไขพรบ.กห.ต้องเหมาะสม
พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงทิศทางการเมืองไทยในปี 2555 ว่า เหตุการณ์ต่างๆน่าจะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพราะเรามีความเข้าใจและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา โดยเฉพาะจากปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมที่ทำให้ทุกคนหันหน้ากลับมาช่วยเหลือ มีความเอื้ออาทรร่วมกัน ช่วยเหลือกัน ทำให้ชำระล้างจิตใจ แม้จะมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ ไม่เข้าใจกันแต่พอเหตุการณ์น้ำจบลง ทำให้ทุกคนมองเห็นว่าทุกคนต่างเอื้ออาทร โดยไม่แบ่งพรรคฝ่ายค้านหรือรัฐบาล หรือเสื้อสีไหนก็แล้วแต่ ดังนั้นตนมองว่าทิศทางในปีหน้าคงจะดีขึ้นตามลำดับ ประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในเรื่องความเรียบร้อยทางการเมือง นอกจากนี้การทำงานของหน่วยงานความมั่นคงทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กอ.รมน. เรามีการทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี ทำให้การทำงานมีเอกภาพมากขึ้น
ส่วนการที่รัฐบาลเตรียมจะแก้ไขกฎหมายโดยเฉพาะพรบ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหมจะทำให้เกิดปัญหาอะไรปีหน้าหรือไม่ว่า หากให้กองทัพมีบุคลากรที่มีคุณภาพเพราะที่ผ่านมากองทัพเราพิจารณาในเรื่องอาวุโส แต่ในบางมาตราที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะให้มีอำนาจในเรื่องรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี เพราะถือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ก็ต้องมาดูกันว่าความเหมาะสมเรามีการแก้ไขก็จะทำให้เกิดเอกภาพในการปรับย้ายขอกองทัพ เพราะไม่มีใครจะรู้อะไรได้ดีเท่าคนในกองทัพ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำกันอย่างไร แต่โดยสรุปภาพรวมจะแก้หรือไม่แก้ผลประโยชน์สูงสุดจะต้องเกิดกับประเทศชาติ เกิดกับกองทัพและประชาชนจะต้องมีผลประโยชน์มากที่สุด
**ปปช. แจงสอบ"คดี91 ศพ "เสร็จปี55
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการสลายการชุมนุม กลุ่มนปช. มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า ขณะนี้ป.ป.ช.ได้ขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติม กรณีของผู้เสียชีวิตจำนวน 16 ศพ ที่มีการตรวจพบว่าอาจเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ เพราะก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งข้อมูลว่าการเสียชีวิต 13 ศพ เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ และส่งเพิ่มเติมอีก 3 ราย จึงต้องมีการรวบรวมข้อมูลและต้องรอศาลไต่สวนด้วยว่าทั้ง 16 ศพ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือไม่
ทั้งนี้อาจต้องเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ชันสูตรศพ มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมรวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มาให้ข้อมูลด้วย เพราะขณะนี้ยังขาดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้สั่งการ สายงานการสั่งการ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ระหว่างที่มีผู้เสียชีวิต เนื่องจากข้อมูลในขณะนี้มีการตรวจสอบพบว่าอาจเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุว่าเจ้าหน้าที่ ในส่วนใดและใครเป็นผู้รับผิดชอบ ที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้ขอข้อมูลจากทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน ทั้งนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง เป็นต้น รวมถึงคนเสื้อแดงคนอื่น ๆ และเจ้าหน้าที่ทหารด้วย รวมแล้วหลายร้อยปาก แต่เท่าที่เรียกพยานมาต่างให้การว่ามีชายชุดดำเข้ามายิงประชาชนทั้งนั้นเลย ไม่มีใครชี้ว่าถูกเจ้าหน้าที่ยิง เพราะคนถูกยิงก็ตายแล้ว ดังนั้นจึงขาดข้อมูลว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ระหว่างเกิดเหตุเป็นอย่างไร พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ของหน่วยใด กองกำลังอะไรที่ยิงประชาชน เป็นต้น
นายวิชา กล่าวต่อว่า เรื่องดังกล่าวต้องแล้วเสร็จภายในปีนี้อย่างแน่นอน และป.ป.ช.ไม่ได้ทำงานแบบเลือกปฏิบัติเช่นเดียวกับคดี 7 ต.ค. 2551 ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากในคดี 7 ต.ค. มีพยานหลักฐานชัดเจนจึงทำให้การทำงานรวดเร็ว การตรวจสอบของป.ป.ช.จะไม่ยืดเยื้อและจะทำงานด้วยความชัดเจน รอบคอบ และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย