วานนี้ (28 ธ.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์กลุ่มกรีน (Green Politics) ในหัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้าการเมืองไทย 2554-55 น้ำลด ไฟลุกท่วม เข้าสู่สภาวะรัฐล่มสลาย” ถึงสังคมการเมืองไทยปี 2554 “ส่งท้ายอำนาจเก่า เข้าสู่อำนาจใหม่” ว่า สถานการณ์สังคมการเมืองไทยตลอดช่วงปี 54 ยังจมอยู่กับวิกฤตของความแตกแยก ขัดแย้ง เผชิญหน้าที่ส่งต่อมาตั้งแต่การล้มครืนของระบอบทักษิณ แม้ครึ่งปีแรกอำนาจจะอยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณ แต่ก็เป็นภาวะเสื่อมถอย จนไม่สามารถรุกคืบจัดระเบียบฝ่ายระบอบทักษิณได้ ซ้ำร้ายความไม่ชอบมาพากลในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐบาลอภิสิทธิ์ เองก็ส่งผลให้ความชอบธรรมของฝ่ายเครือข่ายทักษิณ เติบโตขยายใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ
“หลังเลือกตั้ง 3 ก.ค. อำนาจเปลี่ยนมือกลับไปอยู่ภายใต้การบงการของระบอบทักษิณอีกครั้ง นับหนึ่งของการทวงคืน แก้แค้น แต่ไม่แก้ไข จากระบอบทักษิณ ก็เริ่มต้นอย่างรวดเร็ว เช่น โยกย้ายข้าราชการประจำฝั่งตรงข้าม ขอคืนพาสปอร์ต เปิดแผลรัฐบาลเก่า เป็นต้น”
**“เฉลิม” บทเด่นกลบนายกฯ
ทั้งนี้ ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวิกฤติอุทกภัยที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของคนไทยด้วยกัน ไม่เว้นแม้แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลก็ตาม บวกกับความสามารถของผู้นำอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ขาดภาวะผู้นำอย่างสิ้นเชิง ไร้ซึ่งความรู้ ขาดวิสัยทัศน์ นับวันบทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่แม้เป็นนักการเมืองต้นทุนต่ำ แต่กลับบดบัง จนกลายเป็นนายกฯ ตัวจริง โดยพฤตินัยไปแล้ว
เทศกาลการจัดระเบียบอำนาจเก่าผ่านการโยกย้าย ผู้ว่าฯ ตำรวจ ข้าราชการประจำตามกระทรวงฯ ต่างๆ ผ่านไปแล้ว เหลือเพียงทอดสะพานสมานไมตรีกับกองทัพ เมื่อทุกอย่างนิ่ง เข้าที่เข้าทาง ก็ถึงเวลาส่งท้ายอำนาจเก่า เข้าสู่อำนาจใหม่เต็มระบบ โดยแนวโน้มการเมือง ปี 2555 นั้น นายสุริยะใส เห็นว่า
ประการที่ 1. มิติทางสังคมปีหน้า น้ำลด ไฟลุกท่วม ด้วยเหตุที่ความแตกแยกในสังคมเฉพาะวิกฤตการณ์ทางการเมืองอันเนื่องจากระบอบทักษิณ ยืดเยื้อเรื้อรังมา 6 ปี บวกกับความพิกลพิการของโครงสร้างสังคมไทย ที่เต็มไปด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม อำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองกระจุกตัวที่ส่วนกลาง และคนส่วนน้อยมายาวนาน ส่งผลให้สังคมไทยขาดต้นทุนที่เข้มแข็งพอในการรับมือกับวิกฤติการเมือง วิกฤติสังคม และวิกฤติทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้น
วิกฤตอุทกภัยที่ผ่านมา เป็นการเปลือยประจานสังคมการเมืองไทยว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการ ขาดองค์ความรู้ ขาดศักยภาพในการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล อำนาจจัดการรวมศูนย์และถูกแทรกแซงด้วยผู้มีส่วนได้เสียที่ทรงอิทธิพล ปล่อยให้ประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติ เผชิญชะตากรรมกันตามลำพัง
หลังน้ำลดเข้าสู่ช่วงฟื้นฟู น่าจะเป็นโอกาสของการระดมพลังแผ่นดิน สลายขั้วสลายสี เพื่อตั้งโจทย์ของประเทศร่วมกัน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับวนเวียนอยู่กับวาระทักษิณ หรือ ความใคร่ทางการเมืองของพี่ชาย ทำให้โอกาสการสร้างความปรองดองในสังคมด้วยแผนฟื้นฟูประเทศหลุดมือไป พร้อมกับช่วงน้ำท่วมใหญ่ ที่ศปภ. และรัฐบาล เลือกเยียวยาเฉพาะพื้นที่เสื้อแดง และฐานเสียง จนเสียโอกาสที่จะหลอมรวมความร่วมไม้ร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ปล่อยให้วาระทักษิณ บดบังความตั้งมั่น ความเสียสละ และพลังจิตอาสา ของผู้รักชาติรักแผ่นดิน ปีหน้าสังคมไทยจึงก้าวสู่ ยุคน้ำลด ไฟลุกท่วม ยากที่จะหลีกเลี่ยง
**ส.ส.ร.ปูพรมรับ “แม้ว” กลับบ้าน
ประการที่ 2 มิติทางการเมือง ปีหน้า “จัดหนักวาระทักษิณ” การเมืองเชิงอำนาจและผลประโยชน์ยังเป็นกลไกที่ทรงอานุภาพในการขับเคลื่อนสถานการณ์ความแตกแยกเผชิญหน้าต่อไป ไม่พร้อมปรับปฏิรูปเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ของชาติแต่อย่างใด ซ้ำร้ายการเมืองว่าด้วยเรื่องทักษิณ จะถูกรุกเร่งจากเจ้าของอำนาจตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเกมเร็วเพื่อนิรโทษกรรมความผิดให้กับตัวเอง และบริวาร ภายใต้การเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญที่ใช้ ส.ส.ร. เป็นแค่พิธีกรรมปูทางกลับบ้าน
“อำนาจและผลประโยชน์จะถูกกระชับด้วยระบอบทักษิณอีกครั้ง ภายใต้ประสบการณ์ และบทเรียนที่ผิดพลาดของคุณทักษิณในอดีต เพื่อให้อำนาจอยู่ในมือนานเท่านาน และไปถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง หรือระบอบการปกครองที่ออกแบบกันไว้แล้ว ปีหน้าทั้งปี วาระทักษิณจะถูกจัดหนักในทุกมิติ จากรัฐบาลน้องสาว ด้วยกลเกมสองหน้าจัดวางน้องสาวแค่นายกฯ พิธีกรรม ส่วนไพร่พล มืองาน จะเล่นบททุบโต๊ะตัดสินใจ และพร้อมเป็นหมากเบี้ยรับผิดชอบแทนนายตลอดเวลา” นายสุริยะใส กล่าว
**“กองทัพ” เสียเชิง โดนล้อมคอก
ในขณะที่กองทัพในฐานะผู้พิทักษ์ความมั่นคงของชาติ และราชบัลลังก์จะถูกทอนพลังด้วยผลประโยชน์ งบประมาณจัดซื้ออาวุธ การเมืองจะดำเนินนโยบายล้อมคอกกองทัพ ด้วยนโยบายปราบเว็บหมิ่นฯ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ เพราะต้นเหตุของภาคปฏิบัติการขบวนการล้มเจ้า ไม่ใช่แค่โซเชียลมีเดีย แต่รุกคืบ และขยายตัวปกคลุมกลไกรัฐทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ผ่านปรากฏการณ์รณรงค์แก้ไขกฎมายอาญา มาตรา 112 และปรากฏการณ์อากง ที่ง่ายต่อการอธิบายขยายผลและเข้าถึงชาวบ้าน เรื่องราวเหล่านี้ซึมลึกอยู่ในบทสนทนา และวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนจากระดับบนจนลงไปสู่ระดับล่างเข้มข้นกว่ายุคสมัยที่ถูกคุกคามด้วยภัยคอมมิวนิสต์เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว โดยในระหว่างการจัดระเบียบกองทัพยังไม่ลงตัวขบวนการล้มเจ้าจะปรับกลยุทธ์จากล้มเจ้า เป็นล้อมเจ้าไปพลางๆ ก่อน
**แนะแก้ภัยธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ประการที่ 3 วิกฤตภัยพิบัติ หรือวิกฤตการณ์จากภัยธรรมชาติโดยเฉพาะ ภาวะโลกร้อน อันเกิดจากไคลแมกซ์เชนจ์ สังคมไทยยังต้องลุ้นระทึกต่อ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบทั้งจากปรากฎการณ์ ลานินญา และ พายุสุริยะ ซึ่งปีหน้ามีโอกาสเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ โอกาสเผชิญกับมหาอุทกภัย วาตภัย ยังคงมีต่อ และอาจรุนแรงสร้างหายนะมากกว่าที่เพิ่งผ่านมา ภัยธรรมชาติจึงเปรียบเสมือนแขก หรือผู้มาเยือนที่ไม่มีวันกลับไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติแม้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยาก แต่สังคมก็ต้องมีมาตรการและการบริหารจัดการ เพื่อลดผลกระทบและบรรเทาทุกข์ได้ทันท่วงที ไม่ใช่แค่ผังเมือง และฟลัดเวย์ ที่ต้องขบคิดกันเท่านั้น แต่แผนฟื้นฟูฯ ต้องกล้าคิดเรื่องผังอำนาจ โดยเฉพาะการกระจายอำนาจ ลดการผูกขาดในทุกมิติ เปิดพื้นที่ให้สังคมและประชาชนเข้ามามีสวนร่วมในการจัดการทรัพยากร เพื่อกำหนดทิศทางของการพัฒนาที่สร้างดุลยภาพระหว่างคนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มากกว่าการวิ่งตามก้นต่างประเทศ เท่านั้น
**สุดท้าย “ทักษิณ” ทำชาติล่มสลาย
ประการทึ่ 4 ปฏิรูปประเทศไทย วาระความอยู่รอด แต่ไม่มีเจ้าภาพ ปฏิรูปประเทศไทย กำลังถูกลดทอนเหลือแค่การแก้รัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกัน การปรองดอง ก็วนอยู่กับการนิรโทษกรรมคนๆ เดียว วาระว่าด้วยการปฏิรูปประเทศไทยที่แม้เป็นทางออกเดียว แต่ยังไม่มีเจ้าภาพ ยังเป็นสังคมที่พึงพอใจอยู่กับการเลือกฝั่ง สังกัดฝ่าย ด้วยเหตุดังนี้ วิกฤตการณ์ยังจะคุกคามเล่นงานสังคมไทยในทุกมิติต่อไป อำนาจรัฐที่แม้มาจากการเลือกตั้ง และเสียงข้างมาก จะเข้าสู่จุดเสื่อมถอยทั้งระบบ ฉาก และภาพพจน์ที่ออกแบบกัน มิอาจปิดกั้นตัวตนที่แท้จริงของรัฐบาลได้อีกต่อไป
การลุกฮือของประชาชน ไม่ว่าฝ่ายใดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เนื่องเพราะประชาชนจำนวนมากเข้าสังกัดขั้วค่ายทางการเมือง จนรู้สึกเป็นผู้มีส่วนได้เสียทางการเมืองมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลซึ่งถูกบงการด้วยวาระทักษิณ ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยง ปกปิดหรืออำพรางตัวได้อีกต่อไป การเมืองของมวลชน จะถูกปลุกลุกฮือขึ้นมาเพื่อตัดสินชี้ขาดกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อาจเป็นสงครามการเมือง นำพาชาติเข้าสู่จุดจบ จนเกิดสภาวะรัฐล่มสลายทั้งระบบ การเลือกตั้ง การยุบสภา ปรับคณะรัฐมนตรี หรือทางออกในระบบและกลไกในรัฐธรรมนูญอาจไม่ใช่คำตอบของวิกฤตการณ์ได้อีกต่อไป
“หลังเลือกตั้ง 3 ก.ค. อำนาจเปลี่ยนมือกลับไปอยู่ภายใต้การบงการของระบอบทักษิณอีกครั้ง นับหนึ่งของการทวงคืน แก้แค้น แต่ไม่แก้ไข จากระบอบทักษิณ ก็เริ่มต้นอย่างรวดเร็ว เช่น โยกย้ายข้าราชการประจำฝั่งตรงข้าม ขอคืนพาสปอร์ต เปิดแผลรัฐบาลเก่า เป็นต้น”
**“เฉลิม” บทเด่นกลบนายกฯ
ทั้งนี้ ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวิกฤติอุทกภัยที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของคนไทยด้วยกัน ไม่เว้นแม้แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลก็ตาม บวกกับความสามารถของผู้นำอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ขาดภาวะผู้นำอย่างสิ้นเชิง ไร้ซึ่งความรู้ ขาดวิสัยทัศน์ นับวันบทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่แม้เป็นนักการเมืองต้นทุนต่ำ แต่กลับบดบัง จนกลายเป็นนายกฯ ตัวจริง โดยพฤตินัยไปแล้ว
เทศกาลการจัดระเบียบอำนาจเก่าผ่านการโยกย้าย ผู้ว่าฯ ตำรวจ ข้าราชการประจำตามกระทรวงฯ ต่างๆ ผ่านไปแล้ว เหลือเพียงทอดสะพานสมานไมตรีกับกองทัพ เมื่อทุกอย่างนิ่ง เข้าที่เข้าทาง ก็ถึงเวลาส่งท้ายอำนาจเก่า เข้าสู่อำนาจใหม่เต็มระบบ โดยแนวโน้มการเมือง ปี 2555 นั้น นายสุริยะใส เห็นว่า
ประการที่ 1. มิติทางสังคมปีหน้า น้ำลด ไฟลุกท่วม ด้วยเหตุที่ความแตกแยกในสังคมเฉพาะวิกฤตการณ์ทางการเมืองอันเนื่องจากระบอบทักษิณ ยืดเยื้อเรื้อรังมา 6 ปี บวกกับความพิกลพิการของโครงสร้างสังคมไทย ที่เต็มไปด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม อำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองกระจุกตัวที่ส่วนกลาง และคนส่วนน้อยมายาวนาน ส่งผลให้สังคมไทยขาดต้นทุนที่เข้มแข็งพอในการรับมือกับวิกฤติการเมือง วิกฤติสังคม และวิกฤติทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้น
วิกฤตอุทกภัยที่ผ่านมา เป็นการเปลือยประจานสังคมการเมืองไทยว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการ ขาดองค์ความรู้ ขาดศักยภาพในการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล อำนาจจัดการรวมศูนย์และถูกแทรกแซงด้วยผู้มีส่วนได้เสียที่ทรงอิทธิพล ปล่อยให้ประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติ เผชิญชะตากรรมกันตามลำพัง
หลังน้ำลดเข้าสู่ช่วงฟื้นฟู น่าจะเป็นโอกาสของการระดมพลังแผ่นดิน สลายขั้วสลายสี เพื่อตั้งโจทย์ของประเทศร่วมกัน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับวนเวียนอยู่กับวาระทักษิณ หรือ ความใคร่ทางการเมืองของพี่ชาย ทำให้โอกาสการสร้างความปรองดองในสังคมด้วยแผนฟื้นฟูประเทศหลุดมือไป พร้อมกับช่วงน้ำท่วมใหญ่ ที่ศปภ. และรัฐบาล เลือกเยียวยาเฉพาะพื้นที่เสื้อแดง และฐานเสียง จนเสียโอกาสที่จะหลอมรวมความร่วมไม้ร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ปล่อยให้วาระทักษิณ บดบังความตั้งมั่น ความเสียสละ และพลังจิตอาสา ของผู้รักชาติรักแผ่นดิน ปีหน้าสังคมไทยจึงก้าวสู่ ยุคน้ำลด ไฟลุกท่วม ยากที่จะหลีกเลี่ยง
**ส.ส.ร.ปูพรมรับ “แม้ว” กลับบ้าน
ประการที่ 2 มิติทางการเมือง ปีหน้า “จัดหนักวาระทักษิณ” การเมืองเชิงอำนาจและผลประโยชน์ยังเป็นกลไกที่ทรงอานุภาพในการขับเคลื่อนสถานการณ์ความแตกแยกเผชิญหน้าต่อไป ไม่พร้อมปรับปฏิรูปเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ของชาติแต่อย่างใด ซ้ำร้ายการเมืองว่าด้วยเรื่องทักษิณ จะถูกรุกเร่งจากเจ้าของอำนาจตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเกมเร็วเพื่อนิรโทษกรรมความผิดให้กับตัวเอง และบริวาร ภายใต้การเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญที่ใช้ ส.ส.ร. เป็นแค่พิธีกรรมปูทางกลับบ้าน
“อำนาจและผลประโยชน์จะถูกกระชับด้วยระบอบทักษิณอีกครั้ง ภายใต้ประสบการณ์ และบทเรียนที่ผิดพลาดของคุณทักษิณในอดีต เพื่อให้อำนาจอยู่ในมือนานเท่านาน และไปถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง หรือระบอบการปกครองที่ออกแบบกันไว้แล้ว ปีหน้าทั้งปี วาระทักษิณจะถูกจัดหนักในทุกมิติ จากรัฐบาลน้องสาว ด้วยกลเกมสองหน้าจัดวางน้องสาวแค่นายกฯ พิธีกรรม ส่วนไพร่พล มืองาน จะเล่นบททุบโต๊ะตัดสินใจ และพร้อมเป็นหมากเบี้ยรับผิดชอบแทนนายตลอดเวลา” นายสุริยะใส กล่าว
**“กองทัพ” เสียเชิง โดนล้อมคอก
ในขณะที่กองทัพในฐานะผู้พิทักษ์ความมั่นคงของชาติ และราชบัลลังก์จะถูกทอนพลังด้วยผลประโยชน์ งบประมาณจัดซื้ออาวุธ การเมืองจะดำเนินนโยบายล้อมคอกกองทัพ ด้วยนโยบายปราบเว็บหมิ่นฯ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ เพราะต้นเหตุของภาคปฏิบัติการขบวนการล้มเจ้า ไม่ใช่แค่โซเชียลมีเดีย แต่รุกคืบ และขยายตัวปกคลุมกลไกรัฐทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ผ่านปรากฏการณ์รณรงค์แก้ไขกฎมายอาญา มาตรา 112 และปรากฏการณ์อากง ที่ง่ายต่อการอธิบายขยายผลและเข้าถึงชาวบ้าน เรื่องราวเหล่านี้ซึมลึกอยู่ในบทสนทนา และวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนจากระดับบนจนลงไปสู่ระดับล่างเข้มข้นกว่ายุคสมัยที่ถูกคุกคามด้วยภัยคอมมิวนิสต์เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว โดยในระหว่างการจัดระเบียบกองทัพยังไม่ลงตัวขบวนการล้มเจ้าจะปรับกลยุทธ์จากล้มเจ้า เป็นล้อมเจ้าไปพลางๆ ก่อน
**แนะแก้ภัยธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ประการที่ 3 วิกฤตภัยพิบัติ หรือวิกฤตการณ์จากภัยธรรมชาติโดยเฉพาะ ภาวะโลกร้อน อันเกิดจากไคลแมกซ์เชนจ์ สังคมไทยยังต้องลุ้นระทึกต่อ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบทั้งจากปรากฎการณ์ ลานินญา และ พายุสุริยะ ซึ่งปีหน้ามีโอกาสเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ โอกาสเผชิญกับมหาอุทกภัย วาตภัย ยังคงมีต่อ และอาจรุนแรงสร้างหายนะมากกว่าที่เพิ่งผ่านมา ภัยธรรมชาติจึงเปรียบเสมือนแขก หรือผู้มาเยือนที่ไม่มีวันกลับไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติแม้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงยาก แต่สังคมก็ต้องมีมาตรการและการบริหารจัดการ เพื่อลดผลกระทบและบรรเทาทุกข์ได้ทันท่วงที ไม่ใช่แค่ผังเมือง และฟลัดเวย์ ที่ต้องขบคิดกันเท่านั้น แต่แผนฟื้นฟูฯ ต้องกล้าคิดเรื่องผังอำนาจ โดยเฉพาะการกระจายอำนาจ ลดการผูกขาดในทุกมิติ เปิดพื้นที่ให้สังคมและประชาชนเข้ามามีสวนร่วมในการจัดการทรัพยากร เพื่อกำหนดทิศทางของการพัฒนาที่สร้างดุลยภาพระหว่างคนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มากกว่าการวิ่งตามก้นต่างประเทศ เท่านั้น
**สุดท้าย “ทักษิณ” ทำชาติล่มสลาย
ประการทึ่ 4 ปฏิรูปประเทศไทย วาระความอยู่รอด แต่ไม่มีเจ้าภาพ ปฏิรูปประเทศไทย กำลังถูกลดทอนเหลือแค่การแก้รัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกัน การปรองดอง ก็วนอยู่กับการนิรโทษกรรมคนๆ เดียว วาระว่าด้วยการปฏิรูปประเทศไทยที่แม้เป็นทางออกเดียว แต่ยังไม่มีเจ้าภาพ ยังเป็นสังคมที่พึงพอใจอยู่กับการเลือกฝั่ง สังกัดฝ่าย ด้วยเหตุดังนี้ วิกฤตการณ์ยังจะคุกคามเล่นงานสังคมไทยในทุกมิติต่อไป อำนาจรัฐที่แม้มาจากการเลือกตั้ง และเสียงข้างมาก จะเข้าสู่จุดเสื่อมถอยทั้งระบบ ฉาก และภาพพจน์ที่ออกแบบกัน มิอาจปิดกั้นตัวตนที่แท้จริงของรัฐบาลได้อีกต่อไป
การลุกฮือของประชาชน ไม่ว่าฝ่ายใดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เนื่องเพราะประชาชนจำนวนมากเข้าสังกัดขั้วค่ายทางการเมือง จนรู้สึกเป็นผู้มีส่วนได้เสียทางการเมืองมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลซึ่งถูกบงการด้วยวาระทักษิณ ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยง ปกปิดหรืออำพรางตัวได้อีกต่อไป การเมืองของมวลชน จะถูกปลุกลุกฮือขึ้นมาเพื่อตัดสินชี้ขาดกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อาจเป็นสงครามการเมือง นำพาชาติเข้าสู่จุดจบ จนเกิดสภาวะรัฐล่มสลายทั้งระบบ การเลือกตั้ง การยุบสภา ปรับคณะรัฐมนตรี หรือทางออกในระบบและกลไกในรัฐธรรมนูญอาจไม่ใช่คำตอบของวิกฤตการณ์ได้อีกต่อไป