ASTVผู้จัดการรายวัน-ครม.ไฟเขียวตั้งกองทุน 3.5 แสนล้านบาทแก้ปัญหาน้ำท่วมถาวร พร้อมเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ นำร่องลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ย้ำเงินช่วยเหลือน้ำท่วมถึงมือผู้ประสบภัยแน่
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (27 ธ.ค.) ได้มีมติให้ตั้งกองทุนวงเงินกว่า 3.5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการในระยะยาว โดยมีบางโครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันที และยังอนุมัติแผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ เช่น ด้านการขยายพื้นที่ปลูกป่าเพื่อสร้างสมดุลเชิงนิเวศ, การสร้างระบบการจัดเก็บน้ำ เช่น การสร้างเขื่อน หรือแก้มลิง, การจัดการด้านผังเมือง และการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุภัยพิบัติที่อาจจะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน ได้เห็นชอบตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) โดยได้มอบหมายให้นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโลโลยี ไปประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศที่จะทำให้รับทราบถึงข้อมูลในแต่พื้นที่ได้อย่างละเอียด ซึ่งในจุดนี้จะมีการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) และยังได้มอบหมายให้นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไปสำรวจโครงการด้านการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยว่าจำเป็นต้องมีการซ่อมและสร้างให้กลับมาเหมือนเดิมในพื้นที่ใดบ้าง รวมถึงให้หลักการในการจัดตั้งหน่วยงานที่จะบริหารจัดการน้ำแบบรวมศูนย์กลางเข้าไว้ด้วยกัน
***ครม.เห็นชอบแผนแม่บทน้ำ
นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกรัฐบาล แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (27 ธ.ค.) ว่า ครม.ได้เห็นชอบแผนที่นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ได้นำเสนอแผนแม่บทและยุทธศาสตร์จัดการน้ำอย่างเป็นระบบ รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ปัญหาวางระบบการแก้ปัญหาน้ำของประเทศอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ1.การบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก และการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำประจำปี 2.แผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้างเดิม หรือตามแผนที่วางไว้แล้ว3.แผนการพัฒนาคลังข้อมูลระบบพยากรณ์และเตือนภัย 4.แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ 5.แผนงานการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรฐานช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่จากการรับน้ำ และ6.แผนงานปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ
ส่วนแผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพการก่อสร้าง ประกอบด้วย4 แผนงานย่อย คือ ปรับปรุงคันกั้นน้ำ อาคารบังคับน้ำ การระบายน้ำ การขุดคลอง ขจัดสิ่งกีดขวางในคูคลอง และเสริมคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริ มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ บริหารจัดการน้ำหลากในพื้นที่ ซึ่งมีการใช้งบประมาณเร่งด่วนที่นำเสนอแผนของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสิ้น 17,126ล้านบาท โดยในปี 2555 งบประมาณจำนวน 12,610 ล้านบาท และปี 2556 จำนวน 4,516 ล้านบาท
***นำร่องลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
นางฐิติมากล่าวว่า สำหรับร่างยุทธศาสตร์ของกยน. ในการบรรเทาพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา จะเป็นลุ่มน้ำแรกที่นำเสนอ ซึ่งมีแนวทางดำเนินการใน 8 ด้าน คือ1.การฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศน์ 2.การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ 3.การบริหารจัดการในพื้นที่ราบลุ่ม 4.แนวทางบริหารจัดการและพัฒนาการใช้ที่ดิน 5.ระบบฐานข้อมูลการพยากรณ์และเตือนภัย 6.กฎหมายรองรับการชดเชยต่อเกษตรกรในพื้นที่รับน้ำหลาก7.มีองค์กรบริหารจัดการน้ำรวมแบบเบ็ดเสร็จ และ8.การสร้างความเข้าใจ การยอมรับ และการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอุทกภัยขนาดใหญ่ของทุกภาคส่วน
***เงินช่วยน้ำท่วมถึงมือผู้ประสบภัยแน่
นางฐิติมากล่าวว่า ในที่ประชุมครม. ได้มีการรายงานผลการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งสำนักงบประมาณได้สรุปผลการดำเนินงานว่า โครงการที่ทำได้ทันทีภายในเดือนม.ค.2555 ในวงเงินที่ผ่านมติครม.ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน 20,110 ล้านบาท ได้จัดสรรงบกลางให้หน่วยงานต่างๆ ไปแล้วเป็นวงเงินทั้งสิ้น 19,237ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ด้านด้วยกัน 1.ด้านการฟื้นฟูคุณภาพชีวิต 1,533.58 ล้านบาท 2.โครงสร้างพื้นฐาน 4,528.56 ล้านบาท และ3.ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม 1,317.55 ล้านบาท ส่วนที่เหลือประมาณ872 ล้านบาท อยู่ในระหว่างการพิจารณาต่อไป
สำหรับอีกโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และครม.เคยมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินไว้แล้ว 40,872.64 ล้านบาท คือ แผนงานที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้พิจารณารายละเอียดร่วมกันและนำเสนอประธานคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) เห็นชอบวงเงิน 9,558.20 ล้านบาท ซึ่งเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 23ธ.ค. และจัดสรรเงินงบกลางให้แล้ว 7,129.37ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ด้านเช่นเดิม คือ 1.ฟื้นฟูคุณภาพชีวิต 4,914.65 ล้านบาท 2.โครงสร้างพื้นฐาน2,120.28 ล้านบาท และ3.ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม 94.43 ล้านบาท คงเหลืออีก 2,428 ล้านบาท โดยเงินที่เหลือนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโครงสร้างด้านพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน
ขณะเดียวกันจะมีแผนงานโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับการขุดลอกคลอง ปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำจำนวน 3,764.84 ล้านบาท โดยสำนักงบประมาณและสศช. ได้พิจารณาร่วมกัน และอยู่ระหว่างการเสนอกยน. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
นอกจากนี้ ครม.ได้รับทราบมติของ กฟย.ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นประธาน ในการพิจารณาแผนฟื้นฟู เยียวยา ซึ่งได้เห็นชอบในหลักการไปแล้ว คือ 1.เห็นชอบโครงการจัดจ้างแรงงานเกษตรกรในหมู่บ้านหรือชุมชนที่ประสบภัยเพื่อฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมสร้างชุมชน หรือเรียกว่า “เวิร์ค ฟอร์ ฟู้ด” ของกระทรวงมหาดไทยกรอบวงเงิน 283.5 ล้านบาท 2.เห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตรปี 2554 กรณีพิเศษเพิ่มเติมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 18,895.91 ล้านบาท และ3.รับทราบผลการหารือตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศ และสภาวิศวกรจัดเตรียมวิศวกรไฟฟ้าในการช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรม
***รายละเอียดแผนการใช้เงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมครม. ได้เห็นชอบตามที่นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ได้เสนอการเตรียมการด้านการเงินเพื่อการลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ ดังนี้ 1.โอนหนี้คงค้างจากการแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงินเมื่อปี 2540 ให้กับกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) และให้ธปท. เป็นผู้บริหารจัดการและชำระหนี้ โดยไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณะ 2.จัดตั้งกองทุนเพื่อสร้างอนาคตประเทศ และเตรียมการกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศให้กับกองทุนฯ บริหารในวงเงินเบื้องต้น 350,000 ล้านบาท 3.แก้ไขพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ธปท.สามารถให้สินเชื่อผ่อนปรนแก่สถาบันการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2554 ในวงเงิน 300,000ล้านบาท
4.ขยายการดำเนินการของกองทุนวายุภักษ์ เพื่อเพิ่มความสามารถของรัฐวิสาหกิจในการระดมทุนเพื่อการลงทุน และลดภาระหนี้สาธารณะของรัฐวิสาหกิจ 5.จัดตั้งกองทุนประกันภัยน้ำท่วม วงเงิน 50,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจประกันภัยของไทย และ6.จัดให้มีระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีความเป็นเอกภาพในการสั่งการ โดยพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานกลางที่มีอำนาจบริหารจัดการและสั่งการที่บูรณาการ ในการเผชิญเหตุกับเหตุการณ์น้ำท่วมทุกกรณีทั้งในยามปกติและยามฉุกเฉิน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจประกันภัยต่อ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการลดความเสี่ยงจากการขึ้นค่าเบี้ยประกันและการ
***รายละเอียด6แผนแก้น้ำท่วม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายละเอียดของแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน6 แผนงาน คือ
1.แผนการบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก ได้มอบหมายให้กรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนและแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศประจำปี 2555 และรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมกยน.ในเดือนม.ค.ปีหน้า
2.แผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพก่อสร้าง ได้เห็นชอบในหลักการและกรอบวงเงินแผนการดำเนินการเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้างจำนวน 17,126 ล้านบาท แยกเป็นดำเนินการในปีงบประมาณ 2555 วงเงิน 12,610 ล้านบาท และปี 2556 วงเงิน 4,516 ล้านบาท ใน 4 แผนงานย่อย ดังนี้ 1.การปรับปรุงคันกั้นน้ำ อาคารบังคับน้ำ ระบบระบายน้ำ 2.การปรับปรุงทางระบายน้ำ ขุดคลอง ขจัดสิ่งกีดขวางในคูคลองและทางระบายน้ำ 3.การเสริมคันกั้นน้ำและการดำเนินการตามแนวพระราชดำริ 4.การเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำและบริหารจัดการน้ำหลากในพื้นที่
3.แผนการพัฒนาระบบคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์และเตือนภัย มอบหมายนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เป็นเจ้าภาพในการจัดทำแผนการพัฒนาระบบคลังข้อมูลร่วมกับกรมแผนที่ทหาร องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (ไจก้า) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และนายรอยล จิตรดอน ให้แล้วเสร็จในเดือนม.ค.ปีหน้า ส่วนแผนปรับปรุงระบบพยากรณ์มอบหมายกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลัก ส่วนแผนปรับปรุงระบบเตือนภัย มอบหมายให้นายปลอดประสพหารือกระทรวงไอซีที (ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ) เพื่อออกแบบวางระบบและติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดให้ครบทุกประตูระบายน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและส่งการระบบปิดเปิดประตูระบายน้ำจากส่วนกลางได้
4แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ มอบหมายกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลัก บูรณาการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯและกระทรวงกลาโหมในการจัดทำแผน โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมและพื้นที่เมือง รวมทั้งปรับปรุงแผนป้องกันฯ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อาจแบ่งเป็นแผนความช่วยเหลือเบื้องต้น แผนบรรเทาความเสียหาย แผนบริหารจัดการน้ำท่วมและน้ำเสีย และอาจจ้างที่ปรึกษาระดับมืออาชีพมาให้การศึกษารายละเอียดเรื่องนี้ได้
5.แผนงานปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นหน่วยงานหลักในการประชุมระหว่างกยน.กับกยอ.เพื่อจัดทำข้อเสนอของแผนงานฯและให้มีคณะกรรมการเฉพาะกิจติดตามการดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ประกอบด้วยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และกระทรวงคมนาคม
6.เห็นชอบในหลักการของร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบูรณการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ส.กยน.) ประสานกับประธานอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ดำเนินการบูรณาการและปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอของร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยฯให้สอดคล้องกับรูปแบบร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืนเพื่อเสนอกยน.และครม.ต่อไป โดยให้รวมสองแผนงานที่ถือว่ามีความเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการไว้ในแผนปฏิบัติการฯ ดังนี้ แผนฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ และแผนสร้างความเข้าใจ การยอมรับ และการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอุทกภัยขนาดใหญ่ของทุกภาคส่วน
***"โกร่ง"ยันปีหน้าน้ำไม่ท่วมหนัก
นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) กล่าวว่า ในปี 2555 ยืนยันว่า แม้ฝนจะตกมากกว่าในปีนี้ แต่ปัญหาอุทกภัยจะไม่เกิดขึ้น และรุนแรงเท่ากับปี 2554 เนื่องจากปัญหาในปีนี้ที่เกิดขึ้น เกิดจากการขาดเอกภาพในหน่วยงานจัดการบริหารน้ำ ที่มีทัศนคติไม่ตรงกัน ทำให้เกิดปัญหา จากทัศนคติเดิมที่เคยมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ขาดแคลนน้ำ ทำให้ต้องมีการกักเก็บน้ำ แต่ในอนาคตอันใกล้จะต้องมีการเปลี่ยนทัศนคติดังกล่าว หากในปีใดมีน้ำมาก ต้องมีการเตรียมแผนรองรับการระบายน้ำเพิ่มเติม ไม่ใช่มีแต่แผนการกักเก็บน้ำเพียงอย่างเดียว รวมถึงจะต้องมีการเตรียมแผนรองรับทั้งการขุดลอกคูคลอง เพื่อรองรับปริมาณน้ำจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้มีการให้ความสำคัญเท่าที่ควร ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว
นอกจากนี้ ในอนาคตภาครัฐต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานที่เข้ามาดูแลและจัดการน้ำอย่างมีเอกภาพ เพื่อให้เกิดการจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นผู้ดูแล รวมถึงตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แทนระบบเดิมก่อนหน้านี้ ที่ขาดการประสานงาน ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าว จะต้องให้แล้วเสร็จก่อนหน้าน้ำในปีหน้า รวมทั้งต้องมีการจัดทำข้อมูลน้ำและลำคลอง ให้เป็นไปตามปัจจุบันมากที่สุด เพื่อนำมาประเมินร่วมกับการบริหารจัดการ ทั้งนี้ เรื่องทั้งหมดได้มีการจัดทำเป็นร่างแผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนไปแล้ว ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมครม. ได้พิจารณาไม่เกินเดือนม.ค.ปีหน้า และจะจัดทำให้เป็นรูปธรรมภายใน 1-2 ปี
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (27 ธ.ค.) ได้มีมติให้ตั้งกองทุนวงเงินกว่า 3.5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการในระยะยาว โดยมีบางโครงการที่สามารถดำเนินการได้ทันที และยังอนุมัติแผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ เช่น ด้านการขยายพื้นที่ปลูกป่าเพื่อสร้างสมดุลเชิงนิเวศ, การสร้างระบบการจัดเก็บน้ำ เช่น การสร้างเขื่อน หรือแก้มลิง, การจัดการด้านผังเมือง และการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุภัยพิบัติที่อาจจะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน ได้เห็นชอบตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) โดยได้มอบหมายให้นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโลโลยี ไปประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศที่จะทำให้รับทราบถึงข้อมูลในแต่พื้นที่ได้อย่างละเอียด ซึ่งในจุดนี้จะมีการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) และยังได้มอบหมายให้นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไปสำรวจโครงการด้านการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยว่าจำเป็นต้องมีการซ่อมและสร้างให้กลับมาเหมือนเดิมในพื้นที่ใดบ้าง รวมถึงให้หลักการในการจัดตั้งหน่วยงานที่จะบริหารจัดการน้ำแบบรวมศูนย์กลางเข้าไว้ด้วยกัน
***ครม.เห็นชอบแผนแม่บทน้ำ
นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกรัฐบาล แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (27 ธ.ค.) ว่า ครม.ได้เห็นชอบแผนที่นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ได้นำเสนอแผนแม่บทและยุทธศาสตร์จัดการน้ำอย่างเป็นระบบ รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ปัญหาวางระบบการแก้ปัญหาน้ำของประเทศอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ1.การบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก และการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำประจำปี 2.แผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้างเดิม หรือตามแผนที่วางไว้แล้ว3.แผนการพัฒนาคลังข้อมูลระบบพยากรณ์และเตือนภัย 4.แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ 5.แผนงานการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรฐานช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่จากการรับน้ำ และ6.แผนงานปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ
ส่วนแผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพการก่อสร้าง ประกอบด้วย4 แผนงานย่อย คือ ปรับปรุงคันกั้นน้ำ อาคารบังคับน้ำ การระบายน้ำ การขุดคลอง ขจัดสิ่งกีดขวางในคูคลอง และเสริมคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริ มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ บริหารจัดการน้ำหลากในพื้นที่ ซึ่งมีการใช้งบประมาณเร่งด่วนที่นำเสนอแผนของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสิ้น 17,126ล้านบาท โดยในปี 2555 งบประมาณจำนวน 12,610 ล้านบาท และปี 2556 จำนวน 4,516 ล้านบาท
***นำร่องลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
นางฐิติมากล่าวว่า สำหรับร่างยุทธศาสตร์ของกยน. ในการบรรเทาพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา จะเป็นลุ่มน้ำแรกที่นำเสนอ ซึ่งมีแนวทางดำเนินการใน 8 ด้าน คือ1.การฟื้นฟูอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศน์ 2.การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ 3.การบริหารจัดการในพื้นที่ราบลุ่ม 4.แนวทางบริหารจัดการและพัฒนาการใช้ที่ดิน 5.ระบบฐานข้อมูลการพยากรณ์และเตือนภัย 6.กฎหมายรองรับการชดเชยต่อเกษตรกรในพื้นที่รับน้ำหลาก7.มีองค์กรบริหารจัดการน้ำรวมแบบเบ็ดเสร็จ และ8.การสร้างความเข้าใจ การยอมรับ และการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอุทกภัยขนาดใหญ่ของทุกภาคส่วน
***เงินช่วยน้ำท่วมถึงมือผู้ประสบภัยแน่
นางฐิติมากล่าวว่า ในที่ประชุมครม. ได้มีการรายงานผลการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งสำนักงบประมาณได้สรุปผลการดำเนินงานว่า โครงการที่ทำได้ทันทีภายในเดือนม.ค.2555 ในวงเงินที่ผ่านมติครม.ไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน 20,110 ล้านบาท ได้จัดสรรงบกลางให้หน่วยงานต่างๆ ไปแล้วเป็นวงเงินทั้งสิ้น 19,237ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ด้านด้วยกัน 1.ด้านการฟื้นฟูคุณภาพชีวิต 1,533.58 ล้านบาท 2.โครงสร้างพื้นฐาน 4,528.56 ล้านบาท และ3.ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม 1,317.55 ล้านบาท ส่วนที่เหลือประมาณ872 ล้านบาท อยู่ในระหว่างการพิจารณาต่อไป
สำหรับอีกโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และครม.เคยมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินไว้แล้ว 40,872.64 ล้านบาท คือ แผนงานที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้พิจารณารายละเอียดร่วมกันและนำเสนอประธานคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) เห็นชอบวงเงิน 9,558.20 ล้านบาท ซึ่งเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 23ธ.ค. และจัดสรรเงินงบกลางให้แล้ว 7,129.37ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ด้านเช่นเดิม คือ 1.ฟื้นฟูคุณภาพชีวิต 4,914.65 ล้านบาท 2.โครงสร้างพื้นฐาน2,120.28 ล้านบาท และ3.ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม 94.43 ล้านบาท คงเหลืออีก 2,428 ล้านบาท โดยเงินที่เหลือนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโครงสร้างด้านพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน
ขณะเดียวกันจะมีแผนงานโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับการขุดลอกคลอง ปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำจำนวน 3,764.84 ล้านบาท โดยสำนักงบประมาณและสศช. ได้พิจารณาร่วมกัน และอยู่ระหว่างการเสนอกยน. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
นอกจากนี้ ครม.ได้รับทราบมติของ กฟย.ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เป็นประธาน ในการพิจารณาแผนฟื้นฟู เยียวยา ซึ่งได้เห็นชอบในหลักการไปแล้ว คือ 1.เห็นชอบโครงการจัดจ้างแรงงานเกษตรกรในหมู่บ้านหรือชุมชนที่ประสบภัยเพื่อฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมสร้างชุมชน หรือเรียกว่า “เวิร์ค ฟอร์ ฟู้ด” ของกระทรวงมหาดไทยกรอบวงเงิน 283.5 ล้านบาท 2.เห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านการเกษตรปี 2554 กรณีพิเศษเพิ่มเติมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 18,895.91 ล้านบาท และ3.รับทราบผลการหารือตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศ และสภาวิศวกรจัดเตรียมวิศวกรไฟฟ้าในการช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรม
***รายละเอียดแผนการใช้เงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมครม. ได้เห็นชอบตามที่นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ได้เสนอการเตรียมการด้านการเงินเพื่อการลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ ดังนี้ 1.โอนหนี้คงค้างจากการแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงินเมื่อปี 2540 ให้กับกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) และให้ธปท. เป็นผู้บริหารจัดการและชำระหนี้ โดยไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณะ 2.จัดตั้งกองทุนเพื่อสร้างอนาคตประเทศ และเตรียมการกู้เงินเพื่อลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศให้กับกองทุนฯ บริหารในวงเงินเบื้องต้น 350,000 ล้านบาท 3.แก้ไขพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ธปท.สามารถให้สินเชื่อผ่อนปรนแก่สถาบันการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2554 ในวงเงิน 300,000ล้านบาท
4.ขยายการดำเนินการของกองทุนวายุภักษ์ เพื่อเพิ่มความสามารถของรัฐวิสาหกิจในการระดมทุนเพื่อการลงทุน และลดภาระหนี้สาธารณะของรัฐวิสาหกิจ 5.จัดตั้งกองทุนประกันภัยน้ำท่วม วงเงิน 50,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจประกันภัยของไทย และ6.จัดให้มีระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีความเป็นเอกภาพในการสั่งการ โดยพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานกลางที่มีอำนาจบริหารจัดการและสั่งการที่บูรณาการ ในการเผชิญเหตุกับเหตุการณ์น้ำท่วมทุกกรณีทั้งในยามปกติและยามฉุกเฉิน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจประกันภัยต่อ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการลดความเสี่ยงจากการขึ้นค่าเบี้ยประกันและการ
***รายละเอียด6แผนแก้น้ำท่วม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายละเอียดของแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน6 แผนงาน คือ
1.แผนการบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก ได้มอบหมายให้กรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนและแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศประจำปี 2555 และรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมกยน.ในเดือนม.ค.ปีหน้า
2.แผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพก่อสร้าง ได้เห็นชอบในหลักการและกรอบวงเงินแผนการดำเนินการเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้างจำนวน 17,126 ล้านบาท แยกเป็นดำเนินการในปีงบประมาณ 2555 วงเงิน 12,610 ล้านบาท และปี 2556 วงเงิน 4,516 ล้านบาท ใน 4 แผนงานย่อย ดังนี้ 1.การปรับปรุงคันกั้นน้ำ อาคารบังคับน้ำ ระบบระบายน้ำ 2.การปรับปรุงทางระบายน้ำ ขุดคลอง ขจัดสิ่งกีดขวางในคูคลองและทางระบายน้ำ 3.การเสริมคันกั้นน้ำและการดำเนินการตามแนวพระราชดำริ 4.การเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำและบริหารจัดการน้ำหลากในพื้นที่
3.แผนการพัฒนาระบบคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์และเตือนภัย มอบหมายนายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เป็นเจ้าภาพในการจัดทำแผนการพัฒนาระบบคลังข้อมูลร่วมกับกรมแผนที่ทหาร องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (ไจก้า) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และนายรอยล จิตรดอน ให้แล้วเสร็จในเดือนม.ค.ปีหน้า ส่วนแผนปรับปรุงระบบพยากรณ์มอบหมายกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลัก ส่วนแผนปรับปรุงระบบเตือนภัย มอบหมายให้นายปลอดประสพหารือกระทรวงไอซีที (ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ) เพื่อออกแบบวางระบบและติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดให้ครบทุกประตูระบายน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและส่งการระบบปิดเปิดประตูระบายน้ำจากส่วนกลางได้
4แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ มอบหมายกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลัก บูรณาการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯและกระทรวงกลาโหมในการจัดทำแผน โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมและพื้นที่เมือง รวมทั้งปรับปรุงแผนป้องกันฯ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อาจแบ่งเป็นแผนความช่วยเหลือเบื้องต้น แผนบรรเทาความเสียหาย แผนบริหารจัดการน้ำท่วมและน้ำเสีย และอาจจ้างที่ปรึกษาระดับมืออาชีพมาให้การศึกษารายละเอียดเรื่องนี้ได้
5.แผนงานปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นหน่วยงานหลักในการประชุมระหว่างกยน.กับกยอ.เพื่อจัดทำข้อเสนอของแผนงานฯและให้มีคณะกรรมการเฉพาะกิจติดตามการดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ประกอบด้วยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และกระทรวงคมนาคม
6.เห็นชอบในหลักการของร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบูรณการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ส.กยน.) ประสานกับประธานอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ดำเนินการบูรณาการและปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอของร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยฯให้สอดคล้องกับรูปแบบร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืนเพื่อเสนอกยน.และครม.ต่อไป โดยให้รวมสองแผนงานที่ถือว่ามีความเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการไว้ในแผนปฏิบัติการฯ ดังนี้ แผนฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ และแผนสร้างความเข้าใจ การยอมรับ และการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอุทกภัยขนาดใหญ่ของทุกภาคส่วน
***"โกร่ง"ยันปีหน้าน้ำไม่ท่วมหนัก
นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) กล่าวว่า ในปี 2555 ยืนยันว่า แม้ฝนจะตกมากกว่าในปีนี้ แต่ปัญหาอุทกภัยจะไม่เกิดขึ้น และรุนแรงเท่ากับปี 2554 เนื่องจากปัญหาในปีนี้ที่เกิดขึ้น เกิดจากการขาดเอกภาพในหน่วยงานจัดการบริหารน้ำ ที่มีทัศนคติไม่ตรงกัน ทำให้เกิดปัญหา จากทัศนคติเดิมที่เคยมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ขาดแคลนน้ำ ทำให้ต้องมีการกักเก็บน้ำ แต่ในอนาคตอันใกล้จะต้องมีการเปลี่ยนทัศนคติดังกล่าว หากในปีใดมีน้ำมาก ต้องมีการเตรียมแผนรองรับการระบายน้ำเพิ่มเติม ไม่ใช่มีแต่แผนการกักเก็บน้ำเพียงอย่างเดียว รวมถึงจะต้องมีการเตรียมแผนรองรับทั้งการขุดลอกคูคลอง เพื่อรองรับปริมาณน้ำจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้มีการให้ความสำคัญเท่าที่ควร ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว
นอกจากนี้ ในอนาคตภาครัฐต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานที่เข้ามาดูแลและจัดการน้ำอย่างมีเอกภาพ เพื่อให้เกิดการจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นผู้ดูแล รวมถึงตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แทนระบบเดิมก่อนหน้านี้ ที่ขาดการประสานงาน ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าว จะต้องให้แล้วเสร็จก่อนหน้าน้ำในปีหน้า รวมทั้งต้องมีการจัดทำข้อมูลน้ำและลำคลอง ให้เป็นไปตามปัจจุบันมากที่สุด เพื่อนำมาประเมินร่วมกับการบริหารจัดการ ทั้งนี้ เรื่องทั้งหมดได้มีการจัดทำเป็นร่างแผนบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืนไปแล้ว ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมครม. ได้พิจารณาไม่เกินเดือนม.ค.ปีหน้า และจะจัดทำให้เป็นรูปธรรมภายใน 1-2 ปี