เก่ง-การุณ โหสกุล Here of the Year
ชั่วโมงนี้ พ.ศ.นี้ คงต้องยอมรับกันว่า ชื่อและชั้นของเจ้าของฉายา “จอมถีบแห่งทุ่งดอนเมือง” อย่าง “นายการุณ โหสกุล” ส.ส.ผู้ทรงเกียรติแห่งพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากพฤติกรรมอัน “ดิบ เถื่อนและถ่อย” ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงท้ายปี
จนหลายคนถึงกับยกตำแหน่ง Here of the Year ให้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ
ยิ่งล่าสุดเมื่อเกิดคดีสังหารสะท้านทุ่งดอนเมือง โดยคนร้ายบุกยิง “นายชุติเดช สุวรรณเกิด” หัวคะแนนของ “นายแทนคุณ จิตต์อิสระ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตดอนเมือง อย่างอุกอาจกลางตลาดต่อหน้าลูกและเมีย รวมถึงชาวบ้านร้านตลาดเป็นจำนวนมากด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ชื่อของนายการุณเข้ามาพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม
เพราะใครๆ ก็รู้ว่า นายการุณคือผู้กว้างขวางและผู้ทรงอิทธิพลแห่งเขตดอนเมือง
ขณะที่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง นายการุณก็ดังสะท้านเมืองอีกคำรบสมกับตำแหน่ง Here of the Year เพราะมีอันต้องคำพิพากษาในคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกายและหมิ่นประมาท “นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายการุณมีความผิดจริง โดยให้จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 12 เดือนและปรับกระทงละ 20,000 บาท รวม 4,000 บาท
เดชะบุญที่ศาลมีเมตตาให้รอลงอาญา ไม่เช่นนั้น นายการุณคงต้องเข้าไปนอนในมุ้งสายบัว
ทั้งนี้ ทั้งสองเหตุการณ์และทั้งสองคดีที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า ทำไมคนเยี่ยงนี้ถึงได้เชิดหน้าชูตากลายเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติของเขตดอนเมืองได้
และที่สำคัญคือ พฤติกรรมของจอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองผู้นี้ ก็ใช่ว่าคนดอนเมืองจะไม่รับรู้ หากแต่รับรู้มาโดยตลอด แต่เขาก็ยังสามารถฝ่าฟันเข้ามาเป็น ส.ส.ได้สำเร็จ ดังนั้น นายการุณจึงไม่ใช่คนธรรมดา แถมยังเป็นส.ส.ที่ทรงอิทธิพลชนิดที่แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยต้นสังกัดรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีจอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองนำชาวบ้านไปพังคันกั้นน้ำจนน้ำเน่าทะลักเข้าคลองประปาจนมีปัญหากับชาวปากเกร็ด
และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่จอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองนำชาวบ้านเข้ารื้อบิ๊กแบ๊กที่เขตดอนเมืองหน้า ศปภ.อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
แถมในคราวที่นารีขี่ม้าขาวลงพื้นที่เขตดอนเมืองไปบิ๊กคลีนนิงหลังน้ำท่วมและพบเจ้าอาวาสวัดดอนเมืองจนสร้างตำนานอันลือลั่น นายการุณยังติดสอยห้อยตามดูแลอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก
ดังนั้นเมื่อเกิดคดีสะเทือนขวัญฆ่านายชุติเดช จึงไม่แปลกใจอะไรที่สังคมจะเชื่อมโยงและต่อจิ๊กซอว์ไปถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
อย่างไรก็ตาม สำหรับความทรงอิทธิพลของนายการุณในพื้นที่ทุ่งดอนเมืองนั้น จัดได้ว่าไม่ธรรมดาชนิดที่ไม่มีใครกล้าหือเพราะรู้ซึ้งถึงสรรพคุณของนายการุณว่าเป็นคนเยี่ยงไร
หากยังจำกันได้กับเหตุการณ์ที่นายการุณถูกชาวบ้านต่อยปากแตกจนเย็บถึง 5 เข็มในช่วงน้ำท่วมทุ่งดอนเมืองที่ผ่านมา คงรู้ซึ้งถึงความเป็นนายการุณได้เป็นอย่างดี
คดีนี้คู่กรณีของนายการุณเป็นชาวบ้านธรรมดาชื่อว่านายฐิติพันธุ์ บุญใหญ่
นายฐิติพันธุ์ให้การว่า ได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนายการุณเพราะไม่พอใจที่นายการุณขี่เจ็ตสกีมาด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่มากระแทกเรือที่ตนเองพายมากับพวกรวม 4 คน จนเรือพลิกคว่ำ ทำให้ทุกคนตกลงไปในน้ำ จากนั้นนายการุณได้ขี่เจ็ตสกีวนกลับมา ก่อนจะมีปากเสียงกันขึ้น ตนทนไม่ไหวจึงชกที่ใบหน้านายการุณ
สุดท้ายนายฐิติพันธุ์ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายนายการุณ และเรื่องก็เงียบหายไปราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในโลกออนไลน์ก็เป็นที่ร่ำลือกันถึงชะตากรรมของนายฐิติพันธุ์ว่า น่าเป็นห่วงไม่น้อย
เช่น ผู้ใช้นามแฝง "คนอยู่ในเหตุการณ์" ระบุว่า "ข่าวจริงบางส่วนครับ ต่อยจริงแต่คงไม่ถึงขนาดเย็บถึง 5 เข็มหรอกครับ ไม่รู้ว่า ไปให้หมอเซ็นรับรองให้หรือเปล่า แต่ชาวบ้าน อ่วมเลย โดนส่งลูกสมุนมารุมยำเละ ตอนนี้ พยายามส่งคนมาไกล่เกลี่ยอยู่"
และผู้ใช้นามแฝง "pp" ระบุว่า "confirm เรื่องนี้ : Couture Jinna อันนี้เรื่องจริงค่ะ ข้างบ้านเพื่อนพี่เองค่ะ เขาเล่าให้ฟังเมื่อเช้า สรุปคือชาวบ้านตาดำๆ ต้องเสียค่าปรับให้คนละ 5,000 ส่วนเก่งลอยนวลไป ตอนนี้ทุกคนก็ต้องย้ายออกนอกพื้นที่ก่อนเพื่อความปลอดภัยแบบสะบักสะบอมค่ะ พวกสั่งให้สามในสี่ถอดเสื้อแล้วเอาเสื้อมามัดแขนด้วยนะคะ แต่อีกคน 1 ใน 4 เป็นผู้หญิง"
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของ “นายการุณ” ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หากไล่เลียงเกียรติประวัติและผลงานออกมาก็คงยาวเป็นหางว่าว
ในต้นปี 2548 “การุณ” โดนศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ปรับเงินนายการุณในความผิด ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2496 ม.27 ฐานลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลบเลี่ยงภาษีศุลกากร เป็นเงินจำนวน 30,254,052 บาท และถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 8 ก.พ. เนื่องจากหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และถูกนำตัวไปควบคุมที่ห้องขังใต้ถุนศาลอาญา ต่อมาญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินย่านดอนเมืองจำนวน 2 แปลงเนื้อที่ 1 ไร่ 84 ตารางวา ราคาประเมิน 4,800,000 บาท มาประกันตัวออกไป
นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน ศาลฎีกายังมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของ “นายการุณ โหสกุล” จากพรรคไทยรักไทย เพราะมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ประกาศยกเลิกใบปริญญาบัตรของผู้สมัครฯ โดยคดีนี้สืบเนื่องจาก “ชัยณรงค์ เทียนมงคล” ผอ.กกต.กทม. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีการะบุว่า กกต.เขต 14 ได้ตรวจพบว่าคุณสมบัติของนายการุณไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.เลือกตั้ง ประกอบรัฐธรรมนูญ ม.107
กล่าวคือ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 48 กกต.เปิดรับสมัครรับเลือกตั้งที่อาคารกีฬาเวสน์ กทม. โดยนายการุณใช้หลักฐานประกอบการสมัครเป็นวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาอื่นๆ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายเลือกตั้ง แต่เนื่องจาก กกต.ได้ประกาศรายชื่อเป็นผู้สมัครแล้ว จึงขออาศัยเหตุดังกล่าวเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของนายการุณ และสุดท้าย ศาลก็มีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าวของนายการุณ
นอกจากนี้ นายการุณยังมีคดีความติดตัวเป็นห่างว่าวในอีกหลายคดีด้วยกัน
เริ่มจากต้นเดือน มี.ค. 48 “การุณ” ถูกกล่าวหาว่าทำร้าย “นางสมศรี ด่าน” หนึ่งในทีมงานของพรรคชาติไทย คู่แข่งในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ก.ที่นางรัชดาวรรณ โหสกุล (อดีต)ภรรยานายการุณลงสมัครในนามของพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้ นางสมศรี ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ดอนเมือง ว่าถูกนายการุณทำร้ายร่างกาย โดย "ถูกเตะเข้าที่แขนซ้าย" จนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งนายการุณยังด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และแม้นางสมศรีจะเข้าไปในรถแล้ว ยังถูกกลุ่มของนายการุณยืนล้อมรถไว้
และราวเดือน มิ.ย. ปีเดียวกัน “การุณ” ก็สร้างวีรกรรม “โชว์ความเป็นลูกผู้ชาย” ด้วยการตบ ถีบ และจิกผม “รัชดาวรรณ เกตุสะอาด” ส.ก.เขตดอนเมือง อดีตภรรยาของเขาที่สนามบิน เพราะไม่พอใจที่นางรัชดาวรรณไม่กลับบ้าน แต่นางรัชดาวรรณไม่กลับ เพราะศาลมีคำสั่งให้ทั้งคู่หย่าขาดกันตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.2548 ที่ผ่านมา
ต่อมา 3 กันยายน 49 “การุณ” พร้อมพวก 5 คน รุมทำร้ายร่างกายชายอายุ 53 ปี ซึ่งเป็นรปภ. โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง โดย รปภ. แจ้งความดำเนินคดีว่า นายการุณพร้อมพวกอีก 5 คน รุมทำร้ายร่างกาย
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 50 “การุณ” ยังตกเป็นผู้ต้องหาทำร้าย พ.ต.ท.บัญชา คล้ายน้อย รอง ผกก. 2 บก.ป. ขณะเข้าไปสืบสวนหาข่าวการเล่นพนันไก่ชน ในสนามชนไก่คลอง 5 หมู่ 14 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51 “การุณ” ก็ได้แผลงฤทธิ์จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ ด้วยการกระโดดถีบและสำรากวาจาอันหยาบคายเข้าใส่ “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กลางสภาอันทรงเกียรติ จนถูกศาลพิพากษาให้ลงทัณฑ์ไปเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ ในวันที่ 28 ต.ค. ปีเดียวกัน “การุณ” ยังได้ขู่เตะ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” ส.ว.กทม. กลางห้องประชุมรัฐสภา อีกด้วย
และเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา “การุณ” ก็ตกเป็นข่าวว่าถูก “น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ “ถีบ!” จนถลา หลังการประชุมสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างรัฐบาลกับกทม. ภายในโรงเรียนฤทธิ์ยวรรณลัย 2 เขตสายไหม ในข้อหา “หมั่นไส้” !!!
เรียกว่า เรื่องของนายการุณล้วนแล้วแต่เป็นไปในทางฉาวโฉ่สมกับฉายาใหม่ล่าสุด Here of the Year อย่างไม่มีใครกล้าเถียงเลยทีเดียว
'เหลิม' อับดุล !ถามอะไรตอบได้ …ตอบได้ ? ยกเว้นเรื่อง “ไอ้ปื้ด”
นับเป็นหนึ่งใน 'หนุ่มเนื้อทอง' ของรัฐบาลเพื่อไทย เนื่องเพราะช่วงนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่มีวลีเด็ดว่า “ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำสิ่งที่กฎหมายห้าม” นั้นเข้าไปมีบทบาททุกที่ มีส่วนร่วมในทุกเรื่อง กับวางท่าโชว์พาวฯ ด้วยลีลาว่ารู้ลึกรู้จริง …รู้ทุกเรื่อง ...อยากรู้อะไรให้ถามเหลิม ?
**รองฯเหลิม ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
เริ่มตั้งแต่คดีคดีปล้นบ้าน 'นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม' ปลัดกระทรวงคมนาคม.ซึ่งรองฯเหลิมออกมา ’ฟันธง“ ก่อนจะจับตัวคนร้ายได้เสียอีกว่า เงินที่ถูกปล้นไปนั้นได้มาจาก ’การทุจริต“ อย่างแน่นอน พร้อมกับบอกว่าจะแฉให้สังคมเห็นกันเป็น ’ฉาก ๆ“ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง
ตามด้วยคดียิงคนสนิทของ 'อี้' แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ที่รองฯเหลิมออกมาสรุปว่า.... แค่ดูจากบาดแผลซึ่งกระสุนถูกยิงจากท้ายทอยทะลุปากก็รู้แล้วว่า 'ไม่ใช่คดีการเมือง' ? แต่น่าจะเป็นความขัดแย้งส่วนตัว ทั้งๆที่ตำรวจเจ้าของคดียังไม่ได้มีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และภรรยาของ 'นายชุติเดช สุวรรณเกิด' ผู้ตายนั้นมั่นใจว่าเป็นเรื่องการเมือง เนื่องจากผู้ตายเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของนักการเมืองใหญ่ในดอนเมือง การที่ย้ายขั้วมาช่วยงานนายแทนคุณก็ทำให้นักการเมืองดังกล่าวไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ต่อด้วยกรณีลอบวางระเบิดที่กองสลากเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งรองฯเหลิมระบุว่าเป็นเรื่องการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยอ้างความเป็นตำรวจเก่าที่ผ่านโรงเรียนสืบสวนของกรมตำรวจมา ทำให้เขารู้ตื้นลึกหนาบางว่าคนที่สั่งวางระเบิดนั้นเป็นกลุ่มที่จ้องล้มรัฐบาล รู้กระทั่งว่าผู้บงการคนหนึ่งมีอักษรย่อ 'ป.ปลา' และอีกคนหนึ่งเป็นโรคพาร์กินสัน มีอักษร 'พ.พาน'
นอกจากนั้นรองฯเหลิมยังออกมาตีปี๊บเขย่าขวัญว่าจะมีการวางระเบิดช่วงปีใหม่นี้ ในลักษณะเดียวกับเหตุระเบิดช่วงปีใหม่ในปี 2550 พร้อมทั้งเข้าไปนั่งประชุมกับตำรวจ สั่งการเสร็จสรรพให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานด้วยความระมัดระวังและเพิ่มความถี่ในการตรวจตรา
“คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในช่วงปีใหม่นี้ ผมจึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตับตาอย่างเข้มงวด โดยเราจะใช้แผนเฝ้าระวังสถานการณ์ช่วงใหม่ เมื่อปี 50 ที่มีระเบิด 10 จุดเป็นต้นแบบ ทั้งลักษณะการวางระเบิด สถานที่เกิดเหตุ และเป้าหมายที่ต้องการ ส่วนเหตุการณ์วางระเบิดที่กองสลากนั้น พบว่าคราวนี้มีกลุ่มคน 4 กลุ่มที่ทำ คือกลุ่มที่เคลื่อนไหวประจำ กลุ่มที่สูญเสียอำนาจ กลุ่มตำรวจที่เคยผูกพันกับพรรคการเมืองบางพรรคแล้วใส่ชุดดำยิงชาวบ้านในเหตุการณ์ชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อเดือน เม.ย.และพฤษภาคม ปี 2553 พอยิง เสร็จก็เปลี่ยนชุดดำใส่ชุดตำรวจ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มนักการเมือง”
ล่าสุด รองฯเหลิมก็ออกมาวางท่าให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้ตัวคนยิง 'เสธ.แดง' พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แดงฮาร์ดคอร์ที่ถูกลอบสังหารในช่วงการชุมนุมที่ราชประสงค์ ว่าเป็นตำรวจยศรองผู้บัญชาการ ซึ่งแฝงตัวเป็นชายชุดดำ และเป็นกลุ่มที่ทำงานภายใต้การสั่งการของนักการเมือง โดยตั้งข้อสังเกตว่าจุดที่ เสธ.แดงถูกยิงเสียชีวิตนั้นเป็นจุดที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หากไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่สมารถเข้าไปได้
เข้าทำนอง “ เหลิมรู้ เหลิมเห็น ถามอะไรตอบได้ ผู้หญิงรู้จัก ผู้ชายรู้จัก ” ศักยภาพเหนือชั้นกว่า 'อับดุล'ตามวิกขายยาที่เด็กๆพากันชื่นชมหลงใหลหลายเท่าตัว
แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีใครตอบได้ว่า รองฯเหลิมรู้ได้อย่างไร ที่สำคัญถ้ารู้ขนาดนี้ทำไมไม่มีการ 'จับกุม' ผู้กระทำผิด
**ชิงผลงาน ผลาญงบ
นอกจากจะเป็น 'เหลิมอับดุล' ที่รู้ไปหมดทุกเรื่องแล้ว เขายังอหังการถึงขั้นเข้าไป 'แย่งซีน' ชิงผลงานจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้มากด้วยบารมีเพราะมีฐานะเป็นถึงพี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร 'นายหญิง' แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า โดยรองฯเหลิมอาศัยตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปตั้งโต๊ะจัดแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่จริงๆแล้วตัวเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการติดตามจับกุมแต่อย่างใด แต่อาศัยความหน้ามึนเข้าไป 'ชุบผลงาน'ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์แม้จะไม่พอใจแต่ก็ต้องเก็บอาการ เพราะเขามานั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ก็ด้วยฝีมือของรองเหลิมฯ ที่เป็นคนวางแผนเขี่ย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนก่อนให้พ้นทาง เพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ได้ขึ้นมานั่งในเก้าอี้นี้แทน
ล่าสุด ร.ต.อ.เฉลิมยังโชว์พาวฯออกโรงขึงขังว่าจะเร่งปราบปรามเว็บฯหมิ่นสถาบันให้สิ้นซาก หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งจาก 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี ให้รับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ของรัฐบาลในการควบคุมปราบปรามเว็บไซท์ผิดกฎหมายจาบจ้วงสถาบัน ในฐานะประธานกรรมการที่มีชื่อเรียกยาวเหยียด ว่า “คณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมาย หรือไม่เหมาะสม ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” แต่สิ่งแรกที่รองฯเหลิมทำหลังประชุมเสร็จหาใช่การสั่งการให้มีการปิดเว็บไซต์ที่ลงบทความหมิ่นเบื้องสูงหรือดำเนินคดีกับผู้ที่ให้ร้ายใส่ความสถาบันแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชงเรื่องเข้า ครม.ขอจัดซื้อเครื่องมือเพื่อบล็อกสัญญาณเว็บไซต์ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบัน ในวงเงินถึง 400 ล้านบาท !
ทันทีที่มีข่าวนี้ออกมาก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งจากประชาชนทั่วไปและผู้คนในสังคมออนไลน์ เพราะวิธีที่ 'ง่าย'และ 'ได้ผล' ที่สุดในการแก้ปัญหากรณีจาบจ้วงเบื้องสูงก็คือการสั่งให้บรรดา 'แกนนำเสื้อแดง' ที่มีสัมพันธ์อันแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกับพรรคเพื่อไทยเลิกปลุกระดมแนวคิดล้มเจ้า ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ แกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นปล่อยให้คนเหล่านี้เดินเกมจาบจ้วงได้ตามอำเภอใจ
**กับภารกิจ 'พาทักษิณกลับบ้าน'
ภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของ ร.ต.อ.เฉลิมก็คือการอาสา 'พาทักษิณกลับบ้าน' ดังนั้นนับแต่เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี 'เหลิมฝั่งธน' ก็เดินเครื่องเต็มที่ นับตั้งแต่แอบชงเรื่องเข้า ครม.เพื่อออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ)อภัยโทษ เพื่อช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษว่าต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และตัดคำแนบท้ายที่เขียนไว้ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ว่า “ผู้ที่จะยื่นของอภัยโทษต้องไม่ใช่นักโทษที่ต้องคดียาเสพติดและคดีคอร์รัปชั่น” แต่เมื่อข่าวรั่วออกมาทำให้เกิดกระแสคัดค้านอย่างหนักจากหลายภาคส่วนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเป็นการกระทำที่ไม่บังควร ครม.ยิ่งลักษณ์จึงรีบพลิกลิ้นดึงเรื่องกลับก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย
เมื่อแผนแรกไม่สำเร็จ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่รอช้าพยายามเดินหน้าผลักดันให้มีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งซึ่งจะสามารถช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้พ้นจากความผิด และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แม้จะมีกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางทั้งจากพรรคฝ่ายค้าน ภาคประชาชนและกลุ่มองค์กรต่างๆ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมก็หาได้ใส่ใจ ยังคงยืนยันว่าจะออก พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ได้ แต่ด้วยลูกไม้ของนักการเมืองเก๋าเกมที่คร่ำหวดในสภามากว่า 20 ปี เขาจึงเล่นแร่แปรธาตุหาทางเลี่ยงบาลีโดยเปลี่ยนไปใช้คำว่า พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อหวังลดกระแสต่อต้าน
ขณะเดียวกัน รองฯเหลิมก็ยังไม่ทิ้งลายในการไล่บี้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างประชาธิปัตย์ โดยงัดเอาคดี '91ศพ' ซึ่งคนเสื้อแดงและนักข่าวต่างชาติถูกฆ่าตายในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อปี 2553 ขึ้นมาปัดฝุ่น โดยจี้ให้นครบาลเรียกให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน)มาสอบปากคำ นอกจากนั้นที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิมยังให้สัมภาษณ์ในลักษณะชี้นำว่าจากการเข้ามากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เพียง 3 เดือน เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า นายฮิโรยูกิ มูราโมโต นักข่าวญี่ปุ่นประจำสำนักข่าวรอยเตอร์ เสียชีวิตจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ และเรื่องนี้เป็นคดีสำคัญระดับประเทศเพราะทางสำนักข่าวรอยเตอร์ที่เป็นต้นสังกัด รวมถึงทูตญี่ปุ่นได้เรียกร้องและกดดันให้เร่งดำเนินการหาตัวคนผิด อีกทั้ง ร.ต.อ.เฉลิมยังอ้างว่ามีข้อมูลว่าชายชุดดำที่ยิงกลุ่มผู้ชุมนุม 91 ศพนั้นเป็นตำรวจจากทางภาคอีสาน ซึ่งมีทั้งระดับนายพล และพันตำรวจเอก ที่เติบโตมาจาก จ.บุรีรัมย์ ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะพุ่งเป้าไปที่ 'คนชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมร' คนเนรคุณในความหมายของ นช.ทักษิณ ชินวัตร
จัดหนัก จัดเต็ม ขนาดนี้ 'ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง' จึงมีผลงานเข้าตากรรมการ โดยเฉพาะในสายตาของ 'นายใหญ่' ที่ตอนนี้มีฐานะเป็นนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น และถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน '3 หนุ่มเนื้อทอง' ของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงในขณะนี้
"ไอ้กี้ร์" หนุ่มเนื้อทอง 2 มาตรฐาน คำว่าผิดไม่อยู่ในสามัญสำนึก!
ถ้าหากจะหยิบยก แกนนำคนเสื้อแดงขึ้นมาสักคนหนึ่งที่เป็นขวัญใจของสาวก แม่ยกคนเสื้อแดง อันดับต้นๆ คงจะต้องมีชื่อของ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำฮาร์ดคอร์ อย่างไม่ต้องสงสัย
เอาแค่ไม่ต้องอื่นไกล วันที่ไอ้กี้ร์โผล่หัวเข้ามอบตัวต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หลังจากมีข่าวว่าหลบหนีไปอยู่ประเทศกัมพูชาตั้งแต่หลังเหตุการณ์คนเสื้อแดงเผาเมืองเมื่อเดือน พ.ค.2553 วันนั้นบรรดาสาวกแม่ยกคนเสื้อแดงก็ได้แห่แหนไปเจอหน้าไอ้กี้ร์กันอย่างเนืองแน่นเลยทีเดียว
ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เมื่อศาลพิเคราะห์แล้วเห็นควรที่จะยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ก็ทำเอาสาวเสื้อแดงรายหนึ่งถึงกับกรีดร้องและเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาจนเจ้าหน้าที่ต้องนำตัวไปปฐมพยาบาล ขณะที่อีกส่วนหนึ่งพากันร่ำไห้เสียใจที่ผู้นำของเขาหมดสิ้นอิสรภาพ ราวกับว่าไอ้กี้ร์เป็นญาติสนิท มิตรสหาย หรือคนในครอบครัวตัวเองติดคุกเองเลยด้วยซ้ำไป ราวกับว่าไอ้กี้ร์สร้างคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองมากมายก่ายกองเสียนี่กระไร
และแล้วสุดท้าย ไอ้กี้ร์ก็ต้องเข้านอนในคุกตามระเบียบ
ทั้งนี้ ความเป็นหนุ่มเนื้อทองของนายอริสมันต์เห็นจะหนีไม่พ้นการที่เขาประกาศและดำรงตัวเป็นแกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้กระทั่งในวันที่ยื่นคำร้องขอประกันตัว เขาก็ยังยืนยันอย่างหนักแน่นว่า เขาไม่ได้ทำความผิด และมิได้สำนึกต่อการกระทำผิดของตัวเอง
"หลังมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ จะขอเข้ามอบตัวและสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่มีผู้ใหญ่หลายคนบอกให้ชะลอการมอบตัว เพราะไม่ได้รับการยืนยันว่าจะปลอดภัย และเกรงว่าจะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย จึงเสียสละไม่กลับมา จะรอจนการเลือกตั้งจบลงด้วยดี และได้รัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย แต่ปรากฏว่าช่วงประสานงานกลับมามอบตัวเกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงรอให้สถานการณ์น้ำแห้งลง และทราบข่าวว่ามี ส.ส.หลายพรรคร่วมเป็นกรรมาธิการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสามัคคี ตนเห็นเป็นโอกาสอันดี และอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดอง จึงเข้ามอบตัว"
"ตลอดเวลาผมเป็นผู้ถูกกระทำ ยืนยันว่าตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผมเป็นคนรักสงบ มีความยุติธรรม ไม่นิยมความรุนแรง เป็นคนเรียบร้อย เที่ยงตรง จะต่อสู้ในกรอบของกฎหมาย พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต่อสู้คดีต่อศาลอย่างไม่ผิดเงื่อนไขในทุกคดี" นายอริสมันต์ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
คำเบิกความต่อศาลของ นายอริสมันต์ เรียกว่าทำเอาละครน้ำเน่าหลังข่าวต้องเรียกพี่ไปเลยทีเดียว เพราะหากประชาชนประเทศนี้ หูไม่หนวก ตาไม่บอดไปหมดประเทศแล้ว ก็ย่อมจะพอจำได้ในสิ่งที่นายอริสมันต์ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับประเทศไทยอย่างเหลือคณานับเกินคำบรรยาย ยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็น 12 มี.ค.2553 ที่เวที จ.อุดรธานี วันนั้น ไอ้กี้ร์ผู้เรียบร้อยและรักสงบ กล่าวว่า "ครั้งนี้จะเป็นการคิดบัญชีรัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกอำมาตย์เฒ่าทั้งหลาย คุณไม่ต้องมาบอกว่าสถานที่สำคัญที่เขาจะไปก่อวินาศกรรม คุณไม่ต้องไปปูดข่าวบอกว่าสถานที่ที่เป็นศาสนสถานของพวกมุสลิม โรงพยาบาลแล้วก็ถนนราชวิถี สะพานข้ามแม่น้ำ โรงพยาบาลศิริราช สนามบิน ทำเนียบ กระทรวงสำคัญๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ ค่ายทหาร บ้านบุคคลสำคัญ และศาลยุติธรรม และองค์กรอิสระ คุณไม่ต้องบอก ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รับรองว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดถึงนี้จะไม่เหลืออยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน”
29 ม.ค. 2553 เวทีหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถ.ราชดำเนิน "ผมได้เขียนสรุปง่ายๆ ว่า ต่อไปนี้การที่จะสู้กับอำมาตย์ จะสู้กับพวกกองทัพที่มันรับใช้อำมาตย์มาทำการปฏิวัติ เราต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง ด้วยสโลแกน ออลฟอร์วัน รวมใจเป็นหนึ่งล้มอำมาตย์ครับ พี่น้องนัดกันคราวหน้าถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปรามไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามา 1 ล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กรุงเทพ เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”
"การสู้ของคนเสื้อแดงแบบง่ายๆ อย่างนี้ บอกให้ทหารได้รับได้ทราบ บอกให้ทหารสุนัขรับใช้อำมาตย์ได้รู้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนเสื้อแดง แม้เลือดหยดแต่หยดเดียวนั่นหมายความว่า กรุงเทพฯ จะเป็นทะเลเพลิงทันที ส่วนต่างจังหวัด จตุพร (พรหมพันธุ์)ได้บอกแล้ว ให้รอฟังข่าวว่า พี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัด ไม่ได้มาไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นทันทีรวมตัวกันที่ศาลากลาง ไม่ต้องรอเงื่อนไข จัดการให้ราพณาสูรเหมือนกัน"
แน่นอน หากใครฟังคำพูดและเฝ้าดูพฤติกรรมของ นายอริสมันต์แล้ว คงจะไม่แปลกใจเลยหากศาลจะอนุมัติหมายจับนายอริสมันต์ ความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการภายในสถานการณ์ฉุกเฉินเข้าข่ายความผิด และ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาตรา 11 (1) และความผิดข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ (รัฐสภา) กักขังหน่วยเหนี่ยว และข่มขู่ โดยบุกรุกรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 53
ต่อมา 6 พ.ค.53 ศาลออกหมายจับ ข้อหาความผิดก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ประทุษร้ายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ ข้อหาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง และศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับ ตามที่ดีเอสไอเสนอ
คงจะกล่าวได้ว่าถึงแม้ระยะเวลาผ่านไปปีเศษ แต่เชื่อว่าคนไทยยังจำพฤติกรรมอันรุนแรงและเลวทรามของอริสมันต์ได้ดี ที่เป็นแกนนำมวลชนคนเสื้อแดงบุกเมืองพัทยาล้มการประชุมผู้นำอาเซียน จนสถานที่ใช้ประชุมได้รับความเสียหาย และทำให้ประเทศไทยเสียภาพพจน์ในสายตาประชาคมโลกดำเนินการปราศรัยปลุกระดมมวลชนทั้งในจังหวัดต่างๆ และใน กทม.ให้เผาบ้านเผาเมือง ภาพการแสดงโรยตัวจากชั้นบนของโรงแรมเพื่อหนีตำรวจอย่างทุลักทุเลก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทย
ขณะเดียวกัน หากจะตอกย้ำถึงความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่ไม่เคยจะมีในกมลสันดานของ นายอริสมันต์แล้ว ก็คงต้องหยิบยกคำสัมภาษณ์ ของนายสิงห์ทอง บัวชุม ทนายของไอ้กี้ร์ ที่ให้สัมภาษณ์แบบหน้าไม่อายว่า "ยอมรับว่าพฤติกรรมของอริสมันต์ที่ดูรุนแรงมีส่วนในส่วนที่ถูกมองว่าฮาร์ดคอร์บางเรื่อง เรื่องคลิปมีผลต่อการให้ประกันตัวหรือไม่ ก็มีส่วน เพราะเรื่องคลิปมีส่วนอยู่โดยเฉพาะที่ดีเอสไอส่งไปที่ศาล แต่เป็นคลิปที่ถูกตัดตอน ไม่ใช่คลิปสมบูรณ์ เป็นคลิปที่ปราศรัยบนเวทีต่างๆ แล้วนำมาต่อกัน ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมวันนี้ศาลได้ให้เหตุผลมาแล้วไม่อยากก้าวล่วง เป็นความผิดร้ายแรง การที่อริสมันต์หนีไปนานกว่าจะมามอบตัว เหตุผลหนึ่งคือกลัวหลบหนี"
ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร... คงต้องกล่าวว่าการเอาสีข้างถูของนายสิงห์ทอง คงจะลืมไปแล้วว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง ย่อมจะทราบดีว่าอะไรคืออะไร คำพูดของทนายไอ้กี้ร์คงจะมีค่าแค่เพียงเอาไว้หลอกคนเสื้อแดงไปวันๆ เท่านั้นเองว่า ที่ต้องถูกดำเนินคดี ต่างๆนานา เพราะไม่ได้รับความยุติธรรม คนเสื้อแดงมันถูกกระทำสองมาตรฐานตลอด
และที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยในเรื่องสองมาตรฐาน ดูเหมือนว่าจะเป็นนายอริสมันต์ที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเสียเฮือกใหญ่มากกว่า เพราะหลังจากที่ต้องตีหน้าตาน่าสงสาร เดินคอตกเข้าคุก ต่างจากตอนทำตัวปากกล้า แสดงอาการเถื่อยถ่อยต่อหน้าสาวกเสื้อแดง ชนิดหน้าเป็นมือหลังมือแล้ว นายอริสมันต์ก็ยังได้สวมวิญญาณอำมาตย์ เพราะชีวิตความเป็นอยู่ในคุกก็ยังไม่วายทำตัวราวกับนักโทษที่ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาหารเรือนจำที่จัดไว้ให้ 3 มื้อ นายอริสมันต์ก็กินไม่ได้ แต่สามารถสั่งพิซซ่า แมคโดนัลด์ มารับประทานได้
อีกทั้งตามปกติ เมื่อผู้ต้องขังถูกส่งตัวมาที่เรือนจำแล้ว จะต้องถูกตัดผมใหม่ หรือกล้อนผมเสียก่อน แต่นายอริสมันต์ ก็ผ่านข้อยกเว้นนี้ไป แถมยังมีการจัดนักโทษหุ่นกำยำมาดูแลมารักขาราวกับว่าเป็นบอดี้การ์ดประจำตัว
ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าใดนัก ที่บรรดานักโทษเสื้อแดงจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะคนที่นั่งเป็นใหญ่เป็นโตในเก้าอี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็เป็น พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย ยี่ห้อคนระบอบทักษิณการันตี แถมหนำซ้ำยังแสดงการเอาอกเอาใจด้วยการจะย้ายผู้ต้องโทษเสื้อแดงไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ด้วยซ้ำไป
กล่าวถึงไอ้กี้ร์ ชั่วโมงนี้ ก็คงได้แต่ต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ในคุกชั่วคราวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งในวันที่ 19 ธันวาคม เวลา 14.00น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก และในวันนั้น ไอ้กี้ร์จะได้ชูกำปั้นทำหน้าหยิ่งผยองออกจากคุก หรือ ได้แต่ทำหน้าตาน่าสงสารเดินคอตกกลับเข้าคุก ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับประทานหญ้าเป็นอาหารเหมือนกับคนเสื้อแดง คงจะรู้สึกยินดีไม่น้อยกับการที่จะได้เห็นไอ้กี้ร์ เดินคอตกทำหน้าเศร้าเดินเข้าตารางอีกรอบ ซึ่งหากดูพฤติกรรมที่ผ่านมาแล้ว น่าจะเหมาะสมกับสิ่งพ่อหนุ่มเนื้อทองคนนี้ได้ก่อกรรมไว้กับประเทศนี้ด้วยประการทั้งปวง
ชั่วโมงนี้ พ.ศ.นี้ คงต้องยอมรับกันว่า ชื่อและชั้นของเจ้าของฉายา “จอมถีบแห่งทุ่งดอนเมือง” อย่าง “นายการุณ โหสกุล” ส.ส.ผู้ทรงเกียรติแห่งพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากพฤติกรรมอัน “ดิบ เถื่อนและถ่อย” ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงท้ายปี
จนหลายคนถึงกับยกตำแหน่ง Here of the Year ให้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ
ยิ่งล่าสุดเมื่อเกิดคดีสังหารสะท้านทุ่งดอนเมือง โดยคนร้ายบุกยิง “นายชุติเดช สุวรรณเกิด” หัวคะแนนของ “นายแทนคุณ จิตต์อิสระ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตดอนเมือง อย่างอุกอาจกลางตลาดต่อหน้าลูกและเมีย รวมถึงชาวบ้านร้านตลาดเป็นจำนวนมากด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ชื่อของนายการุณเข้ามาพัวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม
เพราะใครๆ ก็รู้ว่า นายการุณคือผู้กว้างขวางและผู้ทรงอิทธิพลแห่งเขตดอนเมือง
ขณะที่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง นายการุณก็ดังสะท้านเมืองอีกคำรบสมกับตำแหน่ง Here of the Year เพราะมีอันต้องคำพิพากษาในคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกายและหมิ่นประมาท “นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” อดีต ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายการุณมีความผิดจริง โดยให้จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 12 เดือนและปรับกระทงละ 20,000 บาท รวม 4,000 บาท
เดชะบุญที่ศาลมีเมตตาให้รอลงอาญา ไม่เช่นนั้น นายการุณคงต้องเข้าไปนอนในมุ้งสายบัว
ทั้งนี้ ทั้งสองเหตุการณ์และทั้งสองคดีที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า ทำไมคนเยี่ยงนี้ถึงได้เชิดหน้าชูตากลายเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติของเขตดอนเมืองได้
และที่สำคัญคือ พฤติกรรมของจอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองผู้นี้ ก็ใช่ว่าคนดอนเมืองจะไม่รับรู้ หากแต่รับรู้มาโดยตลอด แต่เขาก็ยังสามารถฝ่าฟันเข้ามาเป็น ส.ส.ได้สำเร็จ ดังนั้น นายการุณจึงไม่ใช่คนธรรมดา แถมยังเป็นส.ส.ที่ทรงอิทธิพลชนิดที่แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยต้นสังกัดรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีจอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองนำชาวบ้านไปพังคันกั้นน้ำจนน้ำเน่าทะลักเข้าคลองประปาจนมีปัญหากับชาวปากเกร็ด
และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่จอมถีบแห่งทุ่งดอนเมืองนำชาวบ้านเข้ารื้อบิ๊กแบ๊กที่เขตดอนเมืองหน้า ศปภ.อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
แถมในคราวที่นารีขี่ม้าขาวลงพื้นที่เขตดอนเมืองไปบิ๊กคลีนนิงหลังน้ำท่วมและพบเจ้าอาวาสวัดดอนเมืองจนสร้างตำนานอันลือลั่น นายการุณยังติดสอยห้อยตามดูแลอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก
ดังนั้นเมื่อเกิดคดีสะเทือนขวัญฆ่านายชุติเดช จึงไม่แปลกใจอะไรที่สังคมจะเชื่อมโยงและต่อจิ๊กซอว์ไปถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
อย่างไรก็ตาม สำหรับความทรงอิทธิพลของนายการุณในพื้นที่ทุ่งดอนเมืองนั้น จัดได้ว่าไม่ธรรมดาชนิดที่ไม่มีใครกล้าหือเพราะรู้ซึ้งถึงสรรพคุณของนายการุณว่าเป็นคนเยี่ยงไร
หากยังจำกันได้กับเหตุการณ์ที่นายการุณถูกชาวบ้านต่อยปากแตกจนเย็บถึง 5 เข็มในช่วงน้ำท่วมทุ่งดอนเมืองที่ผ่านมา คงรู้ซึ้งถึงความเป็นนายการุณได้เป็นอย่างดี
คดีนี้คู่กรณีของนายการุณเป็นชาวบ้านธรรมดาชื่อว่านายฐิติพันธุ์ บุญใหญ่
นายฐิติพันธุ์ให้การว่า ได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับนายการุณเพราะไม่พอใจที่นายการุณขี่เจ็ตสกีมาด้วยความเร็วสูงทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่มากระแทกเรือที่ตนเองพายมากับพวกรวม 4 คน จนเรือพลิกคว่ำ ทำให้ทุกคนตกลงไปในน้ำ จากนั้นนายการุณได้ขี่เจ็ตสกีวนกลับมา ก่อนจะมีปากเสียงกันขึ้น ตนทนไม่ไหวจึงชกที่ใบหน้านายการุณ
สุดท้ายนายฐิติพันธุ์ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทำร้ายร่างกายนายการุณ และเรื่องก็เงียบหายไปราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในโลกออนไลน์ก็เป็นที่ร่ำลือกันถึงชะตากรรมของนายฐิติพันธุ์ว่า น่าเป็นห่วงไม่น้อย
เช่น ผู้ใช้นามแฝง "คนอยู่ในเหตุการณ์" ระบุว่า "ข่าวจริงบางส่วนครับ ต่อยจริงแต่คงไม่ถึงขนาดเย็บถึง 5 เข็มหรอกครับ ไม่รู้ว่า ไปให้หมอเซ็นรับรองให้หรือเปล่า แต่ชาวบ้าน อ่วมเลย โดนส่งลูกสมุนมารุมยำเละ ตอนนี้ พยายามส่งคนมาไกล่เกลี่ยอยู่"
และผู้ใช้นามแฝง "pp" ระบุว่า "confirm เรื่องนี้ : Couture Jinna อันนี้เรื่องจริงค่ะ ข้างบ้านเพื่อนพี่เองค่ะ เขาเล่าให้ฟังเมื่อเช้า สรุปคือชาวบ้านตาดำๆ ต้องเสียค่าปรับให้คนละ 5,000 ส่วนเก่งลอยนวลไป ตอนนี้ทุกคนก็ต้องย้ายออกนอกพื้นที่ก่อนเพื่อความปลอดภัยแบบสะบักสะบอมค่ะ พวกสั่งให้สามในสี่ถอดเสื้อแล้วเอาเสื้อมามัดแขนด้วยนะคะ แต่อีกคน 1 ใน 4 เป็นผู้หญิง"
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของ “นายการุณ” ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หากไล่เลียงเกียรติประวัติและผลงานออกมาก็คงยาวเป็นหางว่าว
ในต้นปี 2548 “การุณ” โดนศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ปรับเงินนายการุณในความผิด ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2496 ม.27 ฐานลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลบเลี่ยงภาษีศุลกากร เป็นเงินจำนวน 30,254,052 บาท และถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 8 ก.พ. เนื่องจากหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และถูกนำตัวไปควบคุมที่ห้องขังใต้ถุนศาลอาญา ต่อมาญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินย่านดอนเมืองจำนวน 2 แปลงเนื้อที่ 1 ไร่ 84 ตารางวา ราคาประเมิน 4,800,000 บาท มาประกันตัวออกไป
นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน ศาลฎีกายังมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของ “นายการุณ โหสกุล” จากพรรคไทยรักไทย เพราะมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ประกาศยกเลิกใบปริญญาบัตรของผู้สมัครฯ โดยคดีนี้สืบเนื่องจาก “ชัยณรงค์ เทียนมงคล” ผอ.กกต.กทม. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีการะบุว่า กกต.เขต 14 ได้ตรวจพบว่าคุณสมบัติของนายการุณไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.เลือกตั้ง ประกอบรัฐธรรมนูญ ม.107
กล่าวคือ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 48 กกต.เปิดรับสมัครรับเลือกตั้งที่อาคารกีฬาเวสน์ กทม. โดยนายการุณใช้หลักฐานประกอบการสมัครเป็นวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาอื่นๆ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายเลือกตั้ง แต่เนื่องจาก กกต.ได้ประกาศรายชื่อเป็นผู้สมัครแล้ว จึงขออาศัยเหตุดังกล่าวเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งของนายการุณ และสุดท้าย ศาลก็มีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าวของนายการุณ
นอกจากนี้ นายการุณยังมีคดีความติดตัวเป็นห่างว่าวในอีกหลายคดีด้วยกัน
เริ่มจากต้นเดือน มี.ค. 48 “การุณ” ถูกกล่าวหาว่าทำร้าย “นางสมศรี ด่าน” หนึ่งในทีมงานของพรรคชาติไทย คู่แข่งในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ก.ที่นางรัชดาวรรณ โหสกุล (อดีต)ภรรยานายการุณลงสมัครในนามของพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้ นางสมศรี ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ดอนเมือง ว่าถูกนายการุณทำร้ายร่างกาย โดย "ถูกเตะเข้าที่แขนซ้าย" จนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งนายการุณยังด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย และแม้นางสมศรีจะเข้าไปในรถแล้ว ยังถูกกลุ่มของนายการุณยืนล้อมรถไว้
และราวเดือน มิ.ย. ปีเดียวกัน “การุณ” ก็สร้างวีรกรรม “โชว์ความเป็นลูกผู้ชาย” ด้วยการตบ ถีบ และจิกผม “รัชดาวรรณ เกตุสะอาด” ส.ก.เขตดอนเมือง อดีตภรรยาของเขาที่สนามบิน เพราะไม่พอใจที่นางรัชดาวรรณไม่กลับบ้าน แต่นางรัชดาวรรณไม่กลับ เพราะศาลมีคำสั่งให้ทั้งคู่หย่าขาดกันตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.2548 ที่ผ่านมา
ต่อมา 3 กันยายน 49 “การุณ” พร้อมพวก 5 คน รุมทำร้ายร่างกายชายอายุ 53 ปี ซึ่งเป็นรปภ. โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง โดย รปภ. แจ้งความดำเนินคดีว่า นายการุณพร้อมพวกอีก 5 คน รุมทำร้ายร่างกาย
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 50 “การุณ” ยังตกเป็นผู้ต้องหาทำร้าย พ.ต.ท.บัญชา คล้ายน้อย รอง ผกก. 2 บก.ป. ขณะเข้าไปสืบสวนหาข่าวการเล่นพนันไก่ชน ในสนามชนไก่คลอง 5 หมู่ 14 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 51 “การุณ” ก็ได้แผลงฤทธิ์จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ ด้วยการกระโดดถีบและสำรากวาจาอันหยาบคายเข้าใส่ “สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กลางสภาอันทรงเกียรติ จนถูกศาลพิพากษาให้ลงทัณฑ์ไปเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ ในวันที่ 28 ต.ค. ปีเดียวกัน “การุณ” ยังได้ขู่เตะ “น.ส.รสนา โตสิตระกูล” ส.ว.กทม. กลางห้องประชุมรัฐสภา อีกด้วย
และเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา “การุณ” ก็ตกเป็นข่าวว่าถูก “น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ “ถีบ!” จนถลา หลังการประชุมสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างรัฐบาลกับกทม. ภายในโรงเรียนฤทธิ์ยวรรณลัย 2 เขตสายไหม ในข้อหา “หมั่นไส้” !!!
เรียกว่า เรื่องของนายการุณล้วนแล้วแต่เป็นไปในทางฉาวโฉ่สมกับฉายาใหม่ล่าสุด Here of the Year อย่างไม่มีใครกล้าเถียงเลยทีเดียว
'เหลิม' อับดุล !ถามอะไรตอบได้ …ตอบได้ ? ยกเว้นเรื่อง “ไอ้ปื้ด”
นับเป็นหนึ่งใน 'หนุ่มเนื้อทอง' ของรัฐบาลเพื่อไทย เนื่องเพราะช่วงนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีที่มีวลีเด็ดว่า “ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำสิ่งที่กฎหมายห้าม” นั้นเข้าไปมีบทบาททุกที่ มีส่วนร่วมในทุกเรื่อง กับวางท่าโชว์พาวฯ ด้วยลีลาว่ารู้ลึกรู้จริง …รู้ทุกเรื่อง ...อยากรู้อะไรให้ถามเหลิม ?
**รองฯเหลิม ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
เริ่มตั้งแต่คดีคดีปล้นบ้าน 'นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม' ปลัดกระทรวงคมนาคม.ซึ่งรองฯเหลิมออกมา ’ฟันธง“ ก่อนจะจับตัวคนร้ายได้เสียอีกว่า เงินที่ถูกปล้นไปนั้นได้มาจาก ’การทุจริต“ อย่างแน่นอน พร้อมกับบอกว่าจะแฉให้สังคมเห็นกันเป็น ’ฉาก ๆ“ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง
ตามด้วยคดียิงคนสนิทของ 'อี้' แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคประชาธิปัตย์ ที่รองฯเหลิมออกมาสรุปว่า.... แค่ดูจากบาดแผลซึ่งกระสุนถูกยิงจากท้ายทอยทะลุปากก็รู้แล้วว่า 'ไม่ใช่คดีการเมือง' ? แต่น่าจะเป็นความขัดแย้งส่วนตัว ทั้งๆที่ตำรวจเจ้าของคดียังไม่ได้มีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และภรรยาของ 'นายชุติเดช สุวรรณเกิด' ผู้ตายนั้นมั่นใจว่าเป็นเรื่องการเมือง เนื่องจากผู้ตายเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของนักการเมืองใหญ่ในดอนเมือง การที่ย้ายขั้วมาช่วยงานนายแทนคุณก็ทำให้นักการเมืองดังกล่าวไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ต่อด้วยกรณีลอบวางระเบิดที่กองสลากเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งรองฯเหลิมระบุว่าเป็นเรื่องการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยอ้างความเป็นตำรวจเก่าที่ผ่านโรงเรียนสืบสวนของกรมตำรวจมา ทำให้เขารู้ตื้นลึกหนาบางว่าคนที่สั่งวางระเบิดนั้นเป็นกลุ่มที่จ้องล้มรัฐบาล รู้กระทั่งว่าผู้บงการคนหนึ่งมีอักษรย่อ 'ป.ปลา' และอีกคนหนึ่งเป็นโรคพาร์กินสัน มีอักษร 'พ.พาน'
นอกจากนั้นรองฯเหลิมยังออกมาตีปี๊บเขย่าขวัญว่าจะมีการวางระเบิดช่วงปีใหม่นี้ ในลักษณะเดียวกับเหตุระเบิดช่วงปีใหม่ในปี 2550 พร้อมทั้งเข้าไปนั่งประชุมกับตำรวจ สั่งการเสร็จสรรพให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานด้วยความระมัดระวังและเพิ่มความถี่ในการตรวจตรา
“คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในช่วงปีใหม่นี้ ผมจึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตับตาอย่างเข้มงวด โดยเราจะใช้แผนเฝ้าระวังสถานการณ์ช่วงใหม่ เมื่อปี 50 ที่มีระเบิด 10 จุดเป็นต้นแบบ ทั้งลักษณะการวางระเบิด สถานที่เกิดเหตุ และเป้าหมายที่ต้องการ ส่วนเหตุการณ์วางระเบิดที่กองสลากนั้น พบว่าคราวนี้มีกลุ่มคน 4 กลุ่มที่ทำ คือกลุ่มที่เคลื่อนไหวประจำ กลุ่มที่สูญเสียอำนาจ กลุ่มตำรวจที่เคยผูกพันกับพรรคการเมืองบางพรรคแล้วใส่ชุดดำยิงชาวบ้านในเหตุการณ์ชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อเดือน เม.ย.และพฤษภาคม ปี 2553 พอยิง เสร็จก็เปลี่ยนชุดดำใส่ชุดตำรวจ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มนักการเมือง”
ล่าสุด รองฯเหลิมก็ออกมาวางท่าให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้ตัวคนยิง 'เสธ.แดง' พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แดงฮาร์ดคอร์ที่ถูกลอบสังหารในช่วงการชุมนุมที่ราชประสงค์ ว่าเป็นตำรวจยศรองผู้บัญชาการ ซึ่งแฝงตัวเป็นชายชุดดำ และเป็นกลุ่มที่ทำงานภายใต้การสั่งการของนักการเมือง โดยตั้งข้อสังเกตว่าจุดที่ เสธ.แดงถูกยิงเสียชีวิตนั้นเป็นจุดที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หากไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่สมารถเข้าไปได้
เข้าทำนอง “ เหลิมรู้ เหลิมเห็น ถามอะไรตอบได้ ผู้หญิงรู้จัก ผู้ชายรู้จัก ” ศักยภาพเหนือชั้นกว่า 'อับดุล'ตามวิกขายยาที่เด็กๆพากันชื่นชมหลงใหลหลายเท่าตัว
แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีใครตอบได้ว่า รองฯเหลิมรู้ได้อย่างไร ที่สำคัญถ้ารู้ขนาดนี้ทำไมไม่มีการ 'จับกุม' ผู้กระทำผิด
**ชิงผลงาน ผลาญงบ
นอกจากจะเป็น 'เหลิมอับดุล' ที่รู้ไปหมดทุกเรื่องแล้ว เขายังอหังการถึงขั้นเข้าไป 'แย่งซีน' ชิงผลงานจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้มากด้วยบารมีเพราะมีฐานะเป็นถึงพี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร 'นายหญิง' แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า โดยรองฯเหลิมอาศัยตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปตั้งโต๊ะจัดแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่จริงๆแล้วตัวเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการติดตามจับกุมแต่อย่างใด แต่อาศัยความหน้ามึนเข้าไป 'ชุบผลงาน'ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์แม้จะไม่พอใจแต่ก็ต้องเก็บอาการ เพราะเขามานั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ก็ด้วยฝีมือของรองเหลิมฯ ที่เป็นคนวางแผนเขี่ย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนก่อนให้พ้นทาง เพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ได้ขึ้นมานั่งในเก้าอี้นี้แทน
ล่าสุด ร.ต.อ.เฉลิมยังโชว์พาวฯออกโรงขึงขังว่าจะเร่งปราบปรามเว็บฯหมิ่นสถาบันให้สิ้นซาก หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งจาก 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี ให้รับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ของรัฐบาลในการควบคุมปราบปรามเว็บไซท์ผิดกฎหมายจาบจ้วงสถาบัน ในฐานะประธานกรรมการที่มีชื่อเรียกยาวเหยียด ว่า “คณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปราบปรามการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดกฎหมาย หรือไม่เหมาะสม ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” แต่สิ่งแรกที่รองฯเหลิมทำหลังประชุมเสร็จหาใช่การสั่งการให้มีการปิดเว็บไซต์ที่ลงบทความหมิ่นเบื้องสูงหรือดำเนินคดีกับผู้ที่ให้ร้ายใส่ความสถาบันแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชงเรื่องเข้า ครม.ขอจัดซื้อเครื่องมือเพื่อบล็อกสัญญาณเว็บไซต์ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบัน ในวงเงินถึง 400 ล้านบาท !
ทันทีที่มีข่าวนี้ออกมาก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งจากประชาชนทั่วไปและผู้คนในสังคมออนไลน์ เพราะวิธีที่ 'ง่าย'และ 'ได้ผล' ที่สุดในการแก้ปัญหากรณีจาบจ้วงเบื้องสูงก็คือการสั่งให้บรรดา 'แกนนำเสื้อแดง' ที่มีสัมพันธ์อันแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกับพรรคเพื่อไทยเลิกปลุกระดมแนวคิดล้มเจ้า ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ แกล้งทำไม่รู้ไม่เห็นปล่อยให้คนเหล่านี้เดินเกมจาบจ้วงได้ตามอำเภอใจ
**กับภารกิจ 'พาทักษิณกลับบ้าน'
ภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของ ร.ต.อ.เฉลิมก็คือการอาสา 'พาทักษิณกลับบ้าน' ดังนั้นนับแต่เข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี 'เหลิมฝั่งธน' ก็เดินเครื่องเต็มที่ นับตั้งแต่แอบชงเรื่องเข้า ครม.เพื่อออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ)อภัยโทษ เพื่อช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะขอพระราชทานอภัยโทษว่าต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และตัดคำแนบท้ายที่เขียนไว้ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ว่า “ผู้ที่จะยื่นของอภัยโทษต้องไม่ใช่นักโทษที่ต้องคดียาเสพติดและคดีคอร์รัปชั่น” แต่เมื่อข่าวรั่วออกมาทำให้เกิดกระแสคัดค้านอย่างหนักจากหลายภาคส่วนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและเป็นการกระทำที่ไม่บังควร ครม.ยิ่งลักษณ์จึงรีบพลิกลิ้นดึงเรื่องกลับก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย
เมื่อแผนแรกไม่สำเร็จ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ไม่รอช้าพยายามเดินหน้าผลักดันให้มีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งซึ่งจะสามารถช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้พ้นจากความผิด และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แม้จะมีกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางทั้งจากพรรคฝ่ายค้าน ภาคประชาชนและกลุ่มองค์กรต่างๆ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมก็หาได้ใส่ใจ ยังคงยืนยันว่าจะออก พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ได้ แต่ด้วยลูกไม้ของนักการเมืองเก๋าเกมที่คร่ำหวดในสภามากว่า 20 ปี เขาจึงเล่นแร่แปรธาตุหาทางเลี่ยงบาลีโดยเปลี่ยนไปใช้คำว่า พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อหวังลดกระแสต่อต้าน
ขณะเดียวกัน รองฯเหลิมก็ยังไม่ทิ้งลายในการไล่บี้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างประชาธิปัตย์ โดยงัดเอาคดี '91ศพ' ซึ่งคนเสื้อแดงและนักข่าวต่างชาติถูกฆ่าตายในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อปี 2553 ขึ้นมาปัดฝุ่น โดยจี้ให้นครบาลเรียกให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน)มาสอบปากคำ นอกจากนั้นที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิมยังให้สัมภาษณ์ในลักษณะชี้นำว่าจากการเข้ามากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เพียง 3 เดือน เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า นายฮิโรยูกิ มูราโมโต นักข่าวญี่ปุ่นประจำสำนักข่าวรอยเตอร์ เสียชีวิตจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ และเรื่องนี้เป็นคดีสำคัญระดับประเทศเพราะทางสำนักข่าวรอยเตอร์ที่เป็นต้นสังกัด รวมถึงทูตญี่ปุ่นได้เรียกร้องและกดดันให้เร่งดำเนินการหาตัวคนผิด อีกทั้ง ร.ต.อ.เฉลิมยังอ้างว่ามีข้อมูลว่าชายชุดดำที่ยิงกลุ่มผู้ชุมนุม 91 ศพนั้นเป็นตำรวจจากทางภาคอีสาน ซึ่งมีทั้งระดับนายพล และพันตำรวจเอก ที่เติบโตมาจาก จ.บุรีรัมย์ ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะพุ่งเป้าไปที่ 'คนชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมร' คนเนรคุณในความหมายของ นช.ทักษิณ ชินวัตร
จัดหนัก จัดเต็ม ขนาดนี้ 'ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง' จึงมีผลงานเข้าตากรรมการ โดยเฉพาะในสายตาของ 'นายใหญ่' ที่ตอนนี้มีฐานะเป็นนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น และถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน '3 หนุ่มเนื้อทอง' ของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงในขณะนี้
"ไอ้กี้ร์" หนุ่มเนื้อทอง 2 มาตรฐาน คำว่าผิดไม่อยู่ในสามัญสำนึก!
ถ้าหากจะหยิบยก แกนนำคนเสื้อแดงขึ้นมาสักคนหนึ่งที่เป็นขวัญใจของสาวก แม่ยกคนเสื้อแดง อันดับต้นๆ คงจะต้องมีชื่อของ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำฮาร์ดคอร์ อย่างไม่ต้องสงสัย
เอาแค่ไม่ต้องอื่นไกล วันที่ไอ้กี้ร์โผล่หัวเข้ามอบตัวต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หลังจากมีข่าวว่าหลบหนีไปอยู่ประเทศกัมพูชาตั้งแต่หลังเหตุการณ์คนเสื้อแดงเผาเมืองเมื่อเดือน พ.ค.2553 วันนั้นบรรดาสาวกแม่ยกคนเสื้อแดงก็ได้แห่แหนไปเจอหน้าไอ้กี้ร์กันอย่างเนืองแน่นเลยทีเดียว
ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เมื่อศาลพิเคราะห์แล้วเห็นควรที่จะยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ก็ทำเอาสาวเสื้อแดงรายหนึ่งถึงกับกรีดร้องและเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาจนเจ้าหน้าที่ต้องนำตัวไปปฐมพยาบาล ขณะที่อีกส่วนหนึ่งพากันร่ำไห้เสียใจที่ผู้นำของเขาหมดสิ้นอิสรภาพ ราวกับว่าไอ้กี้ร์เป็นญาติสนิท มิตรสหาย หรือคนในครอบครัวตัวเองติดคุกเองเลยด้วยซ้ำไป ราวกับว่าไอ้กี้ร์สร้างคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองมากมายก่ายกองเสียนี่กระไร
และแล้วสุดท้าย ไอ้กี้ร์ก็ต้องเข้านอนในคุกตามระเบียบ
ทั้งนี้ ความเป็นหนุ่มเนื้อทองของนายอริสมันต์เห็นจะหนีไม่พ้นการที่เขาประกาศและดำรงตัวเป็นแกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้กระทั่งในวันที่ยื่นคำร้องขอประกันตัว เขาก็ยังยืนยันอย่างหนักแน่นว่า เขาไม่ได้ทำความผิด และมิได้สำนึกต่อการกระทำผิดของตัวเอง
"หลังมีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ จะขอเข้ามอบตัวและสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่มีผู้ใหญ่หลายคนบอกให้ชะลอการมอบตัว เพราะไม่ได้รับการยืนยันว่าจะปลอดภัย และเกรงว่าจะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย จึงเสียสละไม่กลับมา จะรอจนการเลือกตั้งจบลงด้วยดี และได้รัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย แต่ปรากฏว่าช่วงประสานงานกลับมามอบตัวเกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงรอให้สถานการณ์น้ำแห้งลง และทราบข่าวว่ามี ส.ส.หลายพรรคร่วมเป็นกรรมาธิการปรองดองแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสามัคคี ตนเห็นเป็นโอกาสอันดี และอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดอง จึงเข้ามอบตัว"
"ตลอดเวลาผมเป็นผู้ถูกกระทำ ยืนยันว่าตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผมเป็นคนรักสงบ มีความยุติธรรม ไม่นิยมความรุนแรง เป็นคนเรียบร้อย เที่ยงตรง จะต่อสู้ในกรอบของกฎหมาย พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต่อสู้คดีต่อศาลอย่างไม่ผิดเงื่อนไขในทุกคดี" นายอริสมันต์ กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
คำเบิกความต่อศาลของ นายอริสมันต์ เรียกว่าทำเอาละครน้ำเน่าหลังข่าวต้องเรียกพี่ไปเลยทีเดียว เพราะหากประชาชนประเทศนี้ หูไม่หนวก ตาไม่บอดไปหมดประเทศแล้ว ก็ย่อมจะพอจำได้ในสิ่งที่นายอริสมันต์ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับประเทศไทยอย่างเหลือคณานับเกินคำบรรยาย ยาวเป็นหางว่าวเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็น 12 มี.ค.2553 ที่เวที จ.อุดรธานี วันนั้น ไอ้กี้ร์ผู้เรียบร้อยและรักสงบ กล่าวว่า "ครั้งนี้จะเป็นการคิดบัญชีรัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกอำมาตย์เฒ่าทั้งหลาย คุณไม่ต้องมาบอกว่าสถานที่สำคัญที่เขาจะไปก่อวินาศกรรม คุณไม่ต้องไปปูดข่าวบอกว่าสถานที่ที่เป็นศาสนสถานของพวกมุสลิม โรงพยาบาลแล้วก็ถนนราชวิถี สะพานข้ามแม่น้ำ โรงพยาบาลศิริราช สนามบิน ทำเนียบ กระทรวงสำคัญๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ ค่ายทหาร บ้านบุคคลสำคัญ และศาลยุติธรรม และองค์กรอิสระ คุณไม่ต้องบอก ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รับรองว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดถึงนี้จะไม่เหลืออยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน”
29 ม.ค. 2553 เวทีหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถ.ราชดำเนิน "ผมได้เขียนสรุปง่ายๆ ว่า ต่อไปนี้การที่จะสู้กับอำมาตย์ จะสู้กับพวกกองทัพที่มันรับใช้อำมาตย์มาทำการปฏิวัติ เราต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง ด้วยสโลแกน ออลฟอร์วัน รวมใจเป็นหนึ่งล้มอำมาตย์ครับ พี่น้องนัดกันคราวหน้าถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปรามไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามา 1 ล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กรุงเทพ เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”
"การสู้ของคนเสื้อแดงแบบง่ายๆ อย่างนี้ บอกให้ทหารได้รับได้ทราบ บอกให้ทหารสุนัขรับใช้อำมาตย์ได้รู้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนเสื้อแดง แม้เลือดหยดแต่หยดเดียวนั่นหมายความว่า กรุงเทพฯ จะเป็นทะเลเพลิงทันที ส่วนต่างจังหวัด จตุพร (พรหมพันธุ์)ได้บอกแล้ว ให้รอฟังข่าวว่า พี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัด ไม่ได้มาไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นทันทีรวมตัวกันที่ศาลากลาง ไม่ต้องรอเงื่อนไข จัดการให้ราพณาสูรเหมือนกัน"
แน่นอน หากใครฟังคำพูดและเฝ้าดูพฤติกรรมของ นายอริสมันต์แล้ว คงจะไม่แปลกใจเลยหากศาลจะอนุมัติหมายจับนายอริสมันต์ ความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการภายในสถานการณ์ฉุกเฉินเข้าข่ายความผิด และ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาตรา 11 (1) และความผิดข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ (รัฐสภา) กักขังหน่วยเหนี่ยว และข่มขู่ โดยบุกรุกรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 53
ต่อมา 6 พ.ค.53 ศาลออกหมายจับ ข้อหาความผิดก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ประทุษร้ายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ ข้อหาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง และศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับ ตามที่ดีเอสไอเสนอ
คงจะกล่าวได้ว่าถึงแม้ระยะเวลาผ่านไปปีเศษ แต่เชื่อว่าคนไทยยังจำพฤติกรรมอันรุนแรงและเลวทรามของอริสมันต์ได้ดี ที่เป็นแกนนำมวลชนคนเสื้อแดงบุกเมืองพัทยาล้มการประชุมผู้นำอาเซียน จนสถานที่ใช้ประชุมได้รับความเสียหาย และทำให้ประเทศไทยเสียภาพพจน์ในสายตาประชาคมโลกดำเนินการปราศรัยปลุกระดมมวลชนทั้งในจังหวัดต่างๆ และใน กทม.ให้เผาบ้านเผาเมือง ภาพการแสดงโรยตัวจากชั้นบนของโรงแรมเพื่อหนีตำรวจอย่างทุลักทุเลก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทย
ขณะเดียวกัน หากจะตอกย้ำถึงความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่ไม่เคยจะมีในกมลสันดานของ นายอริสมันต์แล้ว ก็คงต้องหยิบยกคำสัมภาษณ์ ของนายสิงห์ทอง บัวชุม ทนายของไอ้กี้ร์ ที่ให้สัมภาษณ์แบบหน้าไม่อายว่า "ยอมรับว่าพฤติกรรมของอริสมันต์ที่ดูรุนแรงมีส่วนในส่วนที่ถูกมองว่าฮาร์ดคอร์บางเรื่อง เรื่องคลิปมีผลต่อการให้ประกันตัวหรือไม่ ก็มีส่วน เพราะเรื่องคลิปมีส่วนอยู่โดยเฉพาะที่ดีเอสไอส่งไปที่ศาล แต่เป็นคลิปที่ถูกตัดตอน ไม่ใช่คลิปสมบูรณ์ เป็นคลิปที่ปราศรัยบนเวทีต่างๆ แล้วนำมาต่อกัน ผมเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมวันนี้ศาลได้ให้เหตุผลมาแล้วไม่อยากก้าวล่วง เป็นความผิดร้ายแรง การที่อริสมันต์หนีไปนานกว่าจะมามอบตัว เหตุผลหนึ่งคือกลัวหลบหนี"
ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร... คงต้องกล่าวว่าการเอาสีข้างถูของนายสิงห์ทอง คงจะลืมไปแล้วว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง ย่อมจะทราบดีว่าอะไรคืออะไร คำพูดของทนายไอ้กี้ร์คงจะมีค่าแค่เพียงเอาไว้หลอกคนเสื้อแดงไปวันๆ เท่านั้นเองว่า ที่ต้องถูกดำเนินคดี ต่างๆนานา เพราะไม่ได้รับความยุติธรรม คนเสื้อแดงมันถูกกระทำสองมาตรฐานตลอด
และที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยในเรื่องสองมาตรฐาน ดูเหมือนว่าจะเป็นนายอริสมันต์ที่ต้องกลืนน้ำลายตัวเสียเฮือกใหญ่มากกว่า เพราะหลังจากที่ต้องตีหน้าตาน่าสงสาร เดินคอตกเข้าคุก ต่างจากตอนทำตัวปากกล้า แสดงอาการเถื่อยถ่อยต่อหน้าสาวกเสื้อแดง ชนิดหน้าเป็นมือหลังมือแล้ว นายอริสมันต์ก็ยังได้สวมวิญญาณอำมาตย์ เพราะชีวิตความเป็นอยู่ในคุกก็ยังไม่วายทำตัวราวกับนักโทษที่ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษเหนือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาหารเรือนจำที่จัดไว้ให้ 3 มื้อ นายอริสมันต์ก็กินไม่ได้ แต่สามารถสั่งพิซซ่า แมคโดนัลด์ มารับประทานได้
อีกทั้งตามปกติ เมื่อผู้ต้องขังถูกส่งตัวมาที่เรือนจำแล้ว จะต้องถูกตัดผมใหม่ หรือกล้อนผมเสียก่อน แต่นายอริสมันต์ ก็ผ่านข้อยกเว้นนี้ไป แถมยังมีการจัดนักโทษหุ่นกำยำมาดูแลมารักขาราวกับว่าเป็นบอดี้การ์ดประจำตัว
ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าใดนัก ที่บรรดานักโทษเสื้อแดงจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะคนที่นั่งเป็นใหญ่เป็นโตในเก้าอี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็เป็น พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย ยี่ห้อคนระบอบทักษิณการันตี แถมหนำซ้ำยังแสดงการเอาอกเอาใจด้วยการจะย้ายผู้ต้องโทษเสื้อแดงไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ด้วยซ้ำไป
กล่าวถึงไอ้กี้ร์ ชั่วโมงนี้ ก็คงได้แต่ต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ในคุกชั่วคราวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งในวันที่ 19 ธันวาคม เวลา 14.00น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก และในวันนั้น ไอ้กี้ร์จะได้ชูกำปั้นทำหน้าหยิ่งผยองออกจากคุก หรือ ได้แต่ทำหน้าตาน่าสงสารเดินคอตกกลับเข้าคุก ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับประทานหญ้าเป็นอาหารเหมือนกับคนเสื้อแดง คงจะรู้สึกยินดีไม่น้อยกับการที่จะได้เห็นไอ้กี้ร์ เดินคอตกทำหน้าเศร้าเดินเข้าตารางอีกรอบ ซึ่งหากดูพฤติกรรมที่ผ่านมาแล้ว น่าจะเหมาะสมกับสิ่งพ่อหนุ่มเนื้อทองคนนี้ได้ก่อกรรมไว้กับประเทศนี้ด้วยประการทั้งปวง