xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 27 พ.ย.-5 ธ.ค.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท(5 ธ.ค.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“ในหลวง” เสด็จออกมหาสมาคม 5 ธ.ค. – ทรงห่วงประชาชน ขอทุกฝ่ายร่วมใจแก้น้ำท่วม พร้อมบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน!

วันนี้(5 ธ.ค.) เวลาประมาณ 10.30 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จฯ จากโรงพยาบาลศิริราช ไปยังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีประชาชนเฝ้ารับเสด็จตลอดเส้นทาง ทั้งนี้ ประชาชนได้พร้อมใจกันโบกธงชาติและธงตราสัญลักษณ์ พร้อมเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวล ยังความปลาบปลื้มแก่ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จเป็นอันมาก

เมื่อเสด็จถึงพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา คณะทูตานุทูต ข้าราชการ ตลอดจนประชาชนทุกหมู่เหล่าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธ.ค. จากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้นำกล่าวถวายพระพร ในนามพระบรมวงศานุวงศ์ ต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำกล่าวถวายพระพรในนามรัฐมนตรีและข้าราชการการเมือง

โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้ที่มาเฝ้าฯ โดยนอกจากทรงขอบใจสำหรับคำอวยพรแล้ว ยังทรงขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันแก้ปัญหาน้ำท่วมให้ลุล่วงโดยเร็ว เนื่องจากประชาชนกำลังเดือดร้อน รวมทั้งให้จัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน “...ท่านทั้งหลายในที่นี้ ผู้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร ย่อมทราบแก่ใจอยู่ทั่วกันว่า ความมั่นคงของประเทศชาตินั้น จะเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยประชาชนในชาติอยู่ดีมีสุข ไม่มีทุกข์เข็ญ ดังนั้นการใดที่เป็นทุกข์เดือดร้อนของประชาชนทุกคน ทุกฝ่ายจึงต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องร่วมมือกันปฏิบัติแก้ไขให้เต็มกำลัง โดยเฉพาะขณะนี้ประชาชนกำลังเดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม จึงชอบที่จะร่วมมือกันปัดเป่าแก้ไขให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว และจัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เช่น โครงการต่างๆ ที่เคยพูดไปนั้นเป็นการแนะนำไม่ได้สั่งการ แต่ถ้าเป็นการปรึกษากันแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ คุ้มค่า และทำได้ก็ทำ ข้อสำคัญจะต้องไม่ขัดแย้ง แตกแยกกัน หากจะต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์ เพื่อความผาสุกของประชาชนและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ”

2.กกต. มีมติ 4 : 1 ให้ “จตุพร” พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. แต่ยังต้องรอศาล รธน.ชี้ขาด ขณะที่เจ้าตัวเริ่มขู่ จะไปดูหน้าคนตัดสิน!
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
เมื่อวันที่ 29 พ.ย. มีรายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ว่า ที่ประชุม กกต.ซึ่งมีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.เป็นประธาน ได้พิจารณาคุณสมบัติของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ว่าขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 20(3) ส่งผลให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงตามมาตรา 106 หรือไม่ จากกรณีที่นายจตุพรไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากอยู่ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติ 4 : 1 ว่า นายจตุพรขาดจากความเป็น ส.ส.ตามมาตรา 106(4) และ (5) จึงสมควรส่งเรื่องไปให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวน ได้ออกมาชี้แจงมติของ กกต.อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากบางฝ่ายเข้าใจว่า กกต.มีมติดังกล่าวเนื่องจากนายจตุพรไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ซึ่งไม่ใช่ แต่เป็นเพราะนายจตุพรถูกคุมขัง ทำให้ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เมื่อขาดจากการเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องพ้นสภาพการเป็น ส.ส. ซึ่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ระบุว่า หากถูกคุมขัง จะสื้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรคทันที

ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ได้ออกมาบอกว่า ตนเป็น กกต.เสียงข้างน้อยที่เห็นว่าไม่ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะกฎหมายยังมีความขัดกันอยู่ ขณะที่นายสมชาติ เจศรีชัย รองเลขาธิการ กกต. ในฐานะรักษาราชการเลขาธิการ กกต.เผย(30 พ.ย.)ว่า กกต.คาดว่าจะใช้เวลาเขียนสำนวนนายจตุพรประมาณ 5-10 วัน จากนั้นจะส่งเรื่องไปยังนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป โดยประธานสภาฯ อาจใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารประมาณ 10-30 วัน ส่วนขั้นตอนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญนั้น คดีในลักษณะเดียวกันนี้ที่ผ่านมาจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน และว่า กว่าจะรู้ว่านายจตุพรพ้นสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.หรือไม่ อาจใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน โดยระหว่างนี้นายจตุพรยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ได้ต่อไปจนกว่าจะทราบผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ขณะที่นายจตุพร ตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.หยิบยกเรื่องคุณสมบัติของตนขึ้นมาพิจารณา น่าจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ พร้อมชี้ว่า คนที่วางเกมนี้อาจมีเป้าหมายเพื่อยุบพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ทั้งนี้ นายจตุพร ยังได้ส่งสัญญาณคุกคามศาลรัฐธรรมนูญที่จะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ของตนด้วยว่า ตนจะเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญด้วย เพื่อจะไปดูหน้าคนตัดสิน แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม ถึงจะเข้าหลักประหาร ก็จะไม่ร้องขอชีวิต จะเดินหน้าสู้ต่อไป

ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ต้องให้กำลังใจศาลรัฐธรรมนูญ เพราะที่ผ่านมา หากมีประเด็นไหนที่เกี่ยวกับกลุ่มคนเสื้อแดง กระบวนการข่มขู่คุกคามกดดันจะเกิดขึ้นเป็นประจำ “นายจตุพรกำลังใช้วาทะในการอุ่นเครื่องมวลชนเสื้อแดง เพื่อให้เครื่องร้อนพร้อมปฏิบัติการใช่หรือไม่ ขณะเดียวกัน เริ่มมีการส่งสัญญาณกดดันไปยังศาลรัฐธรรมนูญด้วยการพูดว่าจะเดินทางไปดูหน้าคนตัดสิน แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม”

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาจี้ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเตือนนายจตุพรในฐานะผู้สนับสนุนนายกฯ ให้ลดละเรื่องที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ควรจะปล่อยให้ทุกองค์กรทำหน้าที่ของตน ส่วนกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประกาศว่าพร้อมสู้ทุกมิติเพื่อช่วยเหลือนายจตุพรนั้น นายอภิสิทธิ์ แนะว่า ควรต่อสู้ในทางกฎหมาย ไม่ควรต่อสู้รูปแบบอื่น ถ้าทำเช่นนั้นหมายความว่า ต่อไปนี้ใครถูกกล่าวหาอะไร มีสิทธิต่อสู้ทุกรูปแบบ เท่ากับบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย ไม่มีขื่อไม่มีแป ไม่มีกติกา กลายเป็นเรื่องการนำมวลชนมากดดัน อยากทำอะไรก็ได้ สังคมก็อยู่ยาก

3.รัฐบาล อุ้ม “ประชา” ผ่านศึกซักฟอกฉลุย 273 : 188 ด้าน “ยิ่งลักษณ์” ยัน ไม่ปรับ ครม. !
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการ ศปภ.
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาวาระเร่งด่วนญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านขออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเพียงคนเดียว คือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้น ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงจากหลายจังหวัดในภาคอีสานประมาณ 1,000 คนมาชุมนุมที่หน้ารัฐสภา เพื่อให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ประชาด้วย

ส่วนบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภานั้น เริ่มด้วยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้อภิปรายคนแรก โดยออกตัวก่อนว่า การอภิปรายครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเกมเพื่อลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล หรือเพื่อล้มล้างรัฐบาลตามที่พรรครัฐบาลวิจารณ์แต่อย่างใด แต่เป็นการทำตามหน้าที่ในการตรวจสอบตามที่ประชาชนมอบหมาย ถ้าสภาลงมติไม่ไว้วางใจ ก็มีผลแค่ พล.ต.อ.ประชาพ้นตำแหน่ง ไม่ได้มีผลต่อรัฐบาลทั้งคณะแต่อย่างใด “เมื่อพบการทุจริตผิดกฎหมาย เราเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องทำหน้าที่ ไม่ได้มีเจตนาใส่ร้ายกลั่นแกล้งผู้ใดในทางการเมือง”

ทั้งนี้ นายจุรินทร์ อภิปรายย้ำว่า พล.ต.อ.ประชา ในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ.บริหารราชการแผ่นดินบกพร่องล้มเหลว ทั้งการบริหารจัดการน้ำ คน สิ่งของบริจาค ปล่อยปละละเลยให้คนพรรคการเมืองเดียวกันเข้ามาแทรกแซงหาประโยชน์จากการบริหารราชการแผ่นดินทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย จงใจทำผิดรัฐธรรมนูญ ปล่อยปละละเลยรู้เห็นเป็นใจให้เกิดการทุจริต ทั้งจากงบประมาณแผ่นดินและเงินบริจาคที่ประชาชนผู้ศรัทธาบริจาค นอกจากยิ่งแก้ยิ่งท่วมแล้ว ยังทำให้ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยเดือดร้อนและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตจากไฟดูด ด้าน พล.ต.อ.ประชา ชี้แจงว่า ตนได้กำชับฝ่ายโฆษก ศปภ.ทุกครั้งนี้ที่มีการประกาศให้แจ้งเตือนเรื่องฟืนไฟ แต่เสียใจตรงที่ไม่น่าเอาความตายของประชาชนมาเล่นเกมทางการเมือง

ด้านนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายแฉว่า คนที่ได้รับของบริจาคจาก ศปภ.คือฐานเสียงของรัฐบาลเอง บางแห่งน้ำไม่ท่วม แต่ได้ถุงยังชีพถึงที่ ขณะที่บางแห่งน้ำท่วมถึงคอแต่ไม่ได้ของบริจาค และเสียใจที่ พล.ต.อ.ประชาออกมาปกป้องคนที่หากินของบริจาคของประชาชน พร้อมกันนี้นายศิริโชคยังได้เปิดคลิปประกอบการอภิปราย ส่วนใหญ่เป็นภาพที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยติดป้ายชื่อตัวเองหรือชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ของบริจาค เช่น คลิปอาสาสมัครทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ ศปภ.ดอนเมือง กำลังขนถุงยังชีพขึ้นรถบรรทุกซึ่งติดป้ายผ้าข้างรถว่า “ของบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ด้วยรักและความห่วงใย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ส่วนอีกภาพเป็นภาพรถจีเอ็มซีของทหารกำลังขับออกจากดอนเมือง โดยติดป้ายว่า “ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยดอนเมือง ส.ส.การุณ โหสกุล” ฯลฯ

ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา ชี้แจงว่า ของบริจาคที่มีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น เรือ พ.ต.ท.ทักษิณบริจาคมา นอกจากนี้ยังบริจาคเงินมาด้วย 5 ล้านบาท ส่วนการตั้ง ส.ส.เป็นคณะกรรมการจัดการถุงยังชีพนั้น ก็ได้หารือกับกฤษฎีกาแล้วว่าไม่ผิดกฎหมาย “กฤษฎีกาตีความว่า ศปภ.เป็นหน่วยงานตั้งขึ้นโดยอิสระตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ ดังนั้น การแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้จึงไม่มีความผิดตามนัยของมาตรา 265 หรือ 266 แต่อย่างใด แต่เพื่อความสบายใจ จึงออกคำสั่งยกเลิกในทันที” พล.ต.อ.ประชา ยังแฉกลับพรรคประชาธิปัตย์เรื่องจัดซื้อถุงยังชีพแพงด้วยว่า สมัยพรรคประชาธิปัตย์ซื้อแพงกว่า “ยืนยันว่าครอบครัวผมไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นแน่นอน ส่วนที่มีการยื่นถอดถอน ส.ส.4 คนของพรรคเพื่อไทยนั้น บุคคลเหล่านี้ทำเพื่อพี่น้องประชาชนที่ถูกน้ำท่วมถึงอกถึงคอ ช่วยในฐานะ ส.ส.ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงการทำงานของ ศปภ.”

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายโจมตีว่า พล.ต.อ.ประชาบริหารผิดพลาดล้มเหลว เช่น ตั้งคณะกรรมการผันน้ำลงทะเล ก็ตั้งคนของรัฐบาลที่ไม่มีความรู้เรื่องน้ำมาเป็นคณะกรรมการ นอกจากนี้เมื่อมีปัญหา พล.ต.อ.ประชาก็ไม่เข้าไปจัดการแก้ไข เช่น กรณีมีประชาชนต่อต้านการทำเขื่อนกั้นน้ำไม่ให้น้ำลงคลองประปา ระหว่างซีกปากเกร็ดกับดอนเมือง ซึ่งนายอำเภอปากเกร็ดก็เคยให้สัมภาษณ์ว่ามีการทำลายคันกั้นน้ำโดย ส.ส.ในเขตพื้นที่นั้น ด้านนายการุณ โหสกุล ส.ส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย รีบลุกขึ้นตอบโต้ โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้พาคนไปรื้อคันคลองประปา แต่ตนเป็นผู้ปกป้อง และประสานงานให้มีการทำคันกั้นน้ำทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งฝั่งปากเกร็ดและฝั่งดอนเมือง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งแม้จะไม่ได้ถูกอภิปราย แต่ได้ใช้สิทธิลุกขึ้นชี้แจง โดยอ้างว่า ในเอกสารที่ฝ่ายค้านยื่นถอดถอน พล.ต.อ.ประชา ซึ่งมีทั้งหมด 16 หน้านั้น ในหน้า 15 เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุด เพราะถ้อยคำระบุชัดเจนว่า พล.ต.อ.ประชาเบียดบัง ยินยอมให้ผู้อื่นมาเอาทรัพย์ และพาดพิงมายังตน รวมทั้งที่นายศิริโชคเปิดคลิปกล่าวหาตน ตนจะไปแจ้งความเอาผิดคนที่กล่าวเท็จ

ด้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนได้ประท้วงว่านายจตุพรไม่มีสิทธิอภิปราย เพราะไม่มีการพาดพิงหรือเอ่ยชื่อนายจตุพร ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา ยืนยันว่านายจตุพรถูกพาดพิงจริงในสำนวนยื่นถอดถอนตนหน้า 15 โดยระบุชื่อนายการุณ และนายจตุพร และว่า เมื่อเอกสารนี้มีการเผยแพร่ นายจตุพรจึงมีสิทธิชี้แจง ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ข้องใจ ถามกลับ พล.ต.อ.ประชาว่า เอกสารยื่นถอดถอนเป็นเอกสารลับที่ตนยื่นต่อประธานวุฒิสภา แล้ว พล.ต.อ.ประชามีเอกสารดังกล่าวได้อย่างไร ด้าน พล.ต.อ.ประชา อ้างว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารลับ เพราะไม่ได้ตีตราลับ ขณะที่นายจุรินทร์ ยืนยันว่า คำถอดถอนเป็นเอกสารลับ เพราะกระบวนการยังไม่สิ้นสุด และว่า เรื่องนี้มีความสำคัญและมีนัยยะทางกฎหมาย ดังนั้นการได้มาจะผิดกฎหมายหรือไม่หรือใครบกพร่อง จำเป็นต้องติดตามสอบสวนกันต่อไป

ทั้งนี้ หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา ที่ประธานสภาฯ ให้เวลาเพียง 1 วันเสร็จสิ้นลง วันต่อมา(28 พ.ย.) ได้มีการประชุมเพื่อลงมติว่าจะไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชาหรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่า เป็นไปตามคาดว่ารัฐบาลต้องอุ้ม พล.ต.อ.ประชา โดยที่ประชุมมีมติไว้วางใจ 273 ต่อ 188 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง ไม่ลงคะแนน 15 เสียง ถือว่าที่ประชุมมีมติไว้วางใจ เพราะเสียงไม่ไว้วางใจมีไม่ถึงกึ่งหนึ่ง

สำหรับท่าทีของ พล.ต.อ.ประชานั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนทราบผล พล.ต.อ.ประชาค่อนข้างกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด โดยนั่งหมุนเก้าอี้และมองจอโปรเจ็กเตอร์ตลอดเวลา แต่ทันทีที่ทราบว่าที่ประชุมมีมติไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชาถึงกับฉีกยิ้มอย่างดีใจ ก่อนหันไปยกมือไหว้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังยกมือไหว้ขอบคุณผู้ที่เดินมาแสดงความยินดีทุกคน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือ ส.ส.

ส่วนที่หลายฝ่ายคาดว่าอาจมีการปรับ ครม.หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชานั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันแล้วว่า จะไม่มีการปรับ ครม. โดยรัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่ หากใครยังข้องใตประเด็นใดก็อธิบายต่อไป ส่วนไหนที่ยังไม่เรียบร้อยก็จะเข้าไปดูแล และว่า รัฐบาลพร้อมรับการตรวจสอบ

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านไปว่า ถือว่าดี พรรคประชาธิปัตย์เตรียมตัวมาดี โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่สรุปข้อมูลดี ขณะที่ พล.ต.อ.ประชาก็ถือว่าเป็นดาวสภาดวงใหม่ มีการตอบโต้ใช้ได้

ด้านพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยื่นถอดถอน พล.ต.อ.ประชา พร้อมด้วย ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยอีก 6 คน ประกอบด้วย นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. ,นายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม. ,นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ ,นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ ,นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. เนื่องจากมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับปัญหาประตูระบายน้ำคลองสามวาและของบริจาคนั้น ล่าสุด พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยเพิ่มอีก 2 คน รวมเป็น 9 คน คือ นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ และนายยุรนันท์ ภมรมนตรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ เนื่องจากนายจารุพงษ์ได้รับการแต่งตั้งจาก พล.ต.อ.ประชาให้เป็นที่ปรึกษา ผอ. ศปภ. ส่วนนายยุรนันท์ พรรคมีหลักฐานการเซ็นชื่อรับของที่ ศปภ.สั่งซื้อจากเอกชน โดยมีบัญชีรายชื่อลูกค้าผู้สั่งซื้อสินค้าเป็นชื่อนายยุรนันท์อย่างชัดเจน

4.“สุรพงษ์” จัดให้ เตรียมคืนพาสปอร์ต “ทักษิณ”เป็นของขวัญปีใหม่ ด้าน “ปชป.”ขู่ยื่นถอดถอน พ่วงฟ้องอาญา!
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หลังจากแกนนำพรรคเพื่อไทยพยายามหาทางช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ประชุม ครม.ลับเพื่อแก้ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ หวังให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วย แต่เมื่อถูกสังคมจับได้ จึงไม่กล้าแก้ไข พ.ร.ฎ.ดังกล่าว ปรากฏว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ผุดไอเดียเตรียมคืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ บอกว่า รอตรวจสอบอีกนิดหน่อย คงจะเสร็จเร็วๆ นี้ โดยจะเป็นพาสปอร์ตแบบธรรมดา ไม่ใช่พาสปอร์ตทางการทูต “คงไม่ต้องรอถึงปีใหม่แล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุปเรื่องพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะสามารถคืนพาสปอร์ตได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพื่อมอบเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อคืนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนไทยตามรัฐธรรมนูญ ที่จะช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในต่างประเทศโดยถือพาสปอร์ตไทย”

นายสุรพงษ์ ยังเชื่อด้วยว่า การคืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้จะไม่เกิดกระแสต่อต้าน เพราะการออกพาสปอร์ตเป็นกฎกระทรวง เป็นอำนาจของรัฐมนตรี พร้อมชี้ว่า การยึดพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณในอดีตก็ไม่มีคำสั่งศาลหรือคำสั่งตำรวจแต่อย่างใด แต่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น ใช้กฎกระทรวงยึดพาสปอร์ต ดังนั้นตนก็ใช้อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการคืนพาสปอร์ตเช่นกัน ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีคดีติดตัวอยู่นั้น นายสุรพงษ์ อ้างว่า “การออกพาสปอร์ตไม่เกี่ยวข้องกับติดข้อหา คนที่โดนข้อหาหนักกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อยู่ในต่างประเทศ ยังไม่โดนถอนพาสปอร์ต ยกตัวอย่างนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ ถูกตัดสินจำคุก 25 ปี ในคดีจ้างวานฆ่า ซึ่งปัจจุบันหลบหนีอยู่”

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีกระแสคัดค้านการคืนพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณบ้างแล้ว โดย นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ได้ออกมาเตือนนายสุรพงษ์ว่า หากมีการคืนพาสปอร์ตให้กับบุคคลที่ยังมีหมายศาลและยังมีคดีติดตัวอยู่ ตนจะฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแน่นอน เพราะถือว่าทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย นพ.ตุลย์ ยังย้ำด้วยว่า พาสปอร์ตไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามที่นายสุรพงษ์กล่าวอ้าง โดยเฉพาะคนที่มีคดีติดตัวอยู่ ศาลตัดสินให้จำคุกแล้ว หากอยู่ในต่างประเทศ เป็นหน้าที่ของอัยการต่างประเทศที่จะต้องร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการนำตัวมาดำเนินคดี ไม่ใช่ยกเอากรณีนักโทษที่มีโทษร้ายแรงกว่ามาเป็นบรรทัดฐานว่าไม่ถูกถอนพาสปอร์ต เพราะคนทำผิดเหล่านั้นก็ควรถูกยึดพาสปอร์ตคืนเช่นกัน “อยากทราบว่ารัฐมนตรีบ้านเราทำงานกันอย่างนี้หรือ นายสุรพงษ์ควรไปสอบถามกรมสนธิสัญญาว่าผิดระเบียบหรือไม่ และหากระบุว่าทำได้ ผมจะไปฟ้องกรมสนธิสัญญาอีกครั้งหนึ่ง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณมีหมายศาลติดตัวอยู่ อย่างไรก็ตาม หากรัฐมนตรีต่างประเทศทำผิดกฎหมาย ผมเอาเรื่องแน่ โดยจะทำการถอดถอนออกจากตำแหน่ง”

ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา และหัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ก็ขู่ดำเนินการกับนายสุรพงษ์เช่นกัน โดยบอกว่า เท่าที่ทราบ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีหมายจับ ยังติดแบล็กลิสต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ ดังนั้นกระบวนการลบชื่อออกจากแบล็กลิสต์ของกระทรวงการต่างประเทศน่าจะไม่ชอบ อาจจะผิดกฎหมาย ก็จะถูกดำเนินการ โดยทีมกฎหมายของพรรคจะตรวจสอบว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญามาตราอื่นหรือไม่ หากพบว่าผิด จะร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยสามารถดำเนินการได้ 2 ช่องทาง คือ การยื่นถอดถอน ซึ่งพรรคเคยยื่นถอดถอนเอาไว้แล้ว และดำเนินคดีอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ มีโทษจำคุก 5-10 ปี

ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณว่า ไม่รู้เรื่องคืนพาสปอร์ต คิดว่ากระทรวงการต่างประเทศคงต้องการคืนความเป็นธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกกระทำในสมัยนายกษิต เพื่อไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปไหนมาไหนได้ ทั้งนี้ นายนพดล ย้ำว่า แม้จะไม่คืนพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณก็เดินทางกลับประเทศได้ ในฐานะที่เป็นคนไทย ถือสัญชาติไทย “ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยหรือคนที่จะประท้วงขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย เพราะผมคิดว่ารัฐบาลนี้คงไม่ปล่อยให้มาชุมนุมกดดัน ยึดสนามบินหรือทำเนียบรัฐบาลอีกแล้ว”

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรื่องที่นายสุรพงษ์จะคืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่า ไม่ทราบรายละเอียด พร้อมบอกว่าการอนุมัติต่างๆ เป็นเรื่องของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่ทุกอย่างคงต้องขอให้ทำภายใต้กรอบกติกา โดยตนยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมตั้งแต่วันแรกที่เคยบอกกับประชาชนว่า จะทำทุกอย่างตามหลักนิติธรรมไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ได้เลือกที่จะมาคิดแก้แค้นหรือแก้ไขอะไร เป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. โดยช่วงหนึ่งได้ตอบคำถามเกี่ยวกับความพยายามช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ พี่ชาย ด้วยการออกกฎหมายต่างๆ ว่า เรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนเองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่นายสุรพงษ์เตรียมคืนพาสปอร์ตให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่า นี่เป็นอีก 1 ตัวอย่างที่แสดงว่า รัฐบาลพยายามที่จะทำให้เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าการฟื้นฟูน้ำท่วมหรืออย่างไร รัฐบาลซ้ำเติมสถานการณ์ด้วยการหยิบยกเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา ตนไม่เข้าใจว่ารัฐบาลต้องการอะไร ทำไมรัฐบาลต้องสาละวนอยู่กับเรื่องของคนเพียงคนเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น