คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.พันธมิตรฯ นัดชุมนุมค้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ “ทักษิณ” 21 พ.ย.นี้ ด้านแกนนำ “เสื้อแดง” ขู่ พร้อมขนม็อบชนม็อบ!
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่อ้างว่าติดภารกิจลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.ได้มีการพิจารณาวาระจร “ลับ” โดยให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุมทั้งหมด จากนั้นได้มีการลงมติผ่านร่าง พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 โดยมีการกำหนดคุณสมบัติของนักโทษที่เข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธ.ค.2554 ในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ให้เข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วย ได้แก่ ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และปรับแก้จากผู้ที่มีโทษจำคุกเหลือไม่เกิน 1 ปี เป็นไม่เกิน 3 ปี นอกจากนี้ยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ที่ระบุว่า ผู้ที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับคดียาเสพติดหรือคดีทุจริตคอร์รัปชั่นออกด้วย ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายได้รับอภัยโทษ ไม่เท่านั้น ร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฉบับใหม่นี้ ยังไม่ระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเข้าข่ายได้รับอภัยโทษโดยไม่ต้องถูกคุมขังแม้แต่วันเดียว
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเรื่องดังกล่าวรั่วถึงสื่อมวลชน บรรดารัฐมนตรีต่างปฏิเสธที่จะเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ พ.ร.ฎ.ดังกล่าว แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิมยังอ้างว่า เป็นเรื่องลับ พูดไม่ได้ ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็อ้างว่าไม่ทราบ และโยนให้ไปถาม ร.ต.อ.เฉลิมแทน
ทั้งนี้ กระแสสังคมมองว่า รัฐบาลมีการวางแผนกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบกรณี ครม.ผ่านร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษที่เอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สังเกตได้จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนที่ จ.สิงห์บุรีเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ก่อนหน้าประชุม ครม.1 วัน แล้วอ้างว่าเดินทางกลับไม่ได้ ต้องค้างที่ จ.สิงห์บุรี เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ 17 ที่ใช้ในการเดินทาง ไม่สามารถบินกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาห์ ทั้งที่มีคำยืนยันจากแหล่งข่าวในกองทัพว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีเรดาห์และสามารถบินกลางคืนได้ นี่ยังไม่รวมว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถบินกลับ กทม.เพื่อร่วมประชุม ครม.ในช่วงเช้าวันที่ 15 พ.ย.ได้ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับประวิงเวลา โดยเดินทางกลับมาถึง กทม.ในเวลา 11.00น. ซึ่งหากเข้าร่วมประชุม ครม.ในเวลาดังกล่าวก็ยังทัน แต่กลับไม่เข้าร่วมประชุม แถมยังมีการตรวจสอบพบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาการประชุม ครม.ไว้ก่อนหน้าแล้ว
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ได้จี้ให้รัฐบาลชี้แจงเรื่องร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าวในสภาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม รีบโบ้ยว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ยกร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว แต่คณะกรรมการที่กระทรวงยุติธรรมตั้งขึ้นเป็นผู้ยกร่าง เมื่อเสนอ ครม. ครม.ก็มีหน้าที่พิจารณา ส่วนที่ ครม.ต้องประชุมลับและไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ได้นั้น ร.ต.อ.เฉลิม อ้างว่า “เพราะยังไม่แล้วเสร็จ จึงเผยแพร่ไม่ได้ เรื่องนี้ยังต้องส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา จะเห็นด้วยหรือไม่ ยังไม่รู้... หากกฤษฎีกาเห็นด้วย ก็ส่งให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้นำเข้า ครม. เมื่อเห็นตรงกันก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ถือเป็นพระราชอำนาจโดยแท้” ร.ต.อ.เฉลิม ยังเชื่อด้วยว่า การออก พ.ร.ฎ.ดังกล่าว จะไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายตามมา
ทั้งนี้ ได้เกิดกระแสคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษที่เอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างกว้างขวาง เช่น เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน ได้รวบรวมรายชื่อประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าวทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 16 พ.ย. เพื่อให้ทรงทราบว่า ร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษดังกล่าวขัดต่อหลักสำคัญของการอภัยโทษหลายประการ เช่น การอภัยโทษต้องให้แก่ผู้ที่สำนึกผิดเท่านั้น และต้องเป็นผู้ที่ถูกคุมขังมาในระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว ไม่ใช่อภัยโทษให้แก่ผู้ที่หลบหนีคดี
ขณะที่คณาจารย์ 86 คนจาก 7 สถาบันได้เข้าชื่อออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฉบับดังกล่าว เพราะส่อเจตนาช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างชัดเจน ทั้งยังจะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกตามมา ด้านเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ได้ยื่นหนังสือคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าวต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 17 พ.ย.และเตรียมรวบรวมรายชื่อประชาชนที่คัดค้านกว่า 1 หมื่นชื่อ เพื่อยื่นต่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในวันที่ 22 พ.ย.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล
ส่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็รับไม่ได้เช่นกันที่รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ชี้ว่า การออก พ.ร.ฎ.ดังกล่าวของรัฐบาลเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้ามาก เพราะนอกจากชัดเจนว่ามุ่งช่วยเหลือคนคนเดียวแล้ว ยังเป็นการกดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย “การทำเช่นนี้ถือว่าระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เพราะในหลวงท่านยึดมั่นในหลักนิติรัฐว่า ความมั่นคง ความเที่ยงธรรม สามารถจะนำพาประเทศไทยให้พ้นวิกฤตและจะแก้ไขข้อขัดแย้งได้ แต่การกระทำครั้งนี้ของพรรคเพื่อไทยเป็นการจงใจจะทำลายหลักนิติรัฐ โดยอ้างเรื่องนี้บังหน้า ทั้งยังเป็นการกดดันในหลวงอย่างชัดเจน” ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุมแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 จึงได้มีมติที่จะจัดชุมนุมคัดค้าน “ร่างกฎหมายเพื่อทักษิณ หยุดทำลายหลักนิติรัฐ” ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย.นี้ ที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถนนพระอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-18.00 น. พร้อมยื่นหนังสือเรียกร้องให้คณะกรรมการกฤษฎีกายับยั้งร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว นอกจากนี้พันธมิตรฯ ยังจะยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้ส่งร่าง พ.ร.ฎ.ฉบับดังกล่าวไปให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมทั้งจะเสนอต่อคณะองคมนตรีให้ยับยั้งการทูลเกล้าฯ ร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว เพื่อรอให้การวินิจฉัยประเด็นปัญหาแล้วเสร็จก่อน
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากแกนนำคนเสื้อแดงเช่นกัน โดยนายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ ได้ประกาศผ่านวิทยุโจมตีคนที่ออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษของรัฐบาล “การที่กลุ่มต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน เป็นกลุ่มคนเก่าๆ ที่อยู่หลังฉาก ต้องการทำลายอดีตนายกฯ ทักษิณเพียงอย่างเดียว... ผมขอฝากไปยังผู้ที่เขียนบทอยู่ข้างหลังที่สร้างปัญหากับประเทศว่า ขอให้หยุดได้แล้ว บ้านเมืองจะได้เดินหน้าต่อไป และนี่คือความต้องการที่เป็นหัวใจสำคัญของเราในการเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรม และความต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย” พร้อมกันนี้ นายขวัญชัย ยังได้ประกาศให้แกนนำชมรมคนรักภาคอีสาน 20 จังหวัด จัดเตรียมคนเสื้อแดงไว้จังหวัดละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน เพื่อออกมาแสดงพลัง หากมีคนออกมาต่อต้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษของรัฐบาล
ด้านนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก็ได้ออกมาประกาศกร้าว พร้อมส่งสัญญาณให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมเช่นกัน “วันนี้ต้องพูดกันตรงๆ ว่ามวลชนคนเสื้อแดงมีมากกว่ามวลชนที่คัดค้านการขอพระราชทานอภัยโทษอยู่แล้ว ที่ผ่านมาคนเสื้อแดงรู้สึกเหมือนถูกกระทำมาตลอด ยิ่งถ้าต้องให้ยอมรับการการกลั่นแกล้งทั้งหมดอีก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ จึงไม่แปลกเลย หากมีคนคัดค้านการขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วมวลชนคนเสื้อแดงจะออกมา วันนี้คนเสื้อแดงทุกคนพร้อมอยู่แล้ว หากเกิดปัญหาขึ้นมา ก็จะกลายเป็นมวลชนชนมวลชน ประเทศจะเสียหายมากกว่านี้”
2. ฝ่ายค้าน ได้ฤกษ์ยื่นถอดถอน 7 ส.ส.เพื่อไทย ใช้อำนาจขัด รธน. ด้าน “ประชา” ถูกยื่นซักฟอกเดี่ยว ฐานปล่อยทุจริตถุงยังชีพ!
เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) ได้มีมติที่จะยื่นถอดถอน 7 ส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หลังพบว่า ส.ส.ทั้ง 7 คนทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 265 และ 266 ที่ระบุว่า ส.ส.ต้องไม่ดำรงตำแหน่งหน้าที่ในหน่วยราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ และต้องไม่ใช้ตำแหน่งเข้าไปแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับ ส.ส.ที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติยื่นถอดถอนทั้ง 7 คน ประกอบด้วย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ,นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. ,นายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม. ,นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. ,นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. ,นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ และนายวรชัย เหมมะ ส.ส.สมุทรปราการ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน บอกว่า ในการถอดถอน ส.ส.ทั้ง 7 ฝ่ายค้านจะดำเนินการ 2 ทาง 1.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตามมาตรา 91 ว่า ส.ส.ทั้ง 7 สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.หรือไม่ และ 2.ยื่นต่อต่อประธานวุฒิสภาตามมาตรา 270 เพื่อให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตรวจสอบพฤติกรรมของ ส.ส.ทั้ง 7 ว่ามีมูลความผิดตามมาตรา 265 และ 266 หรือไม่ หาก ป.ป.ช.เห็นว่ามีมูล ก็จะส่งเรื่องกลับมาให้วุฒิสภาเพื่อมีมติถอดถอนต่อไป
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญนั้น นายจุรินทร์ บอกว่า ฝ่ายค้านมีมติอภิปรายรัฐมนตรีเพียงคนเดียว คือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 265 และ 266 และบริหารราชการล้มเหลว จงใจให้เกิดการทุจริต “ขอยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เกมการเมืองของฝ่ายค้านเพื่อล้มรัฐบาลตามที่กล่าวหา เมื่อพบว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น ก็ถือเป็นภาคบังคับที่เราต้องดำเนินการ”
ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ได้นำรายชื่อ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 125 คน หรือ 1 ใน 4 ของ ส.ส.ที่มีอยู่ในสภา ยื่นถอดถอน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และ ส.ส.อีก 6 คน ต่อ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน(17 พ.ย.) ด้าน พล.อ.ธีรเดช บอกว่า จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของ ส.ส.ที่เข้าชื่อ ภายใน 30 วัน จากนั้นจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบตามขั้นตอน เมื่อ ป.ป.ช.ส่งเรื่องกลับมาให้วุฒิสภาแล้ว ต้องใช้มติ 3 ใน 5 ในการถอดถอน
วันต่อมา(18 พ.ย.) นายจุรินทร์ ได้นำรายชื่อ ส.ส.ของพรรคจำนวน 153 คน ซึ่งไม่ต่ำกว่า 1 ใน 6 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดที่มีอยู่ เข้ายื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามที่ได้มีมติว่าจะอภิปราย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ด้านนายสมศักดิ์ บอกว่า น่าจะเปิดให้มีการอภิปราย 1 วัน คือวันที่ 27 พ.ย.เพราะอภิปรายรัฐมนตรีคนเดียว โดยจะเริ่มอภิปรายได้เวลา 09.30น.และปิดอภิปรายก่อนเวลา 24.00น. ส่วนวันที่ 28 พ.ย.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไป ให้เป็นวันลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ด้าน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งโดน 2 เด้ง ทั้งถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจและยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งทั้งตำแหน่งรัฐมนตรีและ ส.ส. พูดถึงเรื่องนี้เพียงสั้นๆ ว่า “ไม่เป็นไร เป็นเรื่องของฝ่ายค้าน เราก็ชี้แจงไป”
ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ส.ส.ที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอน ก็ออกมาสวนกลับว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการใช้ประเด็นถอดถอนมาปิดปากตนไม่ให้เปิดโปงตรวจสอบทุจริตจัดซื้อและติดตั้งกล้องวงจรปิดหรือซีซีทีวีใน กทม.รวมถึงการตรวจสอบ 172 โครงการในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า ซึ่งตนจะยื่นฟ้องเอาผิดพรรคประชาธิปัตย์ฐานหมิ่นประมาท ใส่ความเท็จ ทำให้ตนเสียหาย โดยเฉพาะนายจุรินทร์ จะฟ้องฐานละเมิดเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 100 ล้านบาท
3.ชาวบ้านแห่รื้อบิ๊กแบ๊กหลายจุด สะพัด “การุณ โหสกุล” เอี่ยวด้วย ด้าน กทม.ยอมชาวลำลูกกา เปิดประตูระบายน้ำ 3 แห่ง!
สถานการณ์น้ำท่วมสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่น้ำลดระดับลงเรื่อยๆ ส่งผลให้นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ(กยน.) เชื่อว่า ถนนสายหลักต่างๆ ทางฝั่งเหนือของ กทม.จะสามารถกลับมาใช้งานได้ภายใน 7-10 วัน พร้อมมั่นใจว่า บริเวณตอนใต้ของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแทบไม่มีโอกาสที่น้ำจะท่วมขังเป็นบริเวณกว้าง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายจุดที่มีปัญหาน้ำท่วม ก็คือ ชาวบ้านรื้อบิ๊กแบ๊กหรือพังแนวคันกั้นน้ำ เพื่อให้น้ำระบายออกจากจุดที่ตนเดือดร้อนอยู่ ส่งผลให้ กทม.ห่วงว่าการรื้อบิ๊กแบ๊ก จะส่งผลให้น้ำทะลักเข้า กทม.ชั้นในได้ ขณะที่การรื้อบิ๊กแบ๊กบางจุดมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เช่น ที่บริเวณตอนเหนือของสนามบินดอนเมือง โดยชาวบ้านได้รวมตัวเข้ารื้อบิ๊กแบ๊กเมื่อวันที่ 13 พ.ย. พร้อมทั้งนำมีดคัตเตอร์มากรีดถุงบิ๊กแบ๊กด้วย โดยบอกว่า นายการุณ โหสกุล ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย สั่งให้มารื้อ ส่งผลให้แนวบิ๊กแบ๊กถูกรื้อเป็นแนวยาวประมาณ 20 เมตร ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่ชาวบ้านกำลังรื้อบิ๊กแบ๊กอยู่นั้น นายการุณซึ่งใส่เสื้อยืดแขนยาวสีเขียว กางเกงยีนส์ และสวมหมวก ศปภ.ได้ยืนดูอยู่ประมาณ 25 นาที ก่อนนั่งเรือตำรวจออกจากบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายการุณ ได้ปฏิเสธในเวลาต่อมาว่า ตนไม่ได้สั่งหรือนำชาวบ้านมารื้อบิ๊กแบ๊กบริเวณดังกล่าวแต่อย่างใด
ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.บอกว่า ผลจากการรื้อแนวบิ๊กแบ๊ก ทำให้น้ำในคลองเปรมประชากรสูงขึ้น 2 ซม. ซึ่งไม่นานจะไหลไปสู่ระบบระบายน้ำในคลองอื่นๆ ดังนั้น กทม.ต้องหาทางบริหารน้ำเพื่อให้ กทม.ชั้นในปลอดภัย หากสกัดไม่อยู่ มวลน้ำอาจจะเอ่อเข้าพื้นที่เขตราชเทวีได้ ทั้งนี้ หลังผู้ว่าฯ กทม.ได้ประชุมหาทางแก้ปัญหาการรื้อบิ๊กแบ๊กกับทางศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.)แล้ว ได้ข้อสรุปว่า ควรปรับสภาพแนวบิ๊กแบ๊กด้านพหลโยธินเป็นฝายน้ำล้น และช่องทางสัญจรทางเรือของชาวบ้าน ขณะเดียวกัน กทม.จะเร่งระบายน้ำในคลองต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนตั้งแต่ถนนพหลโยธิน วิภาวดีรังสิต และหลักสี่ รวมทั้งจะเร่งบรรเทาความเดือดร้อนของชาวดอนเมืองที่อยู่นอกแนวคันบิ๊กแบ๊ก ด้วยการเร่งระบายน้ำในคลองรังสิตด้วย
ต่อมา วันที่ 16 พ.ย. ก็ได้เกิดเหตุชาวบ้านเข้ารื้อบิ๊กแบ๊กอีก คราวนี้เกิดที่บริเวณถนนพหลโยธิน ช่วงแยกกรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ(คปอ.) โดยบิ๊กแบ๊กถูกรื้ออยู่ในลักษณะฝายน้ำล้นยาวประมาณ 10 เมตร ทำให้น้ำทะลักลงสู่ถนนพหลโยธินที่มุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาลภูมิพลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ศปภ.และ กทม.ต้องเร่งเจรจาหาข้อยุติ
วันต่อมา 17 พ.ย. ชาวบ้าน ต.ลาดสวาย และ ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ประมาณ 1,000 คน ก็ได้บุกเข้ารื้อแนวคันกระสอบทรายบริเวณคลองหกวาสายล่าง เขตสายไหม เป็นระยะทางยาวกว่า 100 เมตร แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศกิจกว่า 300 นายจะพยายามห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่จึงต้องล่าถอย เพราะเกรงเหตุการณ์จะบานปลาย ส่งผลให้น้ำทะลักเข้าพื้นที่เขตสายไหมท่วมสูงประมาณ 40 ซม.ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
เป็นที่น่าสังเกตว่า คืนเดียวกัน(17 พ.ย.) ขณะที่ชาวบ้านเขตสายไหมกำลังเข้าซ่อมแซมแนวคันกระสอบทรายบริเวณคลองหกวาสายล่าง ปรากฏว่า มีคนร้ายขับรถยนต์กระบะไปยังบริเวณสะพานฝั่งลำลูกกา ก่อนกลับรถแล้วปาวัตถุคล้ายระเบิดออกมาตกลงบนสะพานที่ชาวบ้านเขตสายไหมยืนอยู่ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย ด้านเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า อาจเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างความปั่นป่วน
ล่าสุด วันนี้(19 พ.ย.) ผู้เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของ กทม.-ศปภ.-ผู้ว่าฯ ปทุมธานี และชาวปทุมธานี ได้เจรจาหาข้อยุติกรณีชาวลำลูกการื้อกระสอบทรายคลองหกวาสายล่าง โดยได้ข้อสรุปว่า กทม.รับข้อเสนอของชาวปทุมธานีทุกข้อที่เรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำ 3 แห่ง 1.เปิดประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์ ที่ระดับ 1 เมตรตลอดไป 2.ประตูระบายน้ำลำหม้อแตก ให้เปิดมากขึ้นจาก 20 ซม. เป็น 50 ซม. และ 3.ประตูระบายน้ำคลองสอง ให้เปิด 1.20 เมตร จากเดิมที่เปิด 1 เมตร พร้อมทั้งเร่งระบายน้ำลงคลองคูคตให้ได้ 3-5 ซม.ต่อวัน ทั้งนี้ กทม.จะติดตามสถานการณ์หลังเปิดประตูระบายน้ำทั้ง 3 แห่งอย่างใกล้ชิด โดยจะระวังไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนิคมอุตสาหกรรมบางชัน พร้อมชี้ว่า การเปิดประตูระบายน้ำดังกล่าวจะส่งผลให้การระบายน้ำลงคลองบางบัวและคลองลาดพร้าวช้าลงกว่าเดิมประมาณ 1 สัปดาห์
ด้านนายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยถึงสถานการณ์น้ำว่า จากการตรวจสอบทั้งจากภาพถ่ายดาวเทียมและจากสภาพพื้นที่จริง คาดว่ายังเหลือมวลน้ำอยู่ไม่เกิน 6,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนใหญ่อยู่ด้าน กทม.ตะวันตก และว่า วันที่ 20 พ.ย.นี้ น้ำทะเลลงต่ำสุด จึงควรสูบน้ำลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่น้ำทะเลจะหนุนสูงสุดอีกครั้งในวันที่ 28 พ.ย. สำหรับวิธีแก้ปัญหาในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงคือ การปิดประตูระบายน้ำทั้งหมด พร้อมคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะระบายน้ำใน กทม.ได้หมด
4.โจรปล้นบ้านพ่นพิษ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ปลัดคมนาคม ถูกเด้งเข้ากรุ หลังส่อร่ำรวยผิดปกติ!
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 11 พ.ย. คนร้ายกลุ่มหนึ่ง ได้บุกเข้าปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. โดยกวาดเงินสดไปจำนวนมาก แต่ยังไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริง เพราะตอนแรกนายสุพจน์ บอกว่า คนร้ายได้เงินสดไปเล็กน้อย โดยอาจจะเห็นข่าวว่าตนเพิ่งได้รับเงินค่าสินสอดในการแต่งงานของบุตรสาว ยืนยันว่า คนร้ายไม่ใช่ได้เงินไป 10 ล้านบาทอย่างที่มีข่าว แต่คนร้ายบอกว่า ได้เงินสดไปประมาณ 200 ล้าน และไม่ได้แตะต้องเงินค่าสินสอดและเงินที่อยู่ในตู้เซฟแต่อย่างใด พร้อมบอกด้วยว่า ยังมีถุงเงินเหลืออยู่ในบ้านนายสุพจน์อีก 700-1,000 ล้านบาท
ด้าน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมแถลงผลการจับกุมคนร้ายที่จับได้แล้วบางส่วนเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ประกอบด้วย นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น อายุ 44 ปี และนายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี พร้อมของกลางเงินสดกว่า 2.8 ล้านบาท สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท 2 เส้น โดยจับกุมนายสิงห์ทองได้ที่บ้านพักย่านคลองตัน ส่วนนายเสาร์แก้วจับกุมได้ที่บ้านพักใน จ.เชียงราย
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ เผยว่า คนร้ายสารภาพว่าได้ร่วมกับพวก 6 คนก่อเหตุปล้นบ้านดังกล่าวจริง โดยมีนายวีระศักดิ์ หรือโก้ เชื่อลี อายุ 36 ปี ชาว จ.นครราชสีมา เป็นหัวหน้าแก๊ง นอกจากนี้ยังมีนายพงษ์ศักดิ์ หรือ เจี๊ยบ นามวงศ์ อายุ 35 ปี , นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี และนายคำนวณ หรือนวน เมฆน้อย อายุ 38 ปี ร่วมก่อเหตุด้วย
ด้านนายสิงห์ทอง สารภาพว่า ได้วางแผนและดูลาดเลามานานประมาณ 1 ปีแล้ว ทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีเงินสดเก็บอยู่จำนวนมาก เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วได้บุกเข้าไปขโมยเงินสดที่ใส่อยู่ในถุงและเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าภายในห้องนายสุพจน์ ซึ่งพบว่ามีเงินสดอยู่หลายถุง ส่วนเงินในตู้เซฟและเงินสินสอด พวกตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด “เบื้องต้นเงินที่พวกผมได้มาทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท โดยนายวีระศักดิ์ให้เงินจำนวน 15 ล้านบาทมาแบ่งกันใช้ไปก่อน ส่วนเงินสดที่เหลือนายวีระศักดิ์เป็นคนเก็บไว้ แล้วจะนำมาแบ่งกันภายหลัง โดยตกลงกันว่าเงินที่ได้มาทั้งหมด 50% แบ่งให้ลูกพี่ของนายวีระศักดฺ ซึ่งเป็นข้าราชการ ส่วน 30% เป็นของนายวีระศักดิ์ อีก 20% แบ่งพวกผม ส่วนภายในบ้านที่เกิดเหตุ พบเงินสดซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าต่างๆ รวมประมาณ 700-1,000 ล้านบาท”
ด้าน พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผู้กำกับการ สน.วังทองหลาง บอกว่า จำนวนเงินที่คนร้ายให้การว่าเอาไป 200 ล้านบาท และเหลือในบ้านอีก 700-1,000 ล้านบาทนั้น ทางปลัดกระทรวงคมนาคมยังไม่ได้ยืนยันมา ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบจำนวนเงินอีกครั้ง เพราะถือว่าเป็นคำให้การของผู้ต้องหา ส่วนที่มีข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จะตรวจสอบฐานะการเงินของนายสุพจน์นั้น พ.ต.อ.ธวัช บอกว่า หาก ป.ป.ช.ประสานมา ก็ยินดีจะให้ข้อมูล ขณะที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เผยว่า ได้ประสานกับตำรวจท้องที่เจ้าของสำนวนเพื่อเข้าตรวจสอบธุรกรรมการเงิน รวมถึงเส้นทางการเงินของนายสุพจน์แล้ว นอกจากนี้ยังได้ประสานความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ด้วย
หลังหลายฝ่ายเริ่มสงสัยในความร่ำรวยผิดปกติของนายสุพจน์ ที่คนร้ายแฉว่ายังมีเงินซุกซ่อนอยู่ในบ้านนายสุพจน์อีกนับพันล้านบาท ปรากฏว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งเด้งนายสุพจน์ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลทันทีในวันที่ 18 พ.ย. อย่างไรก็ตาม นายยงยุทธ อ้างว่า ที่สั่งย้ายนายสุพจน์ไม่เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะขั้นตอนอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่เนื่องจากรัฐบาลอยู่ในช่วงที่จะต้องฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะต้องใช้เงิน 4-5 หมื่นล้านบาท จึงต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องดังกล่าวมาช่วย
ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้ออกมายืนยันว่า ที่คนร้ายบอกว่าได้ปล้นเงินไป 200 ล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง รวมทั้งยืนยันว่าไม่ได้เหลือเงินอยู่ในบ้านอีกเป็นพันล้านบาทตามที่คนร้ายบอกแต่อย่างใด “เงินจำนวนมากขนาดนั้น จะเก็บไว้ยังไง จึงอยากจะขอให้ดูข้อเท็จจริงด้วย ที่ผ่านมา ผมทำงานตรงไปตรงมาตลอด ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว ขอยืนยันว่าผมบริสุทธิ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกลั่นแกล้ง จึงขอความเป็นธรรมให้กับผมด้วย”
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้อีก 2 รายเมื่อวันที่ 18 พ.ย. คือ นายวันญกฤต หรือจ๋อย บุตรกันหา อายุ 40 ปี เป็นชาว จ.นครพนม และนายบุญสืบ โจมจันทร์ อายุ 44 ปี เป็นชาว กทม.พร้อมด้วยเงินของกลาง 10 ล้านบาท และล่าสุดวันนี้(19 พ.ย.) เจ้าหน้าที่จับกุมคนร้ายได้อีก 1 รายหลังคนร้ายติดต่อขอมอบตัว คือ นายสมบูรณ์ หรือ บูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี เป็นชาว อ.แม่จัน จ.เชียงราย พร้อมของกลาง เงินสดจำนวน 9 แสนบาท
1.พันธมิตรฯ นัดชุมนุมค้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ “ทักษิณ” 21 พ.ย.นี้ ด้านแกนนำ “เสื้อแดง” ขู่ พร้อมขนม็อบชนม็อบ!
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่อ้างว่าติดภารกิจลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนที่ จ.สิงห์บุรี ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.ได้มีการพิจารณาวาระจร “ลับ” โดยให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุมทั้งหมด จากนั้นได้มีการลงมติผ่านร่าง พ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 โดยมีการกำหนดคุณสมบัติของนักโทษที่เข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธ.ค.2554 ในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ให้เข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วย ได้แก่ ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และปรับแก้จากผู้ที่มีโทษจำคุกเหลือไม่เกิน 1 ปี เป็นไม่เกิน 3 ปี นอกจากนี้ยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2553 ที่ระบุว่า ผู้ที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับคดียาเสพติดหรือคดีทุจริตคอร์รัปชั่นออกด้วย ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายได้รับอภัยโทษ ไม่เท่านั้น ร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฉบับใหม่นี้ ยังไม่ระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเข้าข่ายได้รับอภัยโทษโดยไม่ต้องถูกคุมขังแม้แต่วันเดียว
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเรื่องดังกล่าวรั่วถึงสื่อมวลชน บรรดารัฐมนตรีต่างปฏิเสธที่จะเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ พ.ร.ฎ.ดังกล่าว แม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิมยังอ้างว่า เป็นเรื่องลับ พูดไม่ได้ ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็อ้างว่าไม่ทราบ และโยนให้ไปถาม ร.ต.อ.เฉลิมแทน
ทั้งนี้ กระแสสังคมมองว่า รัฐบาลมีการวางแผนกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบกรณี ครม.ผ่านร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษที่เอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สังเกตได้จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนที่ จ.สิงห์บุรีเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ก่อนหน้าประชุม ครม.1 วัน แล้วอ้างว่าเดินทางกลับไม่ได้ ต้องค้างที่ จ.สิงห์บุรี เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ 17 ที่ใช้ในการเดินทาง ไม่สามารถบินกลางคืนได้ เพราะไม่มีเรดาห์ ทั้งที่มีคำยืนยันจากแหล่งข่าวในกองทัพว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีเรดาห์และสามารถบินกลางคืนได้ นี่ยังไม่รวมว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถบินกลับ กทม.เพื่อร่วมประชุม ครม.ในช่วงเช้าวันที่ 15 พ.ย.ได้ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับประวิงเวลา โดยเดินทางกลับมาถึง กทม.ในเวลา 11.00น. ซึ่งหากเข้าร่วมประชุม ครม.ในเวลาดังกล่าวก็ยังทัน แต่กลับไม่เข้าร่วมประชุม แถมยังมีการตรวจสอบพบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาการประชุม ครม.ไว้ก่อนหน้าแล้ว
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ได้จี้ให้รัฐบาลชี้แจงเรื่องร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าวในสภาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม รีบโบ้ยว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ยกร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว แต่คณะกรรมการที่กระทรวงยุติธรรมตั้งขึ้นเป็นผู้ยกร่าง เมื่อเสนอ ครม. ครม.ก็มีหน้าที่พิจารณา ส่วนที่ ครม.ต้องประชุมลับและไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ได้นั้น ร.ต.อ.เฉลิม อ้างว่า “เพราะยังไม่แล้วเสร็จ จึงเผยแพร่ไม่ได้ เรื่องนี้ยังต้องส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา จะเห็นด้วยหรือไม่ ยังไม่รู้... หากกฤษฎีกาเห็นด้วย ก็ส่งให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้นำเข้า ครม. เมื่อเห็นตรงกันก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ถือเป็นพระราชอำนาจโดยแท้” ร.ต.อ.เฉลิม ยังเชื่อด้วยว่า การออก พ.ร.ฎ.ดังกล่าว จะไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายตามมา
ทั้งนี้ ได้เกิดกระแสคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษที่เอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างกว้างขวาง เช่น เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน ได้รวบรวมรายชื่อประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าวทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 16 พ.ย. เพื่อให้ทรงทราบว่า ร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษดังกล่าวขัดต่อหลักสำคัญของการอภัยโทษหลายประการ เช่น การอภัยโทษต้องให้แก่ผู้ที่สำนึกผิดเท่านั้น และต้องเป็นผู้ที่ถูกคุมขังมาในระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว ไม่ใช่อภัยโทษให้แก่ผู้ที่หลบหนีคดี
ขณะที่คณาจารย์ 86 คนจาก 7 สถาบันได้เข้าชื่อออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษฉบับดังกล่าว เพราะส่อเจตนาช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างชัดเจน ทั้งยังจะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกตามมา ด้านเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน ได้ยื่นหนังสือคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าวต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 17 พ.ย.และเตรียมรวบรวมรายชื่อประชาชนที่คัดค้านกว่า 1 หมื่นชื่อ เพื่อยื่นต่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในวันที่ 22 พ.ย.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล
ส่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็รับไม่ได้เช่นกันที่รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ชี้ว่า การออก พ.ร.ฎ.ดังกล่าวของรัฐบาลเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้ามาก เพราะนอกจากชัดเจนว่ามุ่งช่วยเหลือคนคนเดียวแล้ว ยังเป็นการกดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย “การทำเช่นนี้ถือว่าระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เพราะในหลวงท่านยึดมั่นในหลักนิติรัฐว่า ความมั่นคง ความเที่ยงธรรม สามารถจะนำพาประเทศไทยให้พ้นวิกฤตและจะแก้ไขข้อขัดแย้งได้ แต่การกระทำครั้งนี้ของพรรคเพื่อไทยเป็นการจงใจจะทำลายหลักนิติรัฐ โดยอ้างเรื่องนี้บังหน้า ทั้งยังเป็นการกดดันในหลวงอย่างชัดเจน” ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุมแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 จึงได้มีมติที่จะจัดชุมนุมคัดค้าน “ร่างกฎหมายเพื่อทักษิณ หยุดทำลายหลักนิติรัฐ” ในวันจันทร์ที่ 21 พ.ย.นี้ ที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถนนพระอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-18.00 น. พร้อมยื่นหนังสือเรียกร้องให้คณะกรรมการกฤษฎีกายับยั้งร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว นอกจากนี้พันธมิตรฯ ยังจะยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้ส่งร่าง พ.ร.ฎ.ฉบับดังกล่าวไปให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมทั้งจะเสนอต่อคณะองคมนตรีให้ยับยั้งการทูลเกล้าฯ ร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว เพื่อรอให้การวินิจฉัยประเด็นปัญหาแล้วเสร็จก่อน
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากแกนนำคนเสื้อแดงเช่นกัน โดยนายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ ได้ประกาศผ่านวิทยุโจมตีคนที่ออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.อภัยโทษของรัฐบาล “การที่กลุ่มต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน เป็นกลุ่มคนเก่าๆ ที่อยู่หลังฉาก ต้องการทำลายอดีตนายกฯ ทักษิณเพียงอย่างเดียว... ผมขอฝากไปยังผู้ที่เขียนบทอยู่ข้างหลังที่สร้างปัญหากับประเทศว่า ขอให้หยุดได้แล้ว บ้านเมืองจะได้เดินหน้าต่อไป และนี่คือความต้องการที่เป็นหัวใจสำคัญของเราในการเรียกร้องประชาธิปไตย ความยุติธรรม และความต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย” พร้อมกันนี้ นายขวัญชัย ยังได้ประกาศให้แกนนำชมรมคนรักภาคอีสาน 20 จังหวัด จัดเตรียมคนเสื้อแดงไว้จังหวัดละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน เพื่อออกมาแสดงพลัง หากมีคนออกมาต่อต้าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษของรัฐบาล
ด้านนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก็ได้ออกมาประกาศกร้าว พร้อมส่งสัญญาณให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมเช่นกัน “วันนี้ต้องพูดกันตรงๆ ว่ามวลชนคนเสื้อแดงมีมากกว่ามวลชนที่คัดค้านการขอพระราชทานอภัยโทษอยู่แล้ว ที่ผ่านมาคนเสื้อแดงรู้สึกเหมือนถูกกระทำมาตลอด ยิ่งถ้าต้องให้ยอมรับการการกลั่นแกล้งทั้งหมดอีก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ จึงไม่แปลกเลย หากมีคนคัดค้านการขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วมวลชนคนเสื้อแดงจะออกมา วันนี้คนเสื้อแดงทุกคนพร้อมอยู่แล้ว หากเกิดปัญหาขึ้นมา ก็จะกลายเป็นมวลชนชนมวลชน ประเทศจะเสียหายมากกว่านี้”
2. ฝ่ายค้าน ได้ฤกษ์ยื่นถอดถอน 7 ส.ส.เพื่อไทย ใช้อำนาจขัด รธน. ด้าน “ประชา” ถูกยื่นซักฟอกเดี่ยว ฐานปล่อยทุจริตถุงยังชีพ!
เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) ได้มีมติที่จะยื่นถอดถอน 7 ส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หลังพบว่า ส.ส.ทั้ง 7 คนทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 265 และ 266 ที่ระบุว่า ส.ส.ต้องไม่ดำรงตำแหน่งหน้าที่ในหน่วยราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ และต้องไม่ใช้ตำแหน่งเข้าไปแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับ ส.ส.ที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติยื่นถอดถอนทั้ง 7 คน ประกอบด้วย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ,นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. ,นายสุรชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม. ,นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. ,นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. ,นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ และนายวรชัย เหมมะ ส.ส.สมุทรปราการ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน บอกว่า ในการถอดถอน ส.ส.ทั้ง 7 ฝ่ายค้านจะดำเนินการ 2 ทาง 1.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตามมาตรา 91 ว่า ส.ส.ทั้ง 7 สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.หรือไม่ และ 2.ยื่นต่อต่อประธานวุฒิสภาตามมาตรา 270 เพื่อให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตรวจสอบพฤติกรรมของ ส.ส.ทั้ง 7 ว่ามีมูลความผิดตามมาตรา 265 และ 266 หรือไม่ หาก ป.ป.ช.เห็นว่ามีมูล ก็จะส่งเรื่องกลับมาให้วุฒิสภาเพื่อมีมติถอดถอนต่อไป
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญนั้น นายจุรินทร์ บอกว่า ฝ่ายค้านมีมติอภิปรายรัฐมนตรีเพียงคนเดียว คือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 265 และ 266 และบริหารราชการล้มเหลว จงใจให้เกิดการทุจริต “ขอยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่เกมการเมืองของฝ่ายค้านเพื่อล้มรัฐบาลตามที่กล่าวหา เมื่อพบว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น ก็ถือเป็นภาคบังคับที่เราต้องดำเนินการ”
ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ได้นำรายชื่อ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 125 คน หรือ 1 ใน 4 ของ ส.ส.ที่มีอยู่ในสภา ยื่นถอดถอน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และ ส.ส.อีก 6 คน ต่อ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน(17 พ.ย.) ด้าน พล.อ.ธีรเดช บอกว่า จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของ ส.ส.ที่เข้าชื่อ ภายใน 30 วัน จากนั้นจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบตามขั้นตอน เมื่อ ป.ป.ช.ส่งเรื่องกลับมาให้วุฒิสภาแล้ว ต้องใช้มติ 3 ใน 5 ในการถอดถอน
วันต่อมา(18 พ.ย.) นายจุรินทร์ ได้นำรายชื่อ ส.ส.ของพรรคจำนวน 153 คน ซึ่งไม่ต่ำกว่า 1 ใน 6 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดที่มีอยู่ เข้ายื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามที่ได้มีมติว่าจะอภิปราย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ด้านนายสมศักดิ์ บอกว่า น่าจะเปิดให้มีการอภิปราย 1 วัน คือวันที่ 27 พ.ย.เพราะอภิปรายรัฐมนตรีคนเดียว โดยจะเริ่มอภิปรายได้เวลา 09.30น.และปิดอภิปรายก่อนเวลา 24.00น. ส่วนวันที่ 28 พ.ย.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไป ให้เป็นวันลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ด้าน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งโดน 2 เด้ง ทั้งถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจและยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งทั้งตำแหน่งรัฐมนตรีและ ส.ส. พูดถึงเรื่องนี้เพียงสั้นๆ ว่า “ไม่เป็นไร เป็นเรื่องของฝ่ายค้าน เราก็ชี้แจงไป”
ขณะที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ส.ส.ที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอน ก็ออกมาสวนกลับว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการใช้ประเด็นถอดถอนมาปิดปากตนไม่ให้เปิดโปงตรวจสอบทุจริตจัดซื้อและติดตั้งกล้องวงจรปิดหรือซีซีทีวีใน กทม.รวมถึงการตรวจสอบ 172 โครงการในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า ซึ่งตนจะยื่นฟ้องเอาผิดพรรคประชาธิปัตย์ฐานหมิ่นประมาท ใส่ความเท็จ ทำให้ตนเสียหาย โดยเฉพาะนายจุรินทร์ จะฟ้องฐานละเมิดเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 100 ล้านบาท
3.ชาวบ้านแห่รื้อบิ๊กแบ๊กหลายจุด สะพัด “การุณ โหสกุล” เอี่ยวด้วย ด้าน กทม.ยอมชาวลำลูกกา เปิดประตูระบายน้ำ 3 แห่ง!
สถานการณ์น้ำท่วมสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่น้ำลดระดับลงเรื่อยๆ ส่งผลให้นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ(กยน.) เชื่อว่า ถนนสายหลักต่างๆ ทางฝั่งเหนือของ กทม.จะสามารถกลับมาใช้งานได้ภายใน 7-10 วัน พร้อมมั่นใจว่า บริเวณตอนใต้ของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแทบไม่มีโอกาสที่น้ำจะท่วมขังเป็นบริเวณกว้าง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายจุดที่มีปัญหาน้ำท่วม ก็คือ ชาวบ้านรื้อบิ๊กแบ๊กหรือพังแนวคันกั้นน้ำ เพื่อให้น้ำระบายออกจากจุดที่ตนเดือดร้อนอยู่ ส่งผลให้ กทม.ห่วงว่าการรื้อบิ๊กแบ๊ก จะส่งผลให้น้ำทะลักเข้า กทม.ชั้นในได้ ขณะที่การรื้อบิ๊กแบ๊กบางจุดมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เช่น ที่บริเวณตอนเหนือของสนามบินดอนเมือง โดยชาวบ้านได้รวมตัวเข้ารื้อบิ๊กแบ๊กเมื่อวันที่ 13 พ.ย. พร้อมทั้งนำมีดคัตเตอร์มากรีดถุงบิ๊กแบ๊กด้วย โดยบอกว่า นายการุณ โหสกุล ส.ส.เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย สั่งให้มารื้อ ส่งผลให้แนวบิ๊กแบ๊กถูกรื้อเป็นแนวยาวประมาณ 20 เมตร ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่ชาวบ้านกำลังรื้อบิ๊กแบ๊กอยู่นั้น นายการุณซึ่งใส่เสื้อยืดแขนยาวสีเขียว กางเกงยีนส์ และสวมหมวก ศปภ.ได้ยืนดูอยู่ประมาณ 25 นาที ก่อนนั่งเรือตำรวจออกจากบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายการุณ ได้ปฏิเสธในเวลาต่อมาว่า ตนไม่ได้สั่งหรือนำชาวบ้านมารื้อบิ๊กแบ๊กบริเวณดังกล่าวแต่อย่างใด
ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.บอกว่า ผลจากการรื้อแนวบิ๊กแบ๊ก ทำให้น้ำในคลองเปรมประชากรสูงขึ้น 2 ซม. ซึ่งไม่นานจะไหลไปสู่ระบบระบายน้ำในคลองอื่นๆ ดังนั้น กทม.ต้องหาทางบริหารน้ำเพื่อให้ กทม.ชั้นในปลอดภัย หากสกัดไม่อยู่ มวลน้ำอาจจะเอ่อเข้าพื้นที่เขตราชเทวีได้ ทั้งนี้ หลังผู้ว่าฯ กทม.ได้ประชุมหาทางแก้ปัญหาการรื้อบิ๊กแบ๊กกับทางศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.)แล้ว ได้ข้อสรุปว่า ควรปรับสภาพแนวบิ๊กแบ๊กด้านพหลโยธินเป็นฝายน้ำล้น และช่องทางสัญจรทางเรือของชาวบ้าน ขณะเดียวกัน กทม.จะเร่งระบายน้ำในคลองต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนตั้งแต่ถนนพหลโยธิน วิภาวดีรังสิต และหลักสี่ รวมทั้งจะเร่งบรรเทาความเดือดร้อนของชาวดอนเมืองที่อยู่นอกแนวคันบิ๊กแบ๊ก ด้วยการเร่งระบายน้ำในคลองรังสิตด้วย
ต่อมา วันที่ 16 พ.ย. ก็ได้เกิดเหตุชาวบ้านเข้ารื้อบิ๊กแบ๊กอีก คราวนี้เกิดที่บริเวณถนนพหลโยธิน ช่วงแยกกรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ(คปอ.) โดยบิ๊กแบ๊กถูกรื้ออยู่ในลักษณะฝายน้ำล้นยาวประมาณ 10 เมตร ทำให้น้ำทะลักลงสู่ถนนพหลโยธินที่มุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาลภูมิพลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ศปภ.และ กทม.ต้องเร่งเจรจาหาข้อยุติ
วันต่อมา 17 พ.ย. ชาวบ้าน ต.ลาดสวาย และ ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ประมาณ 1,000 คน ก็ได้บุกเข้ารื้อแนวคันกระสอบทรายบริเวณคลองหกวาสายล่าง เขตสายไหม เป็นระยะทางยาวกว่า 100 เมตร แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศกิจกว่า 300 นายจะพยายามห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่จึงต้องล่าถอย เพราะเกรงเหตุการณ์จะบานปลาย ส่งผลให้น้ำทะลักเข้าพื้นที่เขตสายไหมท่วมสูงประมาณ 40 ซม.ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
เป็นที่น่าสังเกตว่า คืนเดียวกัน(17 พ.ย.) ขณะที่ชาวบ้านเขตสายไหมกำลังเข้าซ่อมแซมแนวคันกระสอบทรายบริเวณคลองหกวาสายล่าง ปรากฏว่า มีคนร้ายขับรถยนต์กระบะไปยังบริเวณสะพานฝั่งลำลูกกา ก่อนกลับรถแล้วปาวัตถุคล้ายระเบิดออกมาตกลงบนสะพานที่ชาวบ้านเขตสายไหมยืนอยู่ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย ด้านเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า อาจเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างความปั่นป่วน
ล่าสุด วันนี้(19 พ.ย.) ผู้เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของ กทม.-ศปภ.-ผู้ว่าฯ ปทุมธานี และชาวปทุมธานี ได้เจรจาหาข้อยุติกรณีชาวลำลูกการื้อกระสอบทรายคลองหกวาสายล่าง โดยได้ข้อสรุปว่า กทม.รับข้อเสนอของชาวปทุมธานีทุกข้อที่เรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำ 3 แห่ง 1.เปิดประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์ ที่ระดับ 1 เมตรตลอดไป 2.ประตูระบายน้ำลำหม้อแตก ให้เปิดมากขึ้นจาก 20 ซม. เป็น 50 ซม. และ 3.ประตูระบายน้ำคลองสอง ให้เปิด 1.20 เมตร จากเดิมที่เปิด 1 เมตร พร้อมทั้งเร่งระบายน้ำลงคลองคูคตให้ได้ 3-5 ซม.ต่อวัน ทั้งนี้ กทม.จะติดตามสถานการณ์หลังเปิดประตูระบายน้ำทั้ง 3 แห่งอย่างใกล้ชิด โดยจะระวังไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนิคมอุตสาหกรรมบางชัน พร้อมชี้ว่า การเปิดประตูระบายน้ำดังกล่าวจะส่งผลให้การระบายน้ำลงคลองบางบัวและคลองลาดพร้าวช้าลงกว่าเดิมประมาณ 1 สัปดาห์
ด้านนายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยถึงสถานการณ์น้ำว่า จากการตรวจสอบทั้งจากภาพถ่ายดาวเทียมและจากสภาพพื้นที่จริง คาดว่ายังเหลือมวลน้ำอยู่ไม่เกิน 6,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนใหญ่อยู่ด้าน กทม.ตะวันตก และว่า วันที่ 20 พ.ย.นี้ น้ำทะเลลงต่ำสุด จึงควรสูบน้ำลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่น้ำทะเลจะหนุนสูงสุดอีกครั้งในวันที่ 28 พ.ย. สำหรับวิธีแก้ปัญหาในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงคือ การปิดประตูระบายน้ำทั้งหมด พร้อมคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะระบายน้ำใน กทม.ได้หมด
4.โจรปล้นบ้านพ่นพิษ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ปลัดคมนาคม ถูกเด้งเข้ากรุ หลังส่อร่ำรวยผิดปกติ!
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 11 พ.ย. คนร้ายกลุ่มหนึ่ง ได้บุกเข้าปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. โดยกวาดเงินสดไปจำนวนมาก แต่ยังไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริง เพราะตอนแรกนายสุพจน์ บอกว่า คนร้ายได้เงินสดไปเล็กน้อย โดยอาจจะเห็นข่าวว่าตนเพิ่งได้รับเงินค่าสินสอดในการแต่งงานของบุตรสาว ยืนยันว่า คนร้ายไม่ใช่ได้เงินไป 10 ล้านบาทอย่างที่มีข่าว แต่คนร้ายบอกว่า ได้เงินสดไปประมาณ 200 ล้าน และไม่ได้แตะต้องเงินค่าสินสอดและเงินที่อยู่ในตู้เซฟแต่อย่างใด พร้อมบอกด้วยว่า ยังมีถุงเงินเหลืออยู่ในบ้านนายสุพจน์อีก 700-1,000 ล้านบาท
ด้าน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมแถลงผลการจับกุมคนร้ายที่จับได้แล้วบางส่วนเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ประกอบด้วย นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น อายุ 44 ปี และนายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี พร้อมของกลางเงินสดกว่า 2.8 ล้านบาท สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท 2 เส้น โดยจับกุมนายสิงห์ทองได้ที่บ้านพักย่านคลองตัน ส่วนนายเสาร์แก้วจับกุมได้ที่บ้านพักใน จ.เชียงราย
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ เผยว่า คนร้ายสารภาพว่าได้ร่วมกับพวก 6 คนก่อเหตุปล้นบ้านดังกล่าวจริง โดยมีนายวีระศักดิ์ หรือโก้ เชื่อลี อายุ 36 ปี ชาว จ.นครราชสีมา เป็นหัวหน้าแก๊ง นอกจากนี้ยังมีนายพงษ์ศักดิ์ หรือ เจี๊ยบ นามวงศ์ อายุ 35 ปี , นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี และนายคำนวณ หรือนวน เมฆน้อย อายุ 38 ปี ร่วมก่อเหตุด้วย
ด้านนายสิงห์ทอง สารภาพว่า ได้วางแผนและดูลาดเลามานานประมาณ 1 ปีแล้ว ทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีเงินสดเก็บอยู่จำนวนมาก เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วได้บุกเข้าไปขโมยเงินสดที่ใส่อยู่ในถุงและเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าภายในห้องนายสุพจน์ ซึ่งพบว่ามีเงินสดอยู่หลายถุง ส่วนเงินในตู้เซฟและเงินสินสอด พวกตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใด “เบื้องต้นเงินที่พวกผมได้มาทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท โดยนายวีระศักดิ์ให้เงินจำนวน 15 ล้านบาทมาแบ่งกันใช้ไปก่อน ส่วนเงินสดที่เหลือนายวีระศักดิ์เป็นคนเก็บไว้ แล้วจะนำมาแบ่งกันภายหลัง โดยตกลงกันว่าเงินที่ได้มาทั้งหมด 50% แบ่งให้ลูกพี่ของนายวีระศักดฺ ซึ่งเป็นข้าราชการ ส่วน 30% เป็นของนายวีระศักดิ์ อีก 20% แบ่งพวกผม ส่วนภายในบ้านที่เกิดเหตุ พบเงินสดซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าต่างๆ รวมประมาณ 700-1,000 ล้านบาท”
ด้าน พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผู้กำกับการ สน.วังทองหลาง บอกว่า จำนวนเงินที่คนร้ายให้การว่าเอาไป 200 ล้านบาท และเหลือในบ้านอีก 700-1,000 ล้านบาทนั้น ทางปลัดกระทรวงคมนาคมยังไม่ได้ยืนยันมา ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบจำนวนเงินอีกครั้ง เพราะถือว่าเป็นคำให้การของผู้ต้องหา ส่วนที่มีข่าวว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จะตรวจสอบฐานะการเงินของนายสุพจน์นั้น พ.ต.อ.ธวัช บอกว่า หาก ป.ป.ช.ประสานมา ก็ยินดีจะให้ข้อมูล ขณะที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เผยว่า ได้ประสานกับตำรวจท้องที่เจ้าของสำนวนเพื่อเข้าตรวจสอบธุรกรรมการเงิน รวมถึงเส้นทางการเงินของนายสุพจน์แล้ว นอกจากนี้ยังได้ประสานความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ด้วย
หลังหลายฝ่ายเริ่มสงสัยในความร่ำรวยผิดปกติของนายสุพจน์ ที่คนร้ายแฉว่ายังมีเงินซุกซ่อนอยู่ในบ้านนายสุพจน์อีกนับพันล้านบาท ปรากฏว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งเด้งนายสุพจน์ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลทันทีในวันที่ 18 พ.ย. อย่างไรก็ตาม นายยงยุทธ อ้างว่า ที่สั่งย้ายนายสุพจน์ไม่เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะขั้นตอนอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่เนื่องจากรัฐบาลอยู่ในช่วงที่จะต้องฟื้นฟูประเทศหลังน้ำลด โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะต้องใช้เงิน 4-5 หมื่นล้านบาท จึงต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องดังกล่าวมาช่วย
ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้ออกมายืนยันว่า ที่คนร้ายบอกว่าได้ปล้นเงินไป 200 ล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง รวมทั้งยืนยันว่าไม่ได้เหลือเงินอยู่ในบ้านอีกเป็นพันล้านบาทตามที่คนร้ายบอกแต่อย่างใด “เงินจำนวนมากขนาดนั้น จะเก็บไว้ยังไง จึงอยากจะขอให้ดูข้อเท็จจริงด้วย ที่ผ่านมา ผมทำงานตรงไปตรงมาตลอด ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว ขอยืนยันว่าผมบริสุทธิ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกลั่นแกล้ง จึงขอความเป็นธรรมให้กับผมด้วย”
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้อีก 2 รายเมื่อวันที่ 18 พ.ย. คือ นายวันญกฤต หรือจ๋อย บุตรกันหา อายุ 40 ปี เป็นชาว จ.นครพนม และนายบุญสืบ โจมจันทร์ อายุ 44 ปี เป็นชาว กทม.พร้อมด้วยเงินของกลาง 10 ล้านบาท และล่าสุดวันนี้(19 พ.ย.) เจ้าหน้าที่จับกุมคนร้ายได้อีก 1 รายหลังคนร้ายติดต่อขอมอบตัว คือ นายสมบูรณ์ หรือ บูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี เป็นชาว อ.แม่จัน จ.เชียงราย พร้อมของกลาง เงินสดจำนวน 9 แสนบาท