ASTVผู้จัดการรายวัน - ธปท.เผยภาคธุรกิจเร่งฟื้นฟูหลังน้ำแห้ง คาดไตรมาส 2 ของปีหน้าภาคการผลิตจะเริ่มฟื้นตัวชัด ระบุประมาณการเศรษฐกิจไทยปีหน้าโต 4.8% ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจยุโรปโตน้อยหรือไม่โตเลย ขณะที่ส่งออกไทยปี 55 ไม่สดใสนัก
นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการในหลายธุรกิจมีความตั้งใจในการปรับตัวค่อนข้างมากทั้งความพยายามในการฟื้นฟูกิจการภายหลังได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยการอาศัยแหล่งผลิตอื่น หรือการนำเข้าวัตถุดิบทดแทน ซึ่งจากการสำรวจของธปท. พบว่า ผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยเริ่มเห็นตั้งแต่เดือนต.ค.ที่ผ่านมา และยังต่อเนื่องมาในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งธปท.จะรายงานเศรษฐกิจจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนนี้ แต่ในช่วงเดือนธ.ค. สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นบ้าง ฉะนั้น คาดว่าภาคการผลิตไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 55 และฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 นี้
สำหรับประเด็นความพยายามแก้ไขปัญหาของกลุ่มประเทศยุโรปนั้น ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค ธปท.กล่าวว่า ปัญหาหนี้สินในกลุ่มประเทศยุโรปเป็นความเสี่ยงตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและต้องใช้เวลาในการแก้ไข ซึ่งสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังอยู่ แม้ในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป(อียู)จะออกแพ็คเก็จระบบการคลังเข้มงวดมากขึ้น แต่ตลาดมองว่าเป็นการแก้ไขปัญหาช่วงสั้นๆ และควรทำอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้
"ธปท.ประเมินไว้อยู่แล้วว่าเศรษฐกิจยุโรปโตน้อยหรือไม่โตเลย อีกนัยหนึ่ง คือ ขยายตัวเป็นศูนย์หรือติดลบเล็กน้อยในสมมติฐานกรณีปกติ เทียบกับภูมิภาคเอเชียยังไปได้ดี โดยเฉพาะประเทศจีน ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯก็เริ่มดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย จากปัจจัยสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ธปท.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าโตประมาณ 4.8% ซึ่งมองว่าการฟื้นตัวจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และจากความไม่แน่นอนต่างๆ จากปัจจัยภายนอกประเทศจะมีผลต่อกำลังซื้อสินค้าจากไทย ทำให้ภาคการส่งออกไทยในปี 55 คาดว่าจะชะลอกว่าปี 54"
เชื่อศักยภาพธุรกิจไทยเดินหน้าได้
ด้านน.ส.นวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ก่อนช่วงน้ำท่วม ภาคธุรกิจไทยก็มีพื้นฐานที่ดีและไม่มีอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็ยังอยู่สภาพเกื้อหนุนได้อยู่ โดยเฉพาะแง่ของสภาพคล่อง ดังนั้น หากภาคธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้เร็ว ก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากปัจจุบันตลาดยังรอซื้อสินค้าจากไทยอยู่ และเกิดการจ้างงานและผลผลิตตามมา จึงไม่ต้องห่วงเรื่องปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) มากนัก เพราะตัวธนาคารต่างพยายามดูแลลูกค้าให้ดีที่สุดเช่นกัน
รายงานข่าวจากธปท.แจ้งว่า ข้อมูลล่าสุดไตรมาส 3 ของปีนี้ ในระบบมีสัดส่วนเอ็นพีแอล 2.8% และเมื่อหักเงินกันสำรองแล้ว(เอ็นพีแอลสุทธิ)เหลือ 1.4% ถือว่าลดลงเรื่อยๆ โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเอ็นพีแอลอยู่ที่ 3% และเอ็นพีแอลสุทธิ 1.6%
นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการในหลายธุรกิจมีความตั้งใจในการปรับตัวค่อนข้างมากทั้งความพยายามในการฟื้นฟูกิจการภายหลังได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยการอาศัยแหล่งผลิตอื่น หรือการนำเข้าวัตถุดิบทดแทน ซึ่งจากการสำรวจของธปท. พบว่า ผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยเริ่มเห็นตั้งแต่เดือนต.ค.ที่ผ่านมา และยังต่อเนื่องมาในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งธปท.จะรายงานเศรษฐกิจจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนนี้ แต่ในช่วงเดือนธ.ค. สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นบ้าง ฉะนั้น คาดว่าภาคการผลิตไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 55 และฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 นี้
สำหรับประเด็นความพยายามแก้ไขปัญหาของกลุ่มประเทศยุโรปนั้น ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค ธปท.กล่าวว่า ปัญหาหนี้สินในกลุ่มประเทศยุโรปเป็นความเสี่ยงตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและต้องใช้เวลาในการแก้ไข ซึ่งสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังอยู่ แม้ในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป(อียู)จะออกแพ็คเก็จระบบการคลังเข้มงวดมากขึ้น แต่ตลาดมองว่าเป็นการแก้ไขปัญหาช่วงสั้นๆ และควรทำอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้
"ธปท.ประเมินไว้อยู่แล้วว่าเศรษฐกิจยุโรปโตน้อยหรือไม่โตเลย อีกนัยหนึ่ง คือ ขยายตัวเป็นศูนย์หรือติดลบเล็กน้อยในสมมติฐานกรณีปกติ เทียบกับภูมิภาคเอเชียยังไปได้ดี โดยเฉพาะประเทศจีน ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯก็เริ่มดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย จากปัจจัยสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ธปท.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าโตประมาณ 4.8% ซึ่งมองว่าการฟื้นตัวจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และจากความไม่แน่นอนต่างๆ จากปัจจัยภายนอกประเทศจะมีผลต่อกำลังซื้อสินค้าจากไทย ทำให้ภาคการส่งออกไทยในปี 55 คาดว่าจะชะลอกว่าปี 54"
เชื่อศักยภาพธุรกิจไทยเดินหน้าได้
ด้านน.ส.นวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ก่อนช่วงน้ำท่วม ภาคธุรกิจไทยก็มีพื้นฐานที่ดีและไม่มีอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็ยังอยู่สภาพเกื้อหนุนได้อยู่ โดยเฉพาะแง่ของสภาพคล่อง ดังนั้น หากภาคธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้เร็ว ก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากปัจจุบันตลาดยังรอซื้อสินค้าจากไทยอยู่ และเกิดการจ้างงานและผลผลิตตามมา จึงไม่ต้องห่วงเรื่องปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) มากนัก เพราะตัวธนาคารต่างพยายามดูแลลูกค้าให้ดีที่สุดเช่นกัน
รายงานข่าวจากธปท.แจ้งว่า ข้อมูลล่าสุดไตรมาส 3 ของปีนี้ ในระบบมีสัดส่วนเอ็นพีแอล 2.8% และเมื่อหักเงินกันสำรองแล้ว(เอ็นพีแอลสุทธิ)เหลือ 1.4% ถือว่าลดลงเรื่อยๆ โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเอ็นพีแอลอยู่ที่ 3% และเอ็นพีแอลสุทธิ 1.6%