xs
xsm
sm
md
lg

เป่านกหวีด เตรียมชุมนุม!?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

21 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมืองได้พิพากษาที่ให้ภรรยาได้ไปประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ) จำนวน 772 ล้านบาทว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายให้บริหารราชการแผ่นดินเป็นหัวหน้ารัฐบาลจึงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจกำกับดูแลหน่วยงานของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จึงถือได้ว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ตามมาตรา 100 และมีโทษตามมาตรา 122 ให้จำคุก 2 ปี

ก่อนหน้านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ขอเดินทางออกนอกประเทศ โดยอ้างว่าจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและจีนระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-10 สิงหาคม พ.ศ. 2551 และจะเดินทางไปอังกฤษวันที่ 15-20 สิงหาคม ส่วนคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลว่าจะเดินทางไปประเทศจีนระหว่างวันที่ 5-10 สิงหาคม และไปประเทศอังกฤษวันที่ 15-20 สิงหาคม พ.ศ. 2551 และจากนั้นนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ได้กลับประเทศไทยเลยมาจนถึงปัจจุบันนี้

ถ้านับจากเวลาที่หนีอาญาแผ่นดินศาลตัดสินมาถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือนเศษ แล้ว ที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้กลับเข้ามาประเทศเพราะ “หนีบทลงโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ซึ่งแตกต่างจากการไม่กลับประเทศช่วงหลัง 19 กันยายน 2549-28 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งอ้างเหตุผลว่าจะไม่กลับมาในช่วงรัฐบาลรัฐประหาร

การตัดสินคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในช่วงปี 2551 นั้นเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ทำให้นักโทษชายทักษิณหมดข้ออ้างว่าเป็นศาลที่ทำงานภายใต้บรรยากาศการรัฐประหาร ได้แต่เพียงเล่าสัมภาษณ์ให้นักข่าวต่างชาติหรือมวลชนคนเสื้อแดงในการเหยียดหยามดูถูกผู้พิพากษา เพียงเพราะตัวเอง “ไม่พอใจผลของคำพิพากษา” เท่านั้น

สิ่งที่ทำให้เชื่อว่านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จะเพียงแค่ไม่พอใจผลของคำพิพากษามากกว่าเหตุผลที่ว่ามีการแทรกแซงศาลหรือกระบวนการยุติธรรมนั้น ก็เพราะคำสัมภาษณ์ของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรเองที่ระบุอยู่ตลอดเวลาก่อนคำตัดสินว่าเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและศาลไทย ดังปรากฏคำสัมภาษณ์หลายครั้งดังนี้

5 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเกียวโดในระหว่างเดินทางไปบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัยทากุโชกุ ประเทศญี่ปุ่นว่า:

“ผมจะกลับมาเผชิญความจริง และต่อสู้คดีความต่างๆ เมื่อระบบยุติธรรมกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ในช่วงนี้ เนื่องจากต้องรอให้ความยุติธรรม และประชาธิปไตยได้รับการฟื้นฟูก่อน”

และก่อนกลับมาในวันมี่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551 โดยระบุความตอนหนึ่งว่า:

“ผมขอเรียนยืนยันว่า คุณหญิงพจมานและผมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกคดีและทุกข้อกล่าวหา เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของครอบครัว โดยผมและครอบครัวมีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความเป็นธรรมและความยุติธรรมจากสถาบันตุลาการ...

ผมได้ยืนยันมาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ผมพร้อมที่จะเดินกลับประเทศไทยเพื่อที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์และต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม แต่ผมไม่ต้องการเป็นชนวนหรือนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องชาวไทย ซึ่งอาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่ซ้ำเติมสภาวการณ์ของประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคนยิ่งขึ้นไปอีก

ดังนั้น ผมขอเรียนยืนยันต่อพี่น้องชาวไทยว่า เมื่อได้เวลาอันสมควร ผมจะเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมและครอบครัว ตามกระบวนการยุติธรรมอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปตามหลักนิติธรรมอย่างแน่นอน”

แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะที่จะกลับประเทศไทยนั้น ไม่เคยบอกว่าศาลถูกแทรกแซง มีอำมาตย์อยู่เบื้องหลัง และไม่เคยให้สัมภาษณ์เหมือนกับที่พูดกับนักข่าวต่างประเทศในเวลาต่อมาในเชิงเสียดสีว่าศาลไทยเป็นเหมือนมิกกี้เมาท์ ไม่เคยบ่นสักนิดว่าทำไมศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นศาลการเมือง ไม่เคยเรียกร้องคัดค้านการตัดสินของศาลเดียวในทางสาธารณะแต่ประการใด

เพราะในเวลานั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เชื่อใช่หรือไม่ว่า ถึงแม้หากกระบวนการไต่สวนจะมาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จะจัดตั้งโดยคณะรัฐประหารก็ตาม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีสิทธิ์ที่จะพิสูจน์ได้ในกระบวนการยุติธรรมในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงมั่นใจในศาลไทยในเวลานั้น?

หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเกิดความมั่นใจ อันเกี่ยวเนื่องกับแผนการจากกรณีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ซึ่งอดีตทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณ มายื่นคำร้องและยื่นถุงขนมให้เจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดดู ก็พบเงินสด 2 ล้านบาท จึงสอบถามว่ามีความประสงค์อย่างไร อดีตทนายความตอบว่า “เอาไปแบ่งๆ กัน” แต่โชคร้ายถูกจับได้เสียก่อนจนเกิดเรื่องอื้อฉาวในที่สุด

หลังศาลได้ตัดสินและพิสูจน์ความจริงตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เคยกล่าวว่าจะยอมรับนั้น เหตุการณ์กลับตรงกันข้ามเพราะนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้ลุกขึ้นสู้อ้างมาในภายหลังเกิดจากอำนาจ คตส.ซึ่งจัดตั้งโดยรัฐบาลเผด็จการรัฐประหาร ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงวันที่ต่อสู้คดีความนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็รู้ตัวอยู่แล้ว จึงได้กลับมาและพร้อมพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม

ไม่มีใครห้ามนักโทษชายทักษิณกลับบ้าน ในทางตรงกันข้ามยังสนับสนุนให้นักโทษชายทักษิณกลับมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมที่ตัวเองได้ลั่นวาจาเอาไว้ว่าพร้อมพิสูจน์ตัวเองในศาล

แต่ 3 ปี 4 เดือนเศษมาแล้ว ที่ประเทศไทยวนเวียนอยู่กับปัญหาของคนคนเดียว ที่ทำให้ประเทศชาติวุ่นวายมาจนถึงวันนี้ และยังคงไม่จบสิ้น ด้วยเหตุผลประการเดียวคือ อยากกลับประเทศไทยโดยไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องสำนึกผิด และไม่ต้องรับโทษ

ก็ได้แต่ฝันไปบ้าง โม้ไปบ้าง ว่าจะกลับมาเมื่อนั้นเมื่อนี้ ซึ่งเป็นฝันลมๆ แล้งๆ ที่เหล่าบริวารคอยเอาอกเอาใจ หรือบางครั้งก็เอาใจปลุกระดมมวลชนให้ฮึกเหิมให้ไปเสี่ยงตาย มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร วิดีโอลิงก์เข้ารายการความจริงวันนี้ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ปราศรัยความตอนหนึ่งว่า:

“ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอก นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนทุกท่าน จริงไหมครับ”

28 มีนาคม พ.ศ. 2552 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร โฟนอิน ความตอนหนึ่งว่า:

“ถ้าพี่น้องบอกว่าทักษิณมาทำเองเลย พร้อมครับ จะขอเหนื่อยตอนอายุหกสิบเนี่ยอีกครั้งหนึ่งผมพร้อมครับ ถ้าผมต้องเดินเข้าประเทศไทยแล้วเราเดินไปด้วยกัน เพื่อได้ประชาธิปไตยซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ”

30 มีนาคม พ.ศ. 2552 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร วิดีโอลิงก์มาที่เวทีปราศรัยทำเนียบรัฐบาล ความตอนหนึ่งว่า:

“ถ้าพี่น้องมากันเยอะอย่างนี้ทุกวัน จะมาพูดกับผู้ชุมนุมทุกวัน แม้จะเหนื่อย เหงา คิดถึงบ้าน แต่เห็นคนมาเยอะทำให้มีกำลังใจมาก ผมอยากกลับไปทำงานให้พี่น้อง ถ้าพร้อมใช้ผม ผมยินดีรับใช้ แม้เริ่มแก่ แต่คิดว่ายังแข็งแรงและมีสติปัญญาพอ เพราะวันนี้ถือว่ารับใช้ชาติ และประชาชนเป็นหน้าที่หลัก ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไปนำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพฯ ทันที

31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร โฟนอินมาที่เวทีเพื่อขอบคุณคนเสื้อแดงที่ลงชื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ตนเอง

“อีกไม่นานเกินรอ หวังว่าจะกลับไปอยู่ท่ามกลางพี่น้องที่สนับสนุน จะกลับไปตอบแทนทุกคน และจะกลับไปถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงสบายพระทัย และหวังว่าจะได้กลับเมืองไทยตอนอายุ 61 ปี”

29 มกราคม พ.ศ. 2553 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้โทรศัพท์เข้ามาโฟนอินกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมประท้วงอยู่หน้ากองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่ เพื่อขับไล่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ. 5 พ้นจากตำแหน่ง ความตอนหนึ่งว่า:

“อีกไม่นานผมเองก็จะได้เดินทางกลับมาแล้วขอให้พี่น้องเสื้อแดงสบายใจได้เมื่อกลับมาจะดูแลทุกคนอย่างดี”

29 มกราคม พ.ศ. 2554 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินพูดคุยกับผู้ร่วมงานทอดผ้าป่ามหากุศล ที่วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ความตอนหนึ่งว่า:

“ผมมีวิธีที่จะทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองโดยเร็ว แต่ขอให้กลับมาประเทศไทยได้ก่อน ที่สำคัญก็ขอให้ทุกคนสนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้ชนะการเลือกตั้ง ผมก็จะได้กลับมาประเทศไทย”

16 มีนาคม พ.ศ. 2554 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวรอยเตอร์ว่า:

“ผมอยากกลับบ้านสิ้นปีเพื่อมางานแต่งงานของลูกสาว”

9 เมษายน พ.ศ. 2554 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินเข้ามาพูดคุยกับชาวลำปางและกลุ่มเสื้อแดงที่ได้รวมตัวกัน ณ สนามกีฬากลางหนองกระทิง อ.เมือง จ.ลำปาง ความตอนหนึ่งว่า:

“คิดถึงเมืองไทย พี่น้องคนเสื้อแดงมาก และอยากกลับเมืองไทย หากมีการเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะ และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีก 3 เดือนให้หลังจะกลับมาเมืองไทยเพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อบ้านเมืองของเราจะได้ไม่ถดถอยเหมือนอย่างทุกวันนี้”

8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้ติดต่อผ่านโปรแกรมสไกป์มาทักทายผู้ที่มาร่วมงานเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย ซึ่งจัดขึ้นที่วัดสะพาน เขตคลองเตย ความตอนหนึ่งว่า:

“อย่างไรสิ้นปีนี้ก็กลับประเทศไทยแน่ อยากมาจัดงานปีใหม่ที่เขตคลองเตยด้วย”

ลองมาทบทวนดูว่า 3 ปี 4 เดือนเศษ ว่าเหตุใดทำไมนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร จึงได้หวังว่าจะได้กลับมาไม่รู้กี่รอบ แม้ครั้งหลังสุดที่จะกลับมาทันงานแต่งงานลูกสาวตัวเองก็ยังทำไม่ได้ เหตุก็เพราะว่าแม้ได้รับชัยชนะเสียงข้างมากแต่ก็ไม่ได้แปลว่าประชาชนจะปล่อยให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจที่นำไปสู่การทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่น่าจะอยู่ในสภาพที่แข็งแรงพอที่จะรับมือกับความขัดแย้งทางการเมืองได้ เฉพาะแค่จะคืนความสุขให้กับประชาชนจากอุทกภัยก็ถือว่ายากอยู่แล้ว นับประสาอะไรที่จะเอาเวลามารับมือความขัดแย้งที่มีความเสี่ยงจนถึงขั้น “ไม่มีแผ่นดินจะอยู่” ได้อีก

สัญญาณใหม่เริ่มต้นอีกครั้งเมื่อ นายนพดล ปัทมะ ออกมาประกาศเอาใจนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร โดยเตรียมร่างกฎหมายนิรโทษกรรมความผิดทั้งปวงให้กับคนคนเดียว และคนเสื้อแดงโดยอ้างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาบังหน้าว่าจะได้รับประโยชน์ในการนิรโทษกรรมนั้นด้วย

ขอยืนยันตรงนี้ได้เลยว่า เริ่ม “นิรโทษกรรม” เมื่อไร “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ก็เริ่มชุมนุมคัดค้านทันที!!!?
กำลังโหลดความคิดเห็น