xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง!การเมืองเปลี่ยน-คดีพลิก-รวยแต่โกงรอด

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หลายคนอาจจะสังเกตุเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับคดีความของคนใน"ระบอบทักษิณ"จากคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด กำลังจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะการต่อสู้เกี่ยวกับคดีความในศาลสถิตยุติธรรม ที่พวกเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะโจทก์ หรือจำเลย กำลังจะกำชัยชนะ โดยเฉพาะการต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์...หลังจาก"ทักษิณ ชินวัตร"ยึดคืนประเทศได้สำเร็จ และ"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

เริ่มจาก 3 ส.ค.54"นายสนธิ ลิ้มทองกุล"ถูกศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาให้จำคุก 6 เดือน ปรับคนละ 5 หมื่นบาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี ในคดีหมายเลขดำ อ.550/2549 หมายเลขแดง 2381/2550 ที่ พล.ร.ท.เกียรติศักดิ์ ดามาพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ ญาติคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน, และพวกฐานร่วมกันดูหมิ่น และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีร่วมกันจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ถ่ายทอดออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ ASTV ช่องนิวส์ 1 และเผยแพร่ตีพิมพ์ทาง นสพ.ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ www.manager.co.th โดยกล่าววิจารณ์การขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ด้วยถ้อยคำลักษณะใส่ร้ายตระกูลดามาพงศ์ และบุคคลในตระกูลดามาพงศ์ของโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ม.ค.- 4 ก.พ.49

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.50 ว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความพยานโจทก์ยังคลาดเคลื่อนในทางนำสืบโจทก์จึงมีน้ำหนักไม่มั่นคงให้รับฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทฯจึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 10 ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์

โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากข้อความตามฟ้องโจทก์ เช่น “ชินวัตร...ดามาพงศ์ โกงทั้งโคตร ขายชาติเลี่ยงภาษี” แม้ไม่มีชื่อโจทก์แต่การที่ลงชื่อตระกูลทำให้ผู้อ่านย่อมเข้าใจไปได้ว่าหมายถึงทั้งตระกูลโจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นความหมายในทางลบทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าการกระทำของตระกูลโจทก์กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะดำเนินการไม่ใช่หน้าที่จำเลยมาตัดสิน ข้อความตามฟ้องของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่การเสนอข้อเท็จจริงโดยสุจริต

8 ส.ค.54 ศาลอาญา มีคำสั่งไม่รับฟ้องในคดีที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีที่จำเลยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในทำนองว่า โจทก์มีความพยายามโยงคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)โดยมีโจทก์เป็นตัวตั้งตัวตี ทั้งที่ความจริงแล้ว โจทก์ไม่เคยเรียกนายตำรวจ หรืออธิบดีดีเอสไอ เข้าพบแต่อย่างใด คดีนี้ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์แล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้อง

วันเดียวกัน ศาลอาญา มีคำสั่งเลื่อนนัดพร้อมคู่ความ คดีหมายเลขดำที่ อ.1923/2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.), นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา กรณีแถลงข่าวที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรียุครัฐบาลทักษิณลาออก โดยกล่าวอ้างทำนองว่าบริหารประเทศแบบซีอีโอ ที่มีรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้ช่วย ทำงานไม่ได้ และยังได้กล่าวเปรียบเทียบ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนผีปอบที่ออกจากร่างแล้วกลับเข้าร่างไม่ได้ ซึ่งพยายามทุกวิถีทาง เพื่อกลับเข้าสู่ร่างเดิม

คดีนี้แปลกที่ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าเป็นการตอบโต้ทางการเมืองขณะมีความคิดขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น และสังคมก็มีความคิดเห็นและข้อขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยการนำเอาจุดบกพร่องตามที่ปรากฏขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม การกระทำของจำเลยทั้งหมดจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงพิพากษาแก้ให้ประทับรับฟ้องในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ จำเลยที่ 1 และนายเทพไท

16 ส.ค.54 เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้นที่ ศาลจังหวัดอุดรธานี เมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว 22 จำเลย นปช.กรณีถูกฟ้อง เผาศาลากลางจังหวัด โดยศาลตีราคาหลักประกันคนละ 1 ล้านบาท มี ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย 9 คน เป็นนายประกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทนายได้ยื่นประกันตัวมาแล้วหลายครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยให้เหตุผลว่า"ความผิดที่จำเลยทั้ง 22 คน ถูกฟ้องมีโทษสถานหนัก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าจำเลยทั้ง 22 คนจะหลบหนี ในชั้นนี้ยังไม่มีเหตุให้ไต่สวนคำร้องและเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้องและไม่รับหลักประกัน"

17 ส.ค.54 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายชนาพัทธ์ ณ นคร ประธานเครือข่ายเตมูจิน กับพวกรวม 3 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีจำเลยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทำนองว่า โจทก์ เป็นผู้สนับสนุนให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก. ในขณะนั้น สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง
โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องไปในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เนื่องจากนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาทางกฎหมายของโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจในการฟ้องร้องดำเนินคดีไม่มาร่วมไต่สวนมูลฟ้องทั้งๆ ที่ทราบวันนัดล่วงหน้าถึง 2 เดือน

ต่อมาโจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาต ให้เลื่อนนัดไต่สวนมูลฟ้อง และที่ยกฟ้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าในวันไต่สวนมูลฟ้องแม้โจทก์จะทราบล่วงหน้าถึง 2 เดือน แต่หากมีธุระจำเป็นก็ไม่สามารถเดินทางมาร่วมการไต่สวนได้และในวันดังกล่าวโจทก์ได้ขอเลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว อีกทั้งจำเลยไม่ได้คัดค้าน และเป็นการขอเลื่อนนัดครั้งแรกไม่มีพฤติกรรมที่จะประวิงคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงพิพากษาแก้ ให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องในคดีนี้ เพื่อมีคำสั่งคดีต่อไป โดยศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 7 พ.ย. 2554 เวลา 09.00 น.

จากคดีความที่ยกมาข้างต้น เราต้องไม่ลืมว่า วันนี้ยังมีคดีประวัติศาสตร์โกง อีกคดีที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คือเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2551 ศาลอาญา ได้มีคำพิพากษาคดีที่"นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์(จำเลยที่ 1) คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (จำเลยที่ 2)และ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน(จำเลยที่ 3) ถูกฟ้อง"ฐานจงใจเลี่ยงภาษีบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่า 546 ล้านบาท โดยคดีนี้ ศาลพิพากษาจำคุก นายบรรณพจน์ และ คุณหญิงพจมาน คนละ 3 ปี ส่วน นางกาญจนาภา จำคุก 2 ปี

จุดสำคัญของคดีนี้ คือส่วนท้ายคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ระบุความผิดชัดเจนว่า"จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากร จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทำต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง"

คดีดังกล่าวได้ต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ ครบ 3 ปีเต็มๆและมีข่าวแว่วว่า...คดีนี้ใกล้ถึงวันที่ศาลอุทธรณ์ จะมีคำพิพากษาออกมาแล้ว

โดยที่ชีวิตจริงของ"คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร (ชินวัตร)"เขากลัวคดีนี้มากที่สุด เพราะหากศาลอุทธรณ์ พิพากษาเป็นโทษกับเขา คือพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น นั่นคือจุดจบของชีวิตที่จะก้าวสู่การเมือง!

ขณะที่ความจริงการเมืองพรรคเพื่อไทย คงไม่มีใครปฎิเสธว่า ตัวจริง เสียงจริง คือ "พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร (ชินวัตร)"โดยที่เขาเป็นทั้ง ตัวเปิด และตัวปิด ในเกมการเมืองภายในประเทศ จนทำให้พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มถลาย นำส่ง"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"โคลนนิ่งอดีตสามี เป็นนายกรัฐมนตรีดั่งใจฝัน

ดังนั้น เมื่อดูจุดเปลี่ยนการเมืองในประเทศ ดูทิศทางคดีของคนในระบบทักษิณ จึงอดเป็นห่วงไม่ได้สำหรับคดี"คุณหญิงอ้อ เลี่ยงภาษี"ส่วนท้ายสุดผลแห่งคดีจะออกมาเป็นคุณหรือเป็นโทษกับ"พี่สะใภ้นายกฯปู"เร็วๆนี้มีคำตอบ!
คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี
กำลังโหลดความคิดเห็น