ASTVผู้จัดการรายวัน-โพลหอการค้าไทย ชี้นักธุรกิจมองเศรษฐกิจไทยปีหน้าโตได้อย่างเก่งแค่ 3-4% เหตุเป็นห่วงการเมือง น้ำท่วม เสนอจัดเก็บภาษีทุกพื้นที่นำเงินมาใช้ป้องน้ำท่วม รับห่วงปัญหาคอร์รัปชั่นงาบงบประมาณซ่อมถนน สะพานมากสุด ด้านเอแบคโพลล์เผยชาวบ้านมั่นใจ "บ้านนักการเมือง-ขรก." มีซุกเงินอีกเพียบ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจนักธุรกิจที่เข้าร่วมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 29 ที่จ.ระยอง จำนวน 420 ตัวอย่าง เพื่อสอบถามมุมมองสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ว่า ส่วนใหญ่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2555 จะขยายตัวได้ในระดับ 3.1-4% เท่านั้นโดยปัญหาที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามากมาจากสถานการณ์การเมือง รองลงมาเป็นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ปัญหาคอร์รัปชั่น และปัญหาน้ำท่วม
เมื่อสอบถามทัศนะคติต่อปัญหาน้ำท่วม ส่วนใหญ่ตอบว่าน้ำท่วมที่เกิดขึ้นได้กระทบต่อธุรกิจโดยรวมและเศรษฐกิจประเทศมาก ซึ่งก่อให้เกิดหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบที่นำมาใช้ในการฟื้นฟูเยียวยาน้ำท่วมมากขึ้น และเมื่อสอบถามว่าธุรกิจของท่านได้รับผลกระทบหรือไม่ ส่วนใหญ่ตอบได้รับ โดยได้รับผลกระทบทางตรงสัดส่วน 28.2% ที่เหลือเป็นผลกระทบทางอ้อม คือประชาชนในพื้นที่ลดการบริโภคลง ปลายทางซื้อสินค้าลดลง และขาดแหล่งวัตถุดิบผลิตสินค้า ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบระยะเวลาในการฟื้นตัวของธุรกิจหลังน้ำท่วมจะใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไป
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงประเด็นที่ประเทศไทยควรมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการป้องกันน้ำท่วมหรือไม่ ส่วนใหญ่ตอบว่าไม่เห็นด้วย 58.8% ที่เหลือ 41.2% ตอบว่าควรมีการจัดเก็บ โดยลักษณะการจัดเก็บส่วนใหญ่เห็นว่าควรเก็บทุกพื้นที่ โดยกำหนดวงเงินแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน รองลงมาคือให้จัดเก็บทุกพื้นที่ตามวงเงินทรัพย์สินมีการจัดเก็บทุกพื้นที่ในอัตราเท่ากัน และจัดเก็บเฉพาะจังหวัดที่น้ำท่วม ซึ่งส่วนใหญ่ยินดีที่จะจ่ายภาษีด้วยวงเงินสูงสุดมากกว่า 2,000 บาท/ราย เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจต่อการลงทุนน้ำที่เกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องการให้ทำเพื่อจัดการน้ำนั้น ส่วนใหญ่เห็นว่าให้มีการทำทางระบายน้ำ (ฟลัดเวย์) มากสุด รองลงมาลงทุนทำโครงการกักน้ำเพื่อการเกษตร และลงทุนเส้นทางขนส่งทางน้ำ ส่วนสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือหลังผ่านพ้นภัยธรรมชาติ คือ สร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับน้ำ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม แก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างเร่งด้วน และเร่งรัดเงินชดเชย
เมื่อถามถึงนโยบายที่รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจากวงเงิน 1.3 แสนล้านบาท และวงเงินสินเชื่อ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ตอบว่าไม่เพียงพอต้องการให้รัฐบาลเพิ่มวงเงิน ส่วนการฟื้นตัวกลับมาของภาวะเศรษฐกิจไทย ส่วนใหญ่มองว่าอยู่ในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ได้สอบถามทัศนะต่อปัญหาคอร์รัปชั่น โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์ทุจริตในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีต และมีผลแง่ลบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการมาก ซึ่งเห็นว่าหากปัญหาคอร์รัปชั่นไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจังภายใน 1 ปี การคอร์รัปชั่นจะเพิ่มขึ้นโดยส่วนใหญ่เห็นว่าหากผู้ประกอบการเจอปัญหาคอร์รัปชั่นพร้อมที่จะแจ้งหน่วยงานป้องกันและปราบปรามมากสุด
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจเป็นห่วงการใช้งบประมาณของรัฐ เพื่อฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วมมากสุด โดยเป็นห่วงงบซ่อมแซมถนนสะพานจะมีโอกาสารเกิดคอร์รัปชั่นมากสุด ซึ่งภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ปานกลาง ควรมีจังหวัดเข้ามาร่วมขับเคลื่อนต่อต้านคอร์รัปชั่นด้วย เพราะเชื่อว่าปัญหาคอร์รัปชั่นหากได้รับการแก้ไขจริงจังจะสามารถเห็นผลเป็นรูปธรรมได้ภายใน 6-10 ปี
***ABACเชื่อบ้านนักการเมืองซุกเงินเพียบ
วานนี้ (11 ธ.ค.) นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ และการลดแลกแจกแถมช่วงเลือกตั้ง ในหมู่ประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน 17 จังหวัดของประเทศ พบว่า ประชาชน 89.7 % มองว่าการมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยในประเทศเป็นเรื่องค่อนข้างดีถึงดีมาก มีเพียง 10.3 %ที่คิดว่าไม่ค่อยดี ถึงไม่ดีเลย
นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ 91.5 % เห็นด้วยว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยยังดีกว่าการปกครองในรูปแบบอื่น ถึงแม้มีปัญหาเรื่องการคอร์รัปชันและความไม่เป็นธรรมในสังคม
เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อการนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 2550 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 38.4 %ไม่เห็นด้วย แต่จะไม่ชักชวนคนอื่นให้ออกมาคัดค้าน ขณะที่ 9.2 % ไม่เห็นด้วย และจะชักชวนคนอื่นออกมาคัดค้าน ส่วนอีก 35.2 % เห็นด้วย แต่จะไม่ชัดชวนคนอื่นให้ออกมาเรียกร้อง และ 17.2 % เห็นด้วย และจะชักชวนคนอื่นออกมาเรียกร้องให้แก้ไข
" ประเด็นที่น่าเป็นห่วงต่อความคิดเห็นเรื่องรัฐธรรมนูญก็คือ กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และเห็นด้วย มีสัดส่วนมากพอๆกัน จนเกรงว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงของคนในชาติได้" นายนพดล กล่าว
ทั้งนี้ ผลสำรวจยังพบว่า กลุ่มตัวอย่าง 72.2 % คิดว่า พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลมีการแจกเงินให้สิ่งของบางอย่างแก่ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในช่วงหาเสียง เช่น เงิน ของใช้ และทรัพย์สินอื่นๆ โดยแยกเป็น 24.4 % คิดว่ามีการให้มาก และ 47.8 % คิดว่ามีการให้บ้าง ตามลำดับ ขณะที่ 66.5 % ระบุว่า พรรคการเมืองฝ่ายค้านก็มีการแจกเงินให้สิ่งของบางอย่างแก่ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในช่วงหาเสียงเช่นกัน โดย 16.4 % คิดว่ามีการให้มาก และ 50.1 % คิดว่ามีการให้บ้าง ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่าง 43.2 % คิดว่าการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมามีการแจกเงินให้สิ่งของบางอย่างแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2551 ในขณะที่ 28.7 % คิดว่าเท่าเดิมและ 28.1 % คิดว่าน้อยกว่า
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือ กรณีข่าวปล้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม และพบเงินสดจำนวนมากนั้น ผลสำรวจพบว่าประชาชนกว่า 90 % เชื่อว่ามีการซุกซ่อนเงินสดที่บ้านพักของกลุ่มนักการเมืองและข้าราชการคนอื่นๆ อีก ในขณะที่ 8.3 % เท่านั้น ที่ไม่คิดว่าไม่มี.
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจนักธุรกิจที่เข้าร่วมสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 29 ที่จ.ระยอง จำนวน 420 ตัวอย่าง เพื่อสอบถามมุมมองสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ว่า ส่วนใหญ่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2555 จะขยายตัวได้ในระดับ 3.1-4% เท่านั้นโดยปัญหาที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามากมาจากสถานการณ์การเมือง รองลงมาเป็นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ปัญหาคอร์รัปชั่น และปัญหาน้ำท่วม
เมื่อสอบถามทัศนะคติต่อปัญหาน้ำท่วม ส่วนใหญ่ตอบว่าน้ำท่วมที่เกิดขึ้นได้กระทบต่อธุรกิจโดยรวมและเศรษฐกิจประเทศมาก ซึ่งก่อให้เกิดหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบที่นำมาใช้ในการฟื้นฟูเยียวยาน้ำท่วมมากขึ้น และเมื่อสอบถามว่าธุรกิจของท่านได้รับผลกระทบหรือไม่ ส่วนใหญ่ตอบได้รับ โดยได้รับผลกระทบทางตรงสัดส่วน 28.2% ที่เหลือเป็นผลกระทบทางอ้อม คือประชาชนในพื้นที่ลดการบริโภคลง ปลายทางซื้อสินค้าลดลง และขาดแหล่งวัตถุดิบผลิตสินค้า ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบระยะเวลาในการฟื้นตัวของธุรกิจหลังน้ำท่วมจะใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไป
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงประเด็นที่ประเทศไทยควรมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการป้องกันน้ำท่วมหรือไม่ ส่วนใหญ่ตอบว่าไม่เห็นด้วย 58.8% ที่เหลือ 41.2% ตอบว่าควรมีการจัดเก็บ โดยลักษณะการจัดเก็บส่วนใหญ่เห็นว่าควรเก็บทุกพื้นที่ โดยกำหนดวงเงินแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน รองลงมาคือให้จัดเก็บทุกพื้นที่ตามวงเงินทรัพย์สินมีการจัดเก็บทุกพื้นที่ในอัตราเท่ากัน และจัดเก็บเฉพาะจังหวัดที่น้ำท่วม ซึ่งส่วนใหญ่ยินดีที่จะจ่ายภาษีด้วยวงเงินสูงสุดมากกว่า 2,000 บาท/ราย เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจต่อการลงทุนน้ำที่เกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องการให้ทำเพื่อจัดการน้ำนั้น ส่วนใหญ่เห็นว่าให้มีการทำทางระบายน้ำ (ฟลัดเวย์) มากสุด รองลงมาลงทุนทำโครงการกักน้ำเพื่อการเกษตร และลงทุนเส้นทางขนส่งทางน้ำ ส่วนสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือหลังผ่านพ้นภัยธรรมชาติ คือ สร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับน้ำ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม แก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างเร่งด้วน และเร่งรัดเงินชดเชย
เมื่อถามถึงนโยบายที่รัฐบาลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจากวงเงิน 1.3 แสนล้านบาท และวงเงินสินเชื่อ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ตอบว่าไม่เพียงพอต้องการให้รัฐบาลเพิ่มวงเงิน ส่วนการฟื้นตัวกลับมาของภาวะเศรษฐกิจไทย ส่วนใหญ่มองว่าอยู่ในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ได้สอบถามทัศนะต่อปัญหาคอร์รัปชั่น โดยภาคธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์ทุจริตในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีต และมีผลแง่ลบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการมาก ซึ่งเห็นว่าหากปัญหาคอร์รัปชั่นไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจังภายใน 1 ปี การคอร์รัปชั่นจะเพิ่มขึ้นโดยส่วนใหญ่เห็นว่าหากผู้ประกอบการเจอปัญหาคอร์รัปชั่นพร้อมที่จะแจ้งหน่วยงานป้องกันและปราบปรามมากสุด
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจเป็นห่วงการใช้งบประมาณของรัฐ เพื่อฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วมมากสุด โดยเป็นห่วงงบซ่อมแซมถนนสะพานจะมีโอกาสารเกิดคอร์รัปชั่นมากสุด ซึ่งภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ปานกลาง ควรมีจังหวัดเข้ามาร่วมขับเคลื่อนต่อต้านคอร์รัปชั่นด้วย เพราะเชื่อว่าปัญหาคอร์รัปชั่นหากได้รับการแก้ไขจริงจังจะสามารถเห็นผลเป็นรูปธรรมได้ภายใน 6-10 ปี
***ABACเชื่อบ้านนักการเมืองซุกเงินเพียบ
วานนี้ (11 ธ.ค.) นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ และการลดแลกแจกแถมช่วงเลือกตั้ง ในหมู่ประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน 17 จังหวัดของประเทศ พบว่า ประชาชน 89.7 % มองว่าการมีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยในประเทศเป็นเรื่องค่อนข้างดีถึงดีมาก มีเพียง 10.3 %ที่คิดว่าไม่ค่อยดี ถึงไม่ดีเลย
นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ 91.5 % เห็นด้วยว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยยังดีกว่าการปกครองในรูปแบบอื่น ถึงแม้มีปัญหาเรื่องการคอร์รัปชันและความไม่เป็นธรรมในสังคม
เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อการนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 2550 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 38.4 %ไม่เห็นด้วย แต่จะไม่ชักชวนคนอื่นให้ออกมาคัดค้าน ขณะที่ 9.2 % ไม่เห็นด้วย และจะชักชวนคนอื่นออกมาคัดค้าน ส่วนอีก 35.2 % เห็นด้วย แต่จะไม่ชัดชวนคนอื่นให้ออกมาเรียกร้อง และ 17.2 % เห็นด้วย และจะชักชวนคนอื่นออกมาเรียกร้องให้แก้ไข
" ประเด็นที่น่าเป็นห่วงต่อความคิดเห็นเรื่องรัฐธรรมนูญก็คือ กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และเห็นด้วย มีสัดส่วนมากพอๆกัน จนเกรงว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงของคนในชาติได้" นายนพดล กล่าว
ทั้งนี้ ผลสำรวจยังพบว่า กลุ่มตัวอย่าง 72.2 % คิดว่า พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลมีการแจกเงินให้สิ่งของบางอย่างแก่ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในช่วงหาเสียง เช่น เงิน ของใช้ และทรัพย์สินอื่นๆ โดยแยกเป็น 24.4 % คิดว่ามีการให้มาก และ 47.8 % คิดว่ามีการให้บ้าง ตามลำดับ ขณะที่ 66.5 % ระบุว่า พรรคการเมืองฝ่ายค้านก็มีการแจกเงินให้สิ่งของบางอย่างแก่ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในช่วงหาเสียงเช่นกัน โดย 16.4 % คิดว่ามีการให้มาก และ 50.1 % คิดว่ามีการให้บ้าง ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่าง 43.2 % คิดว่าการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมามีการแจกเงินให้สิ่งของบางอย่างแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2551 ในขณะที่ 28.7 % คิดว่าเท่าเดิมและ 28.1 % คิดว่าน้อยกว่า
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือ กรณีข่าวปล้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม และพบเงินสดจำนวนมากนั้น ผลสำรวจพบว่าประชาชนกว่า 90 % เชื่อว่ามีการซุกซ่อนเงินสดที่บ้านพักของกลุ่มนักการเมืองและข้าราชการคนอื่นๆ อีก ในขณะที่ 8.3 % เท่านั้น ที่ไม่คิดว่าไม่มี.