ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คดีพลิกไปซะงั้น เมื่อ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวแฉ “นายพล จ.จาน” เซ็นทิ้งทวนก่อนโดนย้าย ให้เปิด “โรงนวด” ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้าม รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ถ.รัชดาภิเษก แต่กลับถูกเจ้าของสถานบริการสะกิดมาจับเข่าคุย เพียงไม่นาน ส.ส.คนดังก็เปิดแน่บ หนีกองทัพนักข่าวไปแบบผิดปกติ
แถมโดนตะโกนไล่หลัง “ชูวิทย์ ถ้าแน่จริงมาเลย อย่าหนี” แต่ ส.ส.คนดัง กลับไม่แม้แต่เหลียวหลังมามอง เดินหนีไปดื้อๆ
ถือว่า “เสียรังวัด” ไปเต็มๆ
คนที่ทำให้นายชูวิทย์ หนีเตลิดเปิดเปิงไป ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น “ประเสริฐ สุขขี” หรือที่รู้จักกันดีในนาม “โกลัก” เจ้าของ บริษัท เอไลน่า เอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ผู้คว่ำหวอดในวงการน้ำกามมายาวนานไม่แพ้ นายชูวิทย์ ในสมัยที่ยังเป็น “เจ้าพ่ออ่างทองคำ”
และเป็น “โกลัก ณ เอไลน่า” คนเดิมที่นายชูวิทย์ สมัยที่ยังเป็น ส.ส.ป้ายแดง สังกัดพรรคชาติไทย เคยออกมาแฉว่า ตั้งโรงนวดใกล้สถานศึกษาจนถูกระงับใบอนุญาตถูก “ปิดตาย” กลายเป็นที่จอดรถ ไปตั้งแต่ปี 48 หรือกว่า 7 ปีก่อนมาแล้ว หลังจากที่ได้ลงทุนสร้างตึก ซอยห้องเสร็จสรรพด้วยงบเหยียบพันล้านบาท
วันนั้นสร้างชื่อให้นายชูวิทย์ ในฐานะ “โจรกลับใจ” ที่สละแล้วซึ่งธุรกิจสีเทา และออกมาเป็นหัวหอกในการต่อต้านคัดค้านสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จนได้แต้มจากคนเมืองกรุงไปมากโข
มาวันนี้นายชูวิทย์ กลับมาสถานที่เดิม ใช้มุกเดิม และจ้องเล่นงานโรงนวดแห่งเดิม ด้วยการแถลงข่าว พร้อมดึงเด็กนักเรียนเข้ามาเป็น “ตัวละคร” ในท้องเรื่อง เพื่อเพิ่มอารมณ์ความเห็นใจให้กับคนเสพข่าว ก่อนที่จะโดน “โกลัก” ตอกกลับจน “หงายเงิบ” สิ้นลาย ส.ส.จอมแฉ
น่าสังเกตว่า เหตุใด “เฮียชู” ยังไม่ลดละที่จะ“เตะตัดขา” สกัดไม่ให้เปิด “เอไลน่า” ได้สำเร็จ เหมือนโกรธแค้นหรือ “จองเวร” กันมาตั้งแต่ชาติปางไหน
ทั้งที่ต้องถือว่า หากยึดตามตัวบทกฎหมายนั้น การขออนุญาตของ “เอไลน่า” ถูกต้องตามกฎหมายที่กำหนดให้สถานบริการ ห่างจากโรงเรียนสถานศึกษา 150 เมตร การันตี โดยคำสั่งศาลปกครอง เมื่อปี 52 ที่อนุญาตให้เปิด ด้วยเห็นว่า ไม่ก่อให้เกิดเสียงดัง และไม่ส่งผลกระทบใดๆ แต่เรื่องถูกดองไว้กว่า 2 ปี เพราะฝ่ายตำรวจถือเป็น “ของร้อน” จนไม่มีใครกล้าเซ็น ก่อนที่จะคลอดใบอนุญาตออกมาก่อนการโยกย้ายนายตำรวจรอบล่าสุดไม่นาน
อย่างไรก็ดี เรื่องความเหมาะสมนั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สังคมต้องเป็นผู้ตัดสิน
ดังนั้น หากมองผิวเผินความเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์ ก็คงเป็นการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ด้วยความเป็นห่วงบรรดาเยาวชนของชาติ ที่ต้องพบเห็น “สถานอโคจร” ในระยะประชิดแทบทุกวัน แต่ตรรกะนี้ก็ไม่ควรลืมว่า ตลอดสองข้างทาง ถ.รัชดาภิเษก มีสถานบันเทิงเรียงรายตั้งอยู่ ใครสัญจรผ่านไปมา ก็พบเห็นป้าย-รูปของ “สถานอโคจร” ในระยะประชิดอยู่แล้ว
และแล้วก็ถึง “บางอ้อ” เมื่อนายประเสริฐ ย้อนอดีตฟื้นความหลังแฉ “เสี่ยอ่าง” กลับเป็นชุดๆ โดยเฉพาะความแค้นส่วนตัว ที่ขับเคี่ยวกันขอซื้อสิทธิเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หรือที่ดินผืนที่ตั้งของเอไลน่า นั่นเอง
แถมด้วยการแฉอีกเป็นฉากๆ ทั้งเรื่องที่อาบอบนวดระดับตำนานอย่าง “ฮอนโนลูลู” ของ “เฮียชู” เคยยืมใช้ประตูวัด เป็นทางเข้า-ออก ของลูกค้า ตรงนี้ชี้วัดเรื่อง “จริยธรรม” ในการเปิดสถานบริการชัดเจน ว่า โรงนวดที่ตั้งใกล้โรงเรียนที่อยู่คนละฟากฝั่งถนนใหญ่ กับโรงนวดที่กำแพงติดกับวัดวาอาราม
อันไหนน่าเสื่อมเสียกว่ากัน
อีกทั้งเป็นที่รู้กันในวงการค้าน้ำกามดีว่า “เครดิต” ความน่าเชื่อถือของ “โกลัก” กับ “เฮียชู” แตกต่างกันอย่างลิบลับ และก็รู้กันดีเช่นกันว่า ใครเป็น “คนจริง” หรือใครเป็น “นักสร้างภาพ”
แสบๆคันๆ ก็ตรงเสียงไล่หลังของ “โกลัก” ที่ท้าทาย “เฮียชู” ว่า เป็นคนมาจากอาบอบนวด ไม่ต้องไปลอกคราบที่ไหน และตราหน้าว่า การที่นายชูวิทย์ ออกมาต่อต้านสถานบริการ เพราะต้องการสร้างกระแสให้กับตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อตัวเอง เหมือนเมื่อครั้งที่ประกาศล้างมือใน “อ่างทองคำ” ขายสถานบริการในเครือจนหมด พร้อมท้าทายให้เอาใบเสียภาษีมาแสดงด้วย
อดสงสัยไม่ได้ว่า “ชูวิทย์” ล้างมือหมดจดแล้ว จริงหรือเปล่า
กลายเป็นว่าที่แฉไปแฉมา ตามสไตล์ถนัด “ตีกิน” เล่นกระแส มาคราวนี้เจอ “ของจริง” โดนย้อนศรเต็มๆ บวกกับลูกแถม ที่เจ้าของเอไลน่าเตรียมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ฐานนายชูวิทย์ ทำให้เสียชื่อเสียงอีกกระทง
ออกโรงมางวดนี้นอกจากไม่ได้แต้มแล้ว ยังถือว่า “เจ๊ง” ไม่มี “เจ๊า” อีกต่างหาก
ขณะที่ “ตัวช่วย” อย่าง “เฉลิม อยู่บำรุง - เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์” ที่นายชูวิทย์ ร้องหา ก็รู้งานดี ไม่เห็นออกมารับลูก จน “เฮียชู” จั่วลม โดดเดี่ยวไม่มีเชือกให้พิงเหมือนเคย และท่าทางจะ “สกัดดาวรุ่ง” เบรกอ่างเอไลน่า ไม่อยู่เหมือนเมื่อ 6 ปีก่อนแล้ว
แต่เรื่องนี้ยังน่าสนใจอีกว่า เมื่อ 6 ปีก่อน หลังจากที่นายชูวิทย์ โดดลงมาเล่นงาน “โกลัก ณ เอไลน่า” สำเร็จ จากนั้นไม่นาน ก็ต้องหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. เมื่อถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยไม่ครบ 90 วัน จึงพ้นจากความเป็น ส.ส.ไป
มาถึง พ.ศ.นี้ชะตากรรมของนายชูวิทย์ ก็อาจไม่พ้นบ่วงกรรมเก่าอีกครั้ง คล้ายกับเป็น “เดจาวู” ที่เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม เพราะมี “ชนัก” จากเหตุที่ศาลฎีกา มีคำสั่งเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาให้ยึดทรัพย์ราว 3.4 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน ฐานทำผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 จากกรณีดำเนินธุรกิจค้าประเวณี
ล่าสุดได้มีผู้ไปร้องเรียนต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ตรวจสอบและวินิจฉัยกรณีดังกล่าว โดยเห็นว่า จากคำสั่งศาลฎีกาดังกล่าว ส่งผลให้สถานภาพของนายชูวิทย์ ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 106 (5) และมีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 102 (7)
ที่ระบุว่า ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษา หรือมีคำสั่งของศาลให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ ต้องสิ้นสุดสถานภาพความเป็น ส.ส.
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ที่นอกจาก “เสียเหลี่ยม” ส.ส.จอมแฉ แล้ว ยังมีแววจะปิ๋ว จากตำแหน่งส.ส.ผู้ทรงเกียรติ อีกครา