ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เวลาดี 09 นาฬิกา 40 นาที เป็นเวลาที่ "นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง" หรือ "ไอ้กี้ร์" แกนนำ นปช. ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายเดินทางเข้ามอบตัวกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ โดยการเดินทางเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของ ผู้ก่อการร้ายแดงฮาร์ดคอร์รายนี้ เขาได้ควงคู่มากับภรรยาสุดที่รักของเขา ที่วันนี้ความดีความชอบของผู้เป็นสามี ได้หนุนส่งให้ภรรยายกฐานะตัวเองเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ
568 วันสำหรับการหลบหนีการจับกุมของนายอริสมันต์หลังเหตุการณ์แดงเถื่อน เผาบ้านเผาเมือง 19 พฤษภาคม 2553 เขาได้หายตัวไป ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนว่า ตายแล้วหรือยัง แต่สุดท้ายนายอริสมันต์ก็ยังไม่ตาย เมื่อครั้งหนึ่งเขาได้โผล่หน้าในคลิปยูทิวบ์เป็นครั้งแรก หลัง 7 แกนนำ นปช.และแนวร่วมหนีคดีได้รับการประกันตัว โดยที่ในคลิปดังกล่าวเขาปฏิเสธข่าวไปปรากฏตัวที่บ่อนปอยเปต ประเทศกัมพูชา
ไม่เพียงแค่นั้น ครั้งนั้นเขาได้เรียกร้องว่า "จะเข้ามอบตัวหลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี(ขณะนั้น) ประกาศยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง(ขณะนั้น)และผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่เกี่ยวข้องกับการขอคืนพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม"...
7 ธันวาคม 2554 วันที่เขาเข้ามอบตัว ด้วยมาตรหล่อในชุดสูทสีดำ พร้อมกับพูดว่า..."เข้ามอบตัวเพื่อต่อสู้คดีตามขั้นตอน เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ดีขึ้น ทางดีเอสไอก็มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคดีก่อการร้าย การเดินทางกลับมาครั้งนี้ ก็มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม และมั่นใจในความปลอดภัย โดยจะให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา"
แต่เมื่อถูกถามว่าใครติดต่อเข้ามอบตัว "ไอ้กี้ร์" ตอบแบบไม่ทันคิดว่า...การเข้ามอบตัวได้ประสานกับรัฐบาลเป็นการภายในพอสมควร เมื่อมีความมั่นใจจึงเดินทางกลับเข้ามา ส่วนสาเหตุที่ต้องหลบหนี เพราะที่ผ่านมามีการไล่ล่าจับกุม ที่กระบวนการยุติธรรมจริงๆ ไม่น่าที่จะดำเนินการอย่างนั้นกับผม เช่น ความพยายามที่จะอุ้ม ซุ่มทำร้าย และบุกเข้าจับที่โรงแรมเอสซีปาร์ค เพราะเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป ผู้ใหญ่หลายๆ คนมีความเป็นห่วง ขอให้ผมหลบเลี่ยงการจับกุม พร้อมให้รอเวลาที่เหมาะสม เพื่อเข้ามอบตัว"
วันนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วใช่หรือไม่? และ รัฐบาลโดยเฉพาะตัวของ"น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"นายกรัฐมนตรี ได้ช่วยเหลืออะไรเขาบ้างหรือไม่?ถือเป็นโจทย์ที่ประชาชนอยากรู้
กาลครั้งหนึ่งยังไม่นานเท่าไหร่ ช่วงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา อดีตความสัมพันธ์ระหว่าง"พี่กี้ร์"อริสมันต์กับ"น้องปู"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ก็ได้เกิดกรณีภาพถ่ายการโอบกอดระหว่าง "พี่กี้ร์"แดงฮาร์ดคอร์ตัวพ่อผู้ต้องหาหนีหมายจับ กับตัวของ"น้องปู"ได้ถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต โดยที่ว่าที่นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พูดอธิบายสังคมแบบสั้นๆว่า...ไม่มีอะไร เป็นเพียงภาพถ่ายที่ถ่ายจากมุมกล้อง ซึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทราบดี...
แต่สำหรับผู้คนที่ได้เห็นภาพถ่ายอันสุดจะหวานชื่นภาพนั้น เขาจะเชื่อตามที่ "ยิ่งลักษณ์-ยิ่งรัก" ชี้แจงหรือไม่? เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ว่าเป็นภาพจากมุมกล้องหรือภาพถูกโอบกอดจริงๆ..
วันนั้น วันที่"พี่กี้ร์"หนีหมายจับฐานก่อการร้าย การเลือกตั้งในขณะนั้นแม้ตัวเขาเองจะไม่มีรายชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อในพรรคเพื่อไทย จากเหตุเขาหลบหนีคดีความก็ตามที แต่เขาก็มีตัวตายตัวแทนคือ "นางรพิพรรณ พงศ์เรืองรอง" เมียรักของเขาอยู่ในผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 27 และสุดท้าย เมียรักก็ได้เป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ยุครัฐบาล"ยิ่งลักษณ์"ในวันนี้
การเดินทางเข้ามอบตัวพร้อมคำให้การปฏิเสธของ "อริสมันต์" ครั้งนี้ จะเป็นการเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแบบหลอกๆ เพื่อปูทางสู่อำนาจทางการเมืองของรัฐบาลยุค"เพื่อแม้ว"หรือไม่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"น่าจะมีคำตอบ
แต่สำหรับ"พี่กี้ร์"หากถามว่าในเวลาแห่งการทำชั่วและหลบหนีคดีอยู่นานกว่า 1 ปี 7 เดือน เขาได้สำนึกในวีรกรรมของเขาหรือไม่ แน่นอนฟันธงได้ทันทีว่า ไม่!...เพราะผู้ต้องหารายนี้พูดเองว่า เขาไม่ผิด และข้อหาที่แจ้งกับเขาหนักเกินไป โดยเขาเตรียมจะยื่นหนังสือกับศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณาว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดรุนแรงเกินไปหรือไม่
ส่วนข้อถามที่ว่า เขาพร้อมจะเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่ม นปช.อีกหรือไม่ นายอริสมันต์ ตอบว่าตอนนี้เราไม่รู้จะชุมนุมเพื่ออะไร และคิดว่าเราได้สิ่งที่ประชาชนต้องการมา 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว คือได้รัฐบาลที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนำพาบ้านเมืองไปสู่ความปรองดองได้หรือไม่
"อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง" บอกว่า เขาไม่ใช่ผู้กระทำความผิด และ ดีเอสไอ แจ้งข้อหาเขาหนักเกินจริงหรือไม่ ถือว่าพฤติกรรมที่เขาได้ก่อไว้ จะเป็นตัวให้คำตอบได้เป็นอย่างดี ว่าเขาคือ "คนดี หรือ คนเลว"อีกทั้ง เขามีส่วนสำคัญในการสั่งการ เผาบ้าน เผาเมือง หรือไม่?
เริ่มจาก 12 มี.ค.2553 ที่เวที จ.อุดรธานี วันนั้นเขาพูดว่า "ครั้งนี้จะเป็นการคิดบัญชีรัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกอำมาตย์เฒ่าทั้งหลาย คุณไม่ต้องมาบอกว่าสถานที่สำคัญที่เขาจะไปก่อวินาศกรรม คุณไม่ต้องไปปูดข่าวบอกว่าสถานที่ที่เป็นศาสนสถานของพวกมุสลิม โรงพยาบาลแล้วก็ถนนราชวิถี สะพานข้ามแม่น้ำ โรงพยาบาลศิริราช สนามบิน ทำเนียบ กระทรวงสำคัญๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ ค่ายทหาร บ้านบุคคลสำคัญ และศาลยุติธรรม และองค์กรอิสระ คุณไม่ต้องบอก ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รับรองว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดถึงนี้จะไม่เหลืออยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน”
ถัดมา 29 ม.ค. 2553 เวทีหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถ.ราชดำเนิน เขาพูดว่า"ผมได้เขียนสรุปง่ายๆ ว่า ต่อไปนี้การที่จะสู้กับอำมาตย์ จะสู้กับพวกกองทัพที่มันรับใช้อำมาตย์มาทำการปฏิวัติ เราต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง ด้วยสโลแกน ออลฟอร์วัน รวมใจเป็นหนึ่งล้มอำมาตย์ครับ
“พี่น้องนัดกันคราวหน้าถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปรามไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามา 1 ล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กทม. เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน
การสู้ของคนเสื้อแดงแบบง่ายๆ อย่างนี้ บอกให้ทหารได้รับได้ทราบ บอกให้ทหารสุนัขรับใช้อำมาตย์ได้รู้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนเสื้อแดง แม้เลือดหยดแต่หยดเดียวนั่นหมายความว่า กรุงเทพฯ จะเป็นทะเลเพลิงทันที ส่วนต่างจังหวัด จตุพร (พรหมพันธุ์)ได้บอกแล้ว ให้รอฟังข่าวว่า พี่น้องที่อยู่ในต่างจังหวัด ไม่ได้มาไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นทันทีรวมตัวกันที่ศาลากลาง ไม่ต้องรอเงื่อนไข จัดการให้ราพณาสูรเหมือนกัน"
จากความบ้าระห่ำของเขา ทำให้ถูกฟ้องดำเนินคดีและออกหมายจับตามมา หลายคดี เริ่มจากเมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.52 ครั้งขึ้นปราศรัยบนเวทีชุมนุมคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้กล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นต้นเหตุทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวร และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปล้นอำนาจประชาชน เป็นผู้สั่งการให้ฆ่าประชาชน
ถัดมายังได้โฆษณาชวนเชื่อและปราศรัยผ่านสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวี (ช่องแดง)ด้วยการกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นผู้สั่งฆ่าประชาชน และหน่วงเหนี่ยวการถวายฎีกาของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุก
จากการพูดอย่างบ้าคลั่ง ทำให้นายอภิสิทธิ์ ฟ้องร้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ขณะนี้อยู่ระหว่างหนีหมายจับจากศาล
8 เม.ย. 53 ศาลอนุมัติหมายจับนายอริสมันต์ ความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการภายในสถานการณ์ฉุกเฉินเข้าข่ายความผิด และ พ.ร.บ.ความมั่นคง มาตรา 11 (1) และความผิดข้อหาร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการ (รัฐสภา) กักขังหน่วยเหนี่ยว และข่มขู่ โดยบุกรุกรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 53
6 พ.ค.53 ศาลออกหมายจับ ข้อหาความผิดก่อการร้าย ขู่บังคับรัฐบาล ประทุษร้ายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ ข้อหาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง และศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับ ตามที่ดีเอสไอเสนอ
การมอบตัวในยกแรก ที่เริ่มจาก ดีเอสไอ สอบปากคำ คุมตัวส่งอัยการ อัยการส่งฟ้องศาล โดยไม่คัดค้านการประกันตัว แต่ศาลอาญา เห็นว่าคดีนี้มีข้อหาร้ายแรง และอัตราโทษสูง หลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีตลอดมา แม้จำเลยจะเข้ามอบตัวต่อพนักงานก็เป็นเวลานาน และยังเป็นบุคคลที่ศาลอาญาออกหมายจับในคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่น หมายเลขดำที่ อ.4177/2552 , อ.1463/2553 ในชั้นนี้จึงยังไม่มีเหตุพอเพียงให้ศาลเชื่อได้ว่าหากอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจะไม่หลบหนีอีก ให้ยกคำร้อง
จากสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส นายอริสมันต์ถึงกับเดินคอตกก้มหน้าอย่างรับรู้ในชะตากรรมของตนเอง เพราะสิ่งตัวเองมั่นอกมั่นใจเสียเต็มประดาในเบื้องแรกนั้น มันมิได้เป็นไปอย่างที่วาดฝันเอาไว้
วันนี้"จำเลยอริสมันต์" จึงต้องถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และลุ้นระทึกว่าจะได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์หรือไม่ เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า “จำเลยผู้นี้" จัดเป็นแดงฮาร์ดคอร์ตัวพ่อที่ดีเอสไอและทหารต้องการตัวมากที่สุดด้วยมีพฤติกรรมจัดอยู่ในกลุ่มที่อาจเข้าข่ายจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง แถมตัวจำเลยเองยังไม่ได้สำนึกผิดในวีรกรรมที่ได้ก่อไว้แต่อย่างใด ดังนั้น การจะปล่อยตัวชั่วคราวบุคคลอันตรายคนนี้จึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ซึ่งจำเลยอริสมันต์คงต้องใช้เวลาอยู่ในคุกอย่างน้อยอีกไม่กว่า 1 สัปดาห์ตามที่ทนายความประกาศเอาไว้
อย่างไรก็ตาม แม้นายอริสมันต์จะไม่ได้รับการประกันตัวตามที่วาดฝันเอาไว้ในตอนแรก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดประโยชน์ต่อขบวนการเสื้อแดงเลยเสียทีเดียว เพราะการที่นายอริสมันต์ติดคุกคือเชื้อชนวนอย่างดีของนายใหญ่ในการปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกของคนเสื้อแดงให้เป็นเดือดเป็นแค้นอย่างถึงที่สุด เพื่อนำไปสู่แผนปฏิบัติการบางอย่างที่จะดำเนินต่อไปหลังจากนี้
เพราะทันทีที่สาวกเสื้อแดงรับทราบข้อมูลว่าศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายอริสมันต์ก็คือ อารมณ์ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของบรรดาสาวกคนเสื้อแดงก็เป็นไปอย่างไม่ปกติธรรมดา และแสดงให้เห็นว่า พวกเขามิใช่เพียงแค่กลุ่มก๊วนทางการเมืองธรรมดาๆ เท่านั้น หากแต่แปรสภาพไปในลักษณะของ “ลัทธิทางการเมือง” ที่บูชาผู้นำของตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา
สาวเสื้อแดงรายหนึ่งถึงกับกรีดร้องและเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาจนเจ้าหน้าที่ต้องนำตัวไปปฐมพยาบาล ขณะที่อีกส่วนหนึ่งพากันร่ำไห้เสียใจที่ผู้นำของเขาหมดสิ้นอิสรภาพ
เฉกเช่นเดียวกับแกนนำคนเสื้อแดงอย่างนายก่อแก้ว พิกุลทอง ซึ่งบัดนี้สวมหมวกเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศกร้าวออกมาว่า “ขณะนี้สถานการณ์การเมืองคลี่คลายแล้ว ไม่ควรเก็บตัวนายอริสมันต์ไว้เพื่อให้เป็นปัญหาขัดแย้งอีก แน่นอนว่า การที่นายอริสมันต์ถูกคุมขังในเรือนจำย่อมสร้างความไม่พอใจ โกรธเคืองแก่ผู้สนับสนุน แต่คงไม่ถึงขั้นบานปลายนำไปสู่ความรุนแรง”
ยิ่งการที่นายอริสมันต์เลือกที่จะเดินทางเข้ามอบตัวในช่วงเดือนธันวาคมด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ขบวนการเสื้อแดงมีเจตนาซ่อนเร้นบางประการหรือไม่ เพราะไม่ว่าผลจะออกมาในทางดีหรือทางร้ายก็ย่อมเป็นผลดีต่อขบวนการเสื้อแดงวันยังค่ำ ถ้าได้รับการประกันตัวก็จะสามารถประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของขบวนการเสื้อแดงได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าไม่ได้ประกันตัว บรรดาสาวกเสื้อแดงคงจะต้องจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์และสาปแช่ง “อำมาตย์” ผู้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ขวัญใจของพวกเขาต้องนอนอยู่ในคุก
นี่คือสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกับปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทยนับจากนี้เป็นต้นไป
สงครามครั้งนี้ยังเพิ่งเริ่มต้นและยังไม่มีใครรู้ว่าจุดจบจะสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงขนาดไหน