ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2554 ข่าวว่าจะมีการประชุม GBC ของไทยและกัมพูชาที่กรุงพนมเปญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ และผู้บัญชาการทหารที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะประชุมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวตามที่ศาลโลกได้มีคำสั่งให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร แต่ยังปล่อยให้เขมรเข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทยได้ ข่าวว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยมีแนวโน้มจะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก โดยระบุว่าเมื่อถอนทหารออกมาแล้วจะส่งตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปทดแทน มีข้อสังเกตจากผมฝากไปยังท่านผู้บัญชาการทหารทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
1. ศาลโลกเข้าข้างลำเอียงไปทางฝ่ายกัมพูชา เพราะออกคำสั่งคุ้มครองดินแดนไทยเสียเป็นส่วนใหญ่ และยังปล่อยให้ชาวเขมรเข้ามาอยู่ได้
2. มาตรการคุ้มครองศาลโลกที่ออกมา ออกตามที่กัมพูชาร้องขอและดินแดนทั้งหมดที่อยู่บนหน้าผาพนมดงรักเป็นดินแดนภายใต้อธิปไตยของประเทศไทย ยกเว้นตัวปราสาทและพื้นที่รองรับตัวปราสาทที่ยังเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2505 ที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกภายใต้ข้อสงวนสิทธิ์ที่ไม่ยอมรับคำตัดสิน ศาลโลกในยุคปัจจุบันจึงทำเกินขอบเขตคำพิพากษาของศาลโลกรุ่นพี่ เมื่อ พ.ศ. 2505 ซึ่งเราได้ปฏิบัตตามคำพิพากษาไปแล้ว
3. ศาลโลกไม่มีสิทธิที่จะให้ไทยต้องปฏิบัติตามเพราะฝ่ายไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกหรือเป็นสมาชิกของศาลมาเป็นเวลานานแล้ว
4. แผนที่ที่ศาลโลกแนบมากับคำสั่งออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้จัดทำขึ้น ศาลทำตามที่กัมพูชาต้องการ
ผมไม่ทราบว่าท่านผู้นำเหล่าทัพและรัฐมนตรีว่าการฯ จะรู้เรื่องแบบนี้หรือไม่ แต่ผมเข้าใจว่าท่านต้องทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี การปล่อยปละละเลยให้เขมรยังคงอยู่อาศัยในดินแดนไทยจนถึงทุกวันนี้ พวกท่านทั้งหลายก็เข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ท่านทั้งหลายเป็นชายชาติทหารต้องรักษาแผ่นดิน การปล่อยให้เขมรเข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทยแถมยังปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกอีก จะให้ประชาชนอย่างผมไว้ใจพวกท่านได้อย่างไร แผ่นดินของคนไทยแท้ๆ แต่ท่านไม่ใส่ใจที่จะคอยดูแล (เอาทหารไปเป็นยามหรือเอายามมาเป็นทหารดี) ผมสงสัยว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่
ผมเห็นนักการเมืองขั้วไหนมาท่านก็เชื่อฟังคำสั่งแบบไม่ต้องคิดว่า นักการเมืองเหล่านั้นทำผิดหรือเลวขนาดไหน ท่านก็เชื่อฟังคำสั่งนักการเมืองเหมือนลูกอุแว้! ท่านมักอ้างว่ารัฐบาลไม่สั่งท่านจึงทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ของท่านตามรัฐธรรมนูญ ผมขอยกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้เห็น สมมติว่าคณะรัฐมนตรีตายห่ากะทันหัน ข้าศึกศัตรูส่งกองกำลังเข้ายึดดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ ท่านต้องรอโปรดเกล้าฯ ให้มีนายกฯ และรัฐมนตรีชุดใหม่ก่อน แล้วรอให้นักการเมืองสั่งท่านใช่ไหม
เมื่อพ.ศ. 2505 เราสูญเสียอำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทพระวิหารแต่พื้นที่โดยรอบตัวปราสาทเป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน ศาลโลกในสมัยนั้นไม่เคยประท้วงประเทศไทยที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และที่ประชุมแห่งองค์การสหประชาชาติก็ยอมรับการปฏิบัติการของไทยตามคำสั่งของศาลโลก การตั้งข้อสงวนสิทธิ์ของประเทศไทยที่ไม่ยอมรับคำพิพากษาและการเรียกคืนตัวปราสาทในอนาคต รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเวลานั้น ต่อสู้อย่างเต็มที่ทั้งในคดีความและการไม่ยอมรับคำตัดสิน หลักฐานต่างมีมากมายที่ชี้ให้เห็นว่าศาลโลกฉ้อฉลในการตัดสินคดี
ประเทศไทยต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตยเป็นการชั่วคราวในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมติคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นใช้คำว่า “พื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทเท่านั้น” สมเด็จนโรดมสีหนุได้เสด็จฯ ขึ้นมาทางบันไดหักเพื่อชักธงชาติกัมพูชา สมเด็จนโรดมสีหนุก็ยอมรับสิ่งที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ปฏิบัติตามคำพิพากษา สมเด็จนโรดมสีหนุไม่เคยทรงว่าอะไรเกี่ยวกับอาณาบริเวณที่กัมพูชาได้รับจากประเทศไทย มีภาพถ่ายและภาพยนตร์ในคราวเสด็จฯ ครั้งนั้นด้วย
ผมจึงขอเตือนผู้บัญชาการทหารทั้งหลาย การที่ท่านยอมให้นักการเมืองจูงจมูกแล้วพาพวกท่านไปยอมรับคำสั่งของศาลโลกที่ฉ้อฉลด้วยการถอนทหารออกจากดินแดนของตัวเอง และยังแสดงว่าพวกท่านไปยอมรับขบวนการที่ตั้งขึ้นจาก MOU 43 เถื่อน (เพราะไม่ผ่านรัฐสภาตามบทบัญญัติที่ตราไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540) เป็นเรื่องที่จะนำพาความอัปยศอดสูใจมาสู่วงศ์ตระกูลของท่าน
ที่สำคัญในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา (7รอบ) ในฐานะที่ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ ผมไม่อยากให้ประเทศไทย ประชาชนคนไทย ทหารหาญอย่างพวกท่าน ต้องสูญเสียดินแดนในวาระนี้ เป็นความเจ็บปวดที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์การสูญเสียดินแดนเป็นครั้งสุดท้ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ผ่านมา และครั้งนี้คงเป็นจุดเริ่มต้นการสูญเสียดินแดนครั้งใหม่ หากเราเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารไป เราจะสูญเสียดินแดนตลอดแนวไทย-กัมพูชาไปอีกจำนวนมากมายมหาศาล ด้วยขบวนการรู้เห็นเป็นใจของนักการเมืองชั่วทั้งสองประเทศ และมีท่านทหารทั้งหลายเป็นเครื่องมือสำคัญของพวกมัน
1. ศาลโลกเข้าข้างลำเอียงไปทางฝ่ายกัมพูชา เพราะออกคำสั่งคุ้มครองดินแดนไทยเสียเป็นส่วนใหญ่ และยังปล่อยให้ชาวเขมรเข้ามาอยู่ได้
2. มาตรการคุ้มครองศาลโลกที่ออกมา ออกตามที่กัมพูชาร้องขอและดินแดนทั้งหมดที่อยู่บนหน้าผาพนมดงรักเป็นดินแดนภายใต้อธิปไตยของประเทศไทย ยกเว้นตัวปราสาทและพื้นที่รองรับตัวปราสาทที่ยังเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2505 ที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกภายใต้ข้อสงวนสิทธิ์ที่ไม่ยอมรับคำตัดสิน ศาลโลกในยุคปัจจุบันจึงทำเกินขอบเขตคำพิพากษาของศาลโลกรุ่นพี่ เมื่อ พ.ศ. 2505 ซึ่งเราได้ปฏิบัตตามคำพิพากษาไปแล้ว
3. ศาลโลกไม่มีสิทธิที่จะให้ไทยต้องปฏิบัติตามเพราะฝ่ายไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกหรือเป็นสมาชิกของศาลมาเป็นเวลานานแล้ว
4. แผนที่ที่ศาลโลกแนบมากับคำสั่งออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้จัดทำขึ้น ศาลทำตามที่กัมพูชาต้องการ
ผมไม่ทราบว่าท่านผู้นำเหล่าทัพและรัฐมนตรีว่าการฯ จะรู้เรื่องแบบนี้หรือไม่ แต่ผมเข้าใจว่าท่านต้องทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี การปล่อยปละละเลยให้เขมรยังคงอยู่อาศัยในดินแดนไทยจนถึงทุกวันนี้ พวกท่านทั้งหลายก็เข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ท่านทั้งหลายเป็นชายชาติทหารต้องรักษาแผ่นดิน การปล่อยให้เขมรเข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทยแถมยังปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกอีก จะให้ประชาชนอย่างผมไว้ใจพวกท่านได้อย่างไร แผ่นดินของคนไทยแท้ๆ แต่ท่านไม่ใส่ใจที่จะคอยดูแล (เอาทหารไปเป็นยามหรือเอายามมาเป็นทหารดี) ผมสงสัยว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่
ผมเห็นนักการเมืองขั้วไหนมาท่านก็เชื่อฟังคำสั่งแบบไม่ต้องคิดว่า นักการเมืองเหล่านั้นทำผิดหรือเลวขนาดไหน ท่านก็เชื่อฟังคำสั่งนักการเมืองเหมือนลูกอุแว้! ท่านมักอ้างว่ารัฐบาลไม่สั่งท่านจึงทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นหน้าที่ของท่านตามรัฐธรรมนูญ ผมขอยกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้เห็น สมมติว่าคณะรัฐมนตรีตายห่ากะทันหัน ข้าศึกศัตรูส่งกองกำลังเข้ายึดดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ ท่านต้องรอโปรดเกล้าฯ ให้มีนายกฯ และรัฐมนตรีชุดใหม่ก่อน แล้วรอให้นักการเมืองสั่งท่านใช่ไหม
เมื่อพ.ศ. 2505 เราสูญเสียอำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทพระวิหารแต่พื้นที่โดยรอบตัวปราสาทเป็นดินแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน ศาลโลกในสมัยนั้นไม่เคยประท้วงประเทศไทยที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และที่ประชุมแห่งองค์การสหประชาชาติก็ยอมรับการปฏิบัติการของไทยตามคำสั่งของศาลโลก การตั้งข้อสงวนสิทธิ์ของประเทศไทยที่ไม่ยอมรับคำพิพากษาและการเรียกคืนตัวปราสาทในอนาคต รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเวลานั้น ต่อสู้อย่างเต็มที่ทั้งในคดีความและการไม่ยอมรับคำตัดสิน หลักฐานต่างมีมากมายที่ชี้ให้เห็นว่าศาลโลกฉ้อฉลในการตัดสินคดี
ประเทศไทยต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตยเป็นการชั่วคราวในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมติคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นใช้คำว่า “พื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทเท่านั้น” สมเด็จนโรดมสีหนุได้เสด็จฯ ขึ้นมาทางบันไดหักเพื่อชักธงชาติกัมพูชา สมเด็จนโรดมสีหนุก็ยอมรับสิ่งที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ปฏิบัติตามคำพิพากษา สมเด็จนโรดมสีหนุไม่เคยทรงว่าอะไรเกี่ยวกับอาณาบริเวณที่กัมพูชาได้รับจากประเทศไทย มีภาพถ่ายและภาพยนตร์ในคราวเสด็จฯ ครั้งนั้นด้วย
ผมจึงขอเตือนผู้บัญชาการทหารทั้งหลาย การที่ท่านยอมให้นักการเมืองจูงจมูกแล้วพาพวกท่านไปยอมรับคำสั่งของศาลโลกที่ฉ้อฉลด้วยการถอนทหารออกจากดินแดนของตัวเอง และยังแสดงว่าพวกท่านไปยอมรับขบวนการที่ตั้งขึ้นจาก MOU 43 เถื่อน (เพราะไม่ผ่านรัฐสภาตามบทบัญญัติที่ตราไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540) เป็นเรื่องที่จะนำพาความอัปยศอดสูใจมาสู่วงศ์ตระกูลของท่าน
ที่สำคัญในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา (7รอบ) ในฐานะที่ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ ผมไม่อยากให้ประเทศไทย ประชาชนคนไทย ทหารหาญอย่างพวกท่าน ต้องสูญเสียดินแดนในวาระนี้ เป็นความเจ็บปวดที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์การสูญเสียดินแดนเป็นครั้งสุดท้ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ผ่านมา และครั้งนี้คงเป็นจุดเริ่มต้นการสูญเสียดินแดนครั้งใหม่ หากเราเสียพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารไป เราจะสูญเสียดินแดนตลอดแนวไทย-กัมพูชาไปอีกจำนวนมากมายมหาศาล ด้วยขบวนการรู้เห็นเป็นใจของนักการเมืองชั่วทั้งสองประเทศ และมีท่านทหารทั้งหลายเป็นเครื่องมือสำคัญของพวกมัน