5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันมหาปีติของปวงพสกนิกร พวกเรามีความสุขสราญใจกับการได้อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร เรามีความสุขที่ได้ทำอะไรๆ ดีๆ เพื่อถวายในหลวง
แต่ก็น่าเสียดายที่ต้องตกอยู่ใต้ “สภาพการณ์ที่แท้จริงของการเมืองไทยคือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา สลับกับรัฐประหารยาวนาน ซึ่งได้หลอกลวงบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีแต่เพียงกฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียว โดยปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม เรามองเห็นกาลล่วงหน้าว่ารัฐบาลไหนๆ ก็ตามจะไปไม่รอดไม่สามารถบริหารนำพาผ่านพ้นเหตุวิกฤตชาติไปได้” (9/9/42)
เว้นแต่รัฐบาลนั้นๆ เชิดชูแนวทางของพระมหากษัตริย์ไทยจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องสืบทอดแนวคิดทางการเมืองของรัชกาลที่ 5-6-7โดยเฉพาะแนวนโยบายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ "ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลาว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้ มิฉะนั้น ก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ในเวลาฐานะของบ้านเมืองเราอยู่ในขีดคับขันและยากจน...” และความตอนหนึ่งว่า...การปกครองที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้เป็นลัทธิเผด็จการทางอ้อม ไม่ใช่ Democracy จริงๆ เลย” นี่คือพระราชหัตถเลขาที่ทรงเตือนผู้ปกครองทุกชุดยาวนานร่วม 77 ปี
ความเข้าใจง่ายๆ ก็คือ แนวคิดนโยบายของพระองค์ทรงต้องการสถาปนาหลัก Democracy อันแท้จริงให้สำเร็จลุล่วงก่อนแล้ว ประชาชนส่วนมากของประเทศเข้าใจหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยดีแล้ว จากนั้นจึงร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายหลัก หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา สะท้อนความเป็นระบอบประชาธิปไตยไว้ ทั้งระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญก็จะถูกต้องมั่นคงทั้งเนื้อหา (หลักการปกครองฯ) และรูปแบบ (รัฐธรรมนูญ)
แต่คณะราษฎร ร่างรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบฯ เอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ซึ่งเป็นความเห็นผิด ทำผิดอย่างร้ายแรงยิ่งกว่าใดๆ ทั้งนี้เพราะกลุ่มเด็กหนุ่มนักเรียนนอกที่ได้รับทุนทั้งนายทหารและพลเรือนยังขาดประสบการณ์ มีความรู้แค่ที่ตาเห็น แค่เปลือกนอก (รัฐธรรมนูญ) แล้วนำเอาปัญญาตื้นๆ ผิดๆ นั้นมาครอบงำทำผิดๆ ซ้ำซากมายาวนาน 79 ปี
พระปกเกล้าฯ จะทรงคัดค้านอย่างไรก็ไม่มีใครฟัง ผู้ปกครองทุกชุดไม่ยอมฟัง ไม่ตั้งสติพิจารณาศึกษาให้ถ่องแท้ ความฉิบหาย หายนะ มันจึงเกิดขึ้นทับถมประเทศไทยยาวนาว 79 ปี ขอให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนเถิด
5 ธันวา วันมหาประชาปีติปี 2554 นี้ ขอเชิญชวนเหล่าพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งหลาย ขอให้ช่วยกันคิดตริตรองเจริญรอยตามพระราชดำรัชและแนวคิดนโยบายของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ร่วมกันสืบทอดแนวทางที่ถูกต้องโดยธรรมโดยพระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยนโยบายทางการเมืองการปกครองที่ยิ่งใหญ่จะเห็นได้จากพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และทรงมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่สอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล ดุจดัง “จิตอริยะกับกาย” คือ “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง”
เราขอยืนยันว่า สัมพันธภาพระหว่าง พระปฐมบรมราชโองการอันเป็นนโยบายโดยธรรม กับ ระบบเศรษฐกิจพอเพียง เป็นสัมพันธภาพที่ถูกต้องที่สุด เป็นเหตุเป็นผลที่ถูกต้องตาม กฎอิทัปปัจจยตา ฝ่ายเจริญก้าวหน้า คือ “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี” (พระปฐมบรมราชโองการมี, ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็มี) หรือ พระปฐมบรมราชโองการเป็นเหตุ ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นผล
พระปฐมบรมราชโองการ มาก่อนระบบเศรษฐกิจพอเพียง ฉันใดระบอบ (หลักการปกครอง) ต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญฉันนั้น
ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีทางเดียว คือ ประชาชนเหล่าพสกนิกรทั้งหลายร่วมมือกับองค์พระมหากษัตริย์ ร่วมกันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตยให้สำเร็จ เพื่อความถูกต้องยิ่งใหญ่ และเพื่อให้องค์พระมหากษัตริย์จะได้ทรงพระสำราญเบิกบานพระหฤทัยและหายจากพระประชวร การเจริญรอยตามในหลวง คือการเจริญรอยตามแนวทางพระปฐมบรมราชโองการ โดยมีจุดมุ่งหมายเป็นหนึ่งเดียวกันสัญญาว่า
ข้อหนึ่ง เราขอสัญญาว่าถือหลักธรรมาธิปไตย เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อสอง เราขอสัญญาว่าถือหลักพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขแห่งรัฐ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อสาม เราขอสัญญาว่าถือหลักอำนาจอธิปไตยปวงชน เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อสี่ เราขอสัญญาว่าถือหลักเสรีภาพบริบูรณ์ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อห้า เราขอสัญญาว่าถือหลักความเสมอภาคทางโอกาส เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อหก เราขอสัญญาว่าถือหลักภราดรภาพ ไม่แบ่งชนชั้น ไม่เลือกปฏิบัติ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อเจ็ด เราขอสัญญาว่าถือหลักเอกภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อแปด เราขอสัญญาว่าถือหลักดุลยภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อเก้า เราขอสัญญาว่าถือหลักนิติธรรม เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
พลังแห่งความจงรักภักดีของเหล่าพสกนิกร จะพลิกฟื้นประเทศไทยสู่ความมั่นคงรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ตลอดไป หรือยังคงเป็นคนป่วยในห้อง ICU กันต่อไป นี่คือแนวทางต่อสู้ สู้ สู้ สู้อย่างสันติกับพวกโค่นเจ้า
แต่ก็น่าเสียดายที่ต้องตกอยู่ใต้ “สภาพการณ์ที่แท้จริงของการเมืองไทยคือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา สลับกับรัฐประหารยาวนาน ซึ่งได้หลอกลวงบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีแต่เพียงกฎหมายรัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียว โดยปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม เรามองเห็นกาลล่วงหน้าว่ารัฐบาลไหนๆ ก็ตามจะไปไม่รอดไม่สามารถบริหารนำพาผ่านพ้นเหตุวิกฤตชาติไปได้” (9/9/42)
เว้นแต่รัฐบาลนั้นๆ เชิดชูแนวทางของพระมหากษัตริย์ไทยจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องสืบทอดแนวคิดทางการเมืองของรัชกาลที่ 5-6-7โดยเฉพาะแนวนโยบายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ "ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลาว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้ มิฉะนั้น ก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ในเวลาฐานะของบ้านเมืองเราอยู่ในขีดคับขันและยากจน...” และความตอนหนึ่งว่า...การปกครองที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้เป็นลัทธิเผด็จการทางอ้อม ไม่ใช่ Democracy จริงๆ เลย” นี่คือพระราชหัตถเลขาที่ทรงเตือนผู้ปกครองทุกชุดยาวนานร่วม 77 ปี
ความเข้าใจง่ายๆ ก็คือ แนวคิดนโยบายของพระองค์ทรงต้องการสถาปนาหลัก Democracy อันแท้จริงให้สำเร็จลุล่วงก่อนแล้ว ประชาชนส่วนมากของประเทศเข้าใจหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยดีแล้ว จากนั้นจึงร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายหลัก หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา สะท้อนความเป็นระบอบประชาธิปไตยไว้ ทั้งระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญก็จะถูกต้องมั่นคงทั้งเนื้อหา (หลักการปกครองฯ) และรูปแบบ (รัฐธรรมนูญ)
แต่คณะราษฎร ร่างรัฐธรรมนูญไปสร้างระบอบฯ เอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ ซึ่งเป็นความเห็นผิด ทำผิดอย่างร้ายแรงยิ่งกว่าใดๆ ทั้งนี้เพราะกลุ่มเด็กหนุ่มนักเรียนนอกที่ได้รับทุนทั้งนายทหารและพลเรือนยังขาดประสบการณ์ มีความรู้แค่ที่ตาเห็น แค่เปลือกนอก (รัฐธรรมนูญ) แล้วนำเอาปัญญาตื้นๆ ผิดๆ นั้นมาครอบงำทำผิดๆ ซ้ำซากมายาวนาน 79 ปี
พระปกเกล้าฯ จะทรงคัดค้านอย่างไรก็ไม่มีใครฟัง ผู้ปกครองทุกชุดไม่ยอมฟัง ไม่ตั้งสติพิจารณาศึกษาให้ถ่องแท้ ความฉิบหาย หายนะ มันจึงเกิดขึ้นทับถมประเทศไทยยาวนาว 79 ปี ขอให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนเถิด
5 ธันวา วันมหาประชาปีติปี 2554 นี้ ขอเชิญชวนเหล่าพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งหลาย ขอให้ช่วยกันคิดตริตรองเจริญรอยตามพระราชดำรัชและแนวคิดนโยบายของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ร่วมกันสืบทอดแนวทางที่ถูกต้องโดยธรรมโดยพระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยนโยบายทางการเมืองการปกครองที่ยิ่งใหญ่จะเห็นได้จากพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และทรงมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่สอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล ดุจดัง “จิตอริยะกับกาย” คือ “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง”
เราขอยืนยันว่า สัมพันธภาพระหว่าง พระปฐมบรมราชโองการอันเป็นนโยบายโดยธรรม กับ ระบบเศรษฐกิจพอเพียง เป็นสัมพันธภาพที่ถูกต้องที่สุด เป็นเหตุเป็นผลที่ถูกต้องตาม กฎอิทัปปัจจยตา ฝ่ายเจริญก้าวหน้า คือ “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี” (พระปฐมบรมราชโองการมี, ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็มี) หรือ พระปฐมบรมราชโองการเป็นเหตุ ระบบเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นผล
พระปฐมบรมราชโองการ มาก่อนระบบเศรษฐกิจพอเพียง ฉันใดระบอบ (หลักการปกครอง) ต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญฉันนั้น
ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีทางเดียว คือ ประชาชนเหล่าพสกนิกรทั้งหลายร่วมมือกับองค์พระมหากษัตริย์ ร่วมกันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตยให้สำเร็จ เพื่อความถูกต้องยิ่งใหญ่ และเพื่อให้องค์พระมหากษัตริย์จะได้ทรงพระสำราญเบิกบานพระหฤทัยและหายจากพระประชวร การเจริญรอยตามในหลวง คือการเจริญรอยตามแนวทางพระปฐมบรมราชโองการ โดยมีจุดมุ่งหมายเป็นหนึ่งเดียวกันสัญญาว่า
ข้อหนึ่ง เราขอสัญญาว่าถือหลักธรรมาธิปไตย เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อสอง เราขอสัญญาว่าถือหลักพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขแห่งรัฐ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อสาม เราขอสัญญาว่าถือหลักอำนาจอธิปไตยปวงชน เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อสี่ เราขอสัญญาว่าถือหลักเสรีภาพบริบูรณ์ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อห้า เราขอสัญญาว่าถือหลักความเสมอภาคทางโอกาส เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อหก เราขอสัญญาว่าถือหลักภราดรภาพ ไม่แบ่งชนชั้น ไม่เลือกปฏิบัติ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อเจ็ด เราขอสัญญาว่าถือหลักเอกภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อแปด เราขอสัญญาว่าถือหลักดุลยภาพ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
ข้อเก้า เราขอสัญญาว่าถือหลักนิติธรรม เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าพสกนิกรทั้งปวง
พลังแห่งความจงรักภักดีของเหล่าพสกนิกร จะพลิกฟื้นประเทศไทยสู่ความมั่นคงรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ตลอดไป หรือยังคงเป็นคนป่วยในห้อง ICU กันต่อไป นี่คือแนวทางต่อสู้ สู้ สู้ สู้อย่างสันติกับพวกโค่นเจ้า
