ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยปิดบวก 23 จุด พุ่งตามภูมิภาค ขานรับข่าวเฟดจับมือ 5 ธนาคารกลาง พยุงหนี้ยุโรปไม่ให้ลุกลาม จนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิ 1.6 พันล้านบาท แบงก์ชาติมองชี้แม้กนง.ลดดอกเบี้ยแต่เงินยังไหลเข้า “สมพล”คาดปีหน้าดัชนีหุ้นไทยดีขึ้น โบรกฯเชื่อวันนี้(2ธ.ค.) ดัชนีมีโอกาสอ่อนตัว เหตุไม่มีข่าวใหม่เข้ามาสนับสนุน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(1ธ.ค.) ปรับตัวในแดนบวก ปิดที่ระดับ 1,019.15 จุด เพิ่มขึ้น 23.82 จุด หรือ 2.39%มูลค่าการซื้อขาย 37,477.95 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,024.88 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,014.70 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคที่ขานรับข่าวดีการคลี่คลายปัญหาของภาคธนาคารในยุโรป หลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จับมือธนาคารกลางอีก 5 ชาติ เข้าช่วยเหลือ จึงทำให้มีแรงซื้อกลับมาจากนักลงทุนต่างชาติ ที่ซื้อสุทธิ 1,694.90 ล้านบาท ขณะที่สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 3,210.89 ล้านบาท และ 2,848.30 ล้านบาท
** “สมพล”เชื่อปีหน้าหุ้นไทยไปโรจน์
นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีหน้าว่า มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดี เนื่องจากสถานการณ์ต่างประเทศมีการปรับตัวดีขึ้นจากที่ทางสรัฐฯและประเทศต่างๆจะมีการร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง เพราะจะมีผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ และหากเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออก และ การ ท่องเที่ยวของ ของไทยด้วย
สำหรับปัจจัยภายในประเทศปัญหาที่น่ากังวลคือ เรื่อง น้ำท่วม ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส4/54 และไตรมาส1/55 และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวกลับมาดีได้ตั้งแต่ไตรมาส2/55เป็นต้นไป ก็จะสะท้อนมาที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวที่ดี
ส่วนที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในวานนี้ (1 ธ.ค.) มองว่ามาจากการที่ทางธนาคารกลาง 6 ประเทศ ได้ตกลงในการลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในรูปเงินดอลลาร์ลง เพื่อช่วยพยุงหนี้ยุโรป ทำให้ดัชนีดาวโจนส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 200-300% ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นในแถบเอเชียมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 3% ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 1,000 จุด แล้ว โดยถือว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้มีการปรับตัวในทิศทางที่ดี
***แบงก์ชาติเผยเงินไหลเข้า
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.25%ต่อปี แต่เงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยดอกเบี้ยเพียงตัวเดียวไม่ได้มีผลโดยตรงต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนมากนัก นักลงทุนยังพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบการพิจารณานำเงินทุนไหลเข้าหรือออกมาลงทุนในไทย
"ขณะนี้บรรยากาศในแง่ของนักลงทุนก็ปรับตัวดีขึ้นจากข่าวธนาคารกลาง 6 แห่งร่วมออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย"
ส่วนการที่ธนาคารกลางทั้ง 6 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารกลางสหรัฐ ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา และสวิตเซอร์แลนด์ที่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จะช่วยลดความเสี่ยงภาคต่างประเทศในมุมมองของธปท.ได้หรือไม่นั้น นายเมธี กล่าวว่า ช่วงระยะสั้นน่าจะช่วยได้บ้าง แต่เรื่องนี้ควรรอดูสักระยะหนึ่งก่อน
**โบรกฯคาดวันนี้ดัชนีอ่อนตัวลง
นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)กล่าวถึงทิศตลาดหุ้นไทยวันนี้(2ธ.ค.) ว่าดัชนีน่าจะอ่อนตัวลงตามทิศทางดาวโจนส์ฟิวเจอร์สและตลาดหุ้นยุโรป โดยมองว่ายังไม่น่ามีข่าวอะไรออกมาเพิ่มเติม ต้องไปรอจับตาดูการประชุมธนาคารกลางยุโรปและการประชุมสุดยอดของผู้นำยุโรปในช่วงวันที่ 8-9 ธ.ค.นี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมา พร้อมให้กรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,010-1,025 จุด
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(1ธ.ค.) ปรับตัวในแดนบวก ปิดที่ระดับ 1,019.15 จุด เพิ่มขึ้น 23.82 จุด หรือ 2.39%มูลค่าการซื้อขาย 37,477.95 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,024.88 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,014.70 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคที่ขานรับข่าวดีการคลี่คลายปัญหาของภาคธนาคารในยุโรป หลังธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จับมือธนาคารกลางอีก 5 ชาติ เข้าช่วยเหลือ จึงทำให้มีแรงซื้อกลับมาจากนักลงทุนต่างชาติ ที่ซื้อสุทธิ 1,694.90 ล้านบาท ขณะที่สถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 3,210.89 ล้านบาท และ 2,848.30 ล้านบาท
** “สมพล”เชื่อปีหน้าหุ้นไทยไปโรจน์
นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีหน้าว่า มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดี เนื่องจากสถานการณ์ต่างประเทศมีการปรับตัวดีขึ้นจากที่ทางสรัฐฯและประเทศต่างๆจะมีการร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง เพราะจะมีผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ และหากเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออก และ การ ท่องเที่ยวของ ของไทยด้วย
สำหรับปัจจัยภายในประเทศปัญหาที่น่ากังวลคือ เรื่อง น้ำท่วม ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส4/54 และไตรมาส1/55 และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวกลับมาดีได้ตั้งแต่ไตรมาส2/55เป็นต้นไป ก็จะสะท้อนมาที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวที่ดี
ส่วนที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในวานนี้ (1 ธ.ค.) มองว่ามาจากการที่ทางธนาคารกลาง 6 ประเทศ ได้ตกลงในการลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในรูปเงินดอลลาร์ลง เพื่อช่วยพยุงหนี้ยุโรป ทำให้ดัชนีดาวโจนส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 200-300% ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นในแถบเอเชียมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 3% ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 1,000 จุด แล้ว โดยถือว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้มีการปรับตัวในทิศทางที่ดี
***แบงก์ชาติเผยเงินไหลเข้า
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 3.25%ต่อปี แต่เงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยดอกเบี้ยเพียงตัวเดียวไม่ได้มีผลโดยตรงต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนมากนัก นักลงทุนยังพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบการพิจารณานำเงินทุนไหลเข้าหรือออกมาลงทุนในไทย
"ขณะนี้บรรยากาศในแง่ของนักลงทุนก็ปรับตัวดีขึ้นจากข่าวธนาคารกลาง 6 แห่งร่วมออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มประเทศยุโรป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย"
ส่วนการที่ธนาคารกลางทั้ง 6 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารกลางสหรัฐ ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา และสวิตเซอร์แลนด์ที่ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จะช่วยลดความเสี่ยงภาคต่างประเทศในมุมมองของธปท.ได้หรือไม่นั้น นายเมธี กล่าวว่า ช่วงระยะสั้นน่าจะช่วยได้บ้าง แต่เรื่องนี้ควรรอดูสักระยะหนึ่งก่อน
**โบรกฯคาดวันนี้ดัชนีอ่อนตัวลง
นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)กล่าวถึงทิศตลาดหุ้นไทยวันนี้(2ธ.ค.) ว่าดัชนีน่าจะอ่อนตัวลงตามทิศทางดาวโจนส์ฟิวเจอร์สและตลาดหุ้นยุโรป โดยมองว่ายังไม่น่ามีข่าวอะไรออกมาเพิ่มเติม ต้องไปรอจับตาดูการประชุมธนาคารกลางยุโรปและการประชุมสุดยอดของผู้นำยุโรปในช่วงวันที่ 8-9 ธ.ค.นี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมา พร้อมให้กรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,010-1,025 จุด