xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปฏิบัติการ"ปล้นทรัพย์" หรือปล้นประจาน"ทรัพย์(ล้อม)"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายชยธัช จันทร์ผ่อง หรือ เอก
"น ทีฆมายุง ลภเต ธเนน = คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์"

ดูจะเป็นพุทธศาสนสุภาษิตที่ยังคงทันสมัย และนำมาใช้เตือนสติได้ในกาลทุกเมื่อ แม้พระพุทธองค์จะตัดไว้เมื่อกว่า 2554 ปีมาแล้วก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่กำลังคึกโครมอยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือ คดีกลุ่มคนร้ายบุกเข้าปล้นบ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ที่บ้านเลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 แยก 2 แขวงและเขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา

คดีนี้จัดเป็นคดีอุกอาจ เพราะบ้านที่คนร้ายปล้น เป็นบ้านที่ผู้คนรู้จักกันในสังคม เป็นข้าราชการระดับสูง เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกระทรวงคมนาคม ในฝ่ายข้าราชการ การถูกปล้นจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ที่ตำรวจต้องเข้าไปจัดการลากคอคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ ทว่า เมื่อตำรวจเข้าไป ดูเหมือนในเบื้องต้น จะไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าของบ้านมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาของนายสุพจน์ ที่ระบุในเบื้องต้นว่า "เป็นเรื่องเข้าใจผิด"

**พิรุธแห่งคดีที่สังคมไม่เข้าใจ

การที่ถูกระบุว่า "เป็นเรื่องเข้าใจผิด" ทั้งๆ ที่บ้านถูกปล้น จึงยิ่งเป็นปริศนา เป็นคดีที่น่าขุดคุ้ยมาให้สังคมรับทราบ ในขณะเดียวกัน สังคมก็อยากรู้เช่นกันว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ในวันเกิดเหตุ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 12 พ.ย. พ.ต.ท.ชัยยุทธ ปัดธามัง พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.วังทองหลาง รับแจ้งเหตุคนร้ายบุกปล้นทรัพย์บ้านเลขที่ 77 ซ.ลาดพร้าว 64 แยก 2 ถนนลาดพร้าว แขวงและเขตวังทอง กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อม พล.ต.ต.เอื้อพงศ์ โกมารกุล ณ นคร รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี ผบก.น.4 พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผกก.สน.วังทองหลาง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.)

ที่เกิดเหตุลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น จำนวน 2 หลัง ห่างกันประมาณ 100 เมตร โดยมีทางเดินปูด้วยกระเบื้องเชื่อมกันบนพื้นดิน บนเนื้อที่ประมาณ 150 ตร.ว.ขณะที่รั้วสูงประมาณ 2.5 เมตร ต่อมาเดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งกันไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปดูในบ้านเกิดเหตุ

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ช่วงก่อนเกิดเหตุวันเดียวกัน นายสุพจน์ พร้อมครอบครัวเดินทางไปร่วมงานแต่งงานลูกสาวตนเองที่จัดขึ้นที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี ส่วนประตูรั้วบ้านซึ่งเป็นประตูไฟฟ้า แต่นายสุพจน์สั่งให้ตัดไฟฟ้าควบคุมประตูรั้วหน้าบ้าน เนื่องจากเกรงว่าหากน้ำท่วมแล้วไฟฟ้าจะช็อตแล้วเข้าออกบ้านไม่ได้

ในวันนั้น ชุดสืบสวนระบุว่า คนร้ายที่เข้ามาก่อเหตุมีไม่ต่ำกว่า 7 คน เพราะได้สอบถามแม่บ้านที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า ช่วงเวลาประมาณ 20.30 น. มีเพียงแม่บ้านจำนวน 3 คนอยู่ในบ้าน ขณะเกิดเหตุคนร้ายได้เข้ามา 5 คนแล้วจับแม่บ้านสองคนมัดมือแล้วข่มขู่ไม่ให้ส่งเสียงและบอกใคร ส่วนแม่บ้านอีกคนได้แอบอยู่ในห้องน้ำ เมื่อคนร้ายถามแม่บ้านที่ถูกจับมัดว่ามีใครอีกแม่บ้านที่ถูกจับก็บอกว่ามีแค่ 2 คนเท่านั้น

“จากนั้นคนร้ายทั้ง 5 คนก็ใช้มีดจี้แม่บ้านที่จับมัดมือให้ขึ้นไปข้างบนชั้น 2 ของบ้าน แล้วใช้ชะแลงงัดเข้าไปภายในห้องนอนของนายสุพจน์ ก่อนจะรื้อค้นเอาทรัพย์สิน และทิ้งคัตเตอร์ที่ใช้จี้แม่บ้านกับชะแลงที่ก่อเหตุทิ้งไว้ จากนั้นก็มาขึ้นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ 4 ประตู ไม่ทราบสีและทะเบียนหลบหนีไป ซึ่งน่าจะมีคนร้ายอีกอย่างน้อย 2 คนรออยู่ที่รถ” ชุดสืบสวนระบุ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงทรัพย์สินที่หายไป แต่กลับถูกปฏิเสธบอกว่ายังไม่มีรายละเอียด ต้องรอให้เจ้าของบ้านตรวจสอบทรัพย์สินอีกครั้งว่ามีสิ่งใดหายไปบ้าง มีมูลค่าเท่าไหร่ ขณะเดียวกัน ภรรยาของนายสุพจน์ได้เข้ามาพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในลักษณะไม่อยากให้เรื่องนี้เผยแพร่เป็นข่าว พร้อมกับบอกว่าไม่มีอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น!

นั่นคือข้อเท็จจริงที่ได้ในวันเกิดเหตุ และถัดมาในเช้าวันรุ่งขึ้น (13 พ.ย.) พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.เดินทางไปตรวจสอบบ้านที่เกิดเหตุ พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบให้ทำคดีอย่างละเอียด ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 วันหลังเกิดเหตุ ตำรวจพยายามเสก็ตซ์ภาพคนร้าย ออกหมายจับ ในขณะที่ชุดสืบสวน ต่างออกแกะรอยเหล่าวายร้ายที่กล้าเข้าไปล้วงคอปลัดกระทรวง และตลอดระยะเวลาดังกล่าว ไม่มีดอกพิกุลร่วงออกมาจากปากนายสุพจน์ แม้แต่ดอกเดียว แต่คนใกล้ชิดนายสุพจน์ ระบุว่า หลังเกิดเหตุ ตัวปลัดเครียดมาก ไม่อยากที่จะพุดอะไร ขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเท่านั้น

กระนั้นก็ตาม เหมือจะมีสื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับ พยายามที่จะช่วยเบี่ยงประเด็นว่า เงินที่คนร้ายปล้นไปได้ เป็นเงินจากสินสอดทองหมั้นของบุตรสาวนายสุพจน์ รวมทั้งเงินใส่ซองประมาณ 5 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ขณะนั้น สังคมยังไม่ได้รับรู้ว่า เงินที่คนร้ายปล้นไปได้ เป็นเงินจำนวนเท่าใด และแม้แต่ข่าวปล้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม ก็ยังถูกวางไว้ในหน้าใน ไม่ใช่หน้า 1 อย่างที่หลายฉบับทำกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลก ที่หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว ไม่ได้นำข่าวชิ้นนี้ขึ้นหน้า 1 ทั้งๆ ที่ข่าวดังกล่าวถือเป็นทางของพวกเขาโดยเฉพาะ

ถัดมาอีก 5 วัน คดีนี้กลับมาคึกโครมอีกครั้ง เมื่อทีมสืบสวนประสบความสำเร็จ สามารถจับกุมคนร้ายในคดีนี้ได้ 2 คน ประกอบด้วย นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น อายุ 44 ปี ที่อยู่ 135/46 ตรอกอาคาร7 แขวงและเขตคลองเตย กทม. และนายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี ที่อยู่ 238 ม.7 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย พร้อมของกลางเงินสด 2,822,000 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาทอีก 2 เส้น

พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. บอกในระหว่างการนำ 2 ผู้ต้องหามาแถลงข่าวว่า หลังเกิดเหตุ ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า รถกระบะวีโก้ 4 ประตู ขับออกจากที่เกิดเหตุมุ่งหน้าไปยังถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา และต่อมาได้มีประชาชนได้แจ้งเบาะแสว่าพบบุคคลต้องสงสัยซึ่งมีพฤติกรรมการใช้เงินเปลี่ยนไปโดยร่ำรวยผิดปกติ เจ้าหน้าที่สืบสวนพบว่าเป็นนายสิงห์ทอง จึงได้เชิญตัวมาสอบสวนซึ่งพบพิรุธหลายอย่างและไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ จนกระทั่งยอมรับสารภาพว่าได้ร่วมกับพรรคพวกรวม 6 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์ดังกล่าวจริง โดยมีนายวีระศักดิ์ หรือ โก้ เชื่อลี อายุ 36 ปี อยู่ที่ 260 หมู่2 ต.แชะ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เป็นหัวหน้าแก๊ง นายเสาร์แก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี นายพงษ์ศักดิ์ หรือ เจี๊ยบ นามวงศ์ อายุ 35 ปี ที่อยู่ 238 ม.7 ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง จ.เชียงราย นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี ที่อยู่ 40 ม.5 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย และนายคำนวณ หรือนวน เมฆน้อย อายุ 38 ปี อยู่ที่ 449 ม.9 ต.หินเหล็กไฟ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกระทำผิดด้วย

"รองอ๊อด" บอกอีกว่า คนร้ายได้ร่วมวางแผนมาหลายเดือนแล้ว มีการวนมาดูบ้านที่เกิดเหตุหลายรอบแต่ยังไม่กล้าลงมือ ต่อมานายวีระศักดิ์ ได้ติดต่อมาว่าเตรียมอุปกรณ์ในการลงมือครบถ้วนแล้ว พร้อมที่จะลงมือได้โดยมีการใช้เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เครื่องสัญญาณกล้องวงจรปิด เครื่องตัดสัญญาณประตูเลื่อนหน้าบ้าน หมวกไอ้โม่งไหมพรมสีดำ ถุงมือสีดำ เครื่องช็อตไฟฟ้า วิทยุสื่อสาร ชะแลงเหล็ก ในการลงมือ ในวันเกิดเหตุนายวีระศักดิ์ ได้ขับรถกระบะวีโก้ 4 ประตู สีบรอนท์ทอง ทะเบียน กฉ 1166 กาญจนบุรี มารับนายสิงห์ทอง กับพวกที่เหลืออยู่ ในห้องพักของนายสิงห์ทอง จากนั้นนายวีระศักดิ์ ได้ขับรถมายังหน้าบ้านที่เกิดเหตุ จากนั้นได้เปิดเครื่องตัดสัญญาณทั้งหมดและให้นายสิงห์ทอง ลงไปเปิดประตูรั้ว จากนั้นเข้าไปจับแม่บ้าน 2 คน มาอยู่ในห้องครัวมัดมือแล้วพานำขึ้นไปในห้องนอนแล้วเปิดตู้เสื้อผ้ากรีดกระเป๋าเอาเงินใส่กระสอบที่เตรียมมา จากนั้นก็ขึ้นรถกระบะหลบหนีไป

ตรงนี้ มีข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใด นายสิงห์ทอง เมื่อลงมือปล้น และแบ่งเงินทองกับพรรคพวกแล้ว จึงไปใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวังจนเป็นที่ผิดสังเกตของผู้คนรอบข้าง กระทั่งนำไปสู่การจับกุม โดยไม่ได้ระมัดระวังตัว หรือหลบหนีไปเยี่ยงคนร้ายคดีอื่นๆ ที่ต้องหนีสุดชีวิต หรือกบดานอย่างนิ่งที่สุด แต่นี่กลับตรงกันข้าม ทั้งที่เป็นคดีอุกอาจ หรือว่า การให้ถูกแกะรอยและถูกจับกุม จะเป็นเจตนา และรวมอยู่ในแผนปฏิบัติการปล้นเพื่อประจานครั้งนี้ด้วย

**คดีแปลกสังคมให้กำลังใจโจร**

คดีมาถึงจุดไคลแม็กซ์ เมื่อนายสิงห์ทอง ระบุระหว่างการแถลงข่าวว่า “ก่อนลงมือได้ให้นายคำนวณเช่าอพาร์ทเมนต์รายวันชั้นสูงสุดที่ใกล้เคียงบ้านที่เกิดเหตุคอยดูความเคลื่อนไหวของคนในบ้าน ก่อนจะตัดสินใจลงมือปล้น เบื้องต้นเงินที่พวกตนได้มาทั้งหมดกว่า 200 ล้านบาท โดยนายวีระศักดิ์ได้ให้เงินจำนวน 15 ล้านบาท มาแบ่งกันใช้ไปก่อน ส่วนเงินสดที่เหลือ นายวีระศักดิ์ เป็นคนเก็บไว้ แล้วจะนำมาแบ่งกันภายหลัง โดยตกลงกันว่าเงินที่ได้มาทั้งหมด 50 เปอร์เซ็นต์ แบ่งให้ลูกพี่ของนายวีระศักดิ์ ซึ่งเป็นข้าราชการ ส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นของนายวีระศักดิ์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์แบ่งพวกตนที่เหลือ ส่วนภายในบ้านที่เกิดเหตุพบเงินสดซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าต่างๆรวมประมาณ 700-1,000 ล้านบาท ส่วนเหตุที่เข้าปล้นครั้งนี้ ทราบมาว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบ”

เงินที่ปล้นในครั้งนี้ มีถึง 200 ล้านบาท และยังมีอยู่ในบ้านอีก 700-1,000 ล้านบาท เพราะเหตุใด เงินสดจำนวนมากมายมหาศาลจึงอยู่ในบ้านของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมได้ เรื่องนี้ ได้รับการกล่าวขานกันอย่างล้นหลามถึงที่มาที่ไปของเงินจำนวนดังกล่าว ที่สำคัญพวกเขาเชื่อว่า "คนร้ายไม่ได้โกหก" จนกระทั่ง เมื่อทั้งคู่ถูกนำตัวไปฝากขัง นายสิงห์ทองได้กล่าวขอบคุณชาวเฟสบุ๊ค ผ่านสื่อมวลชนว่า ขอขอบคุณ ชาวเฟสบุ๊คซึ่งร่วมให้กำลังใจพวกเขา ! ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกที่สังคมกลับเห็นอกเห็นใจ และร่วมให้กำลังใจกับผู้กระทำผิดที่ได้ชื่อว่า"โจร"ในครั้งนี้อย่างคาดไม่ถึง

**"สุพจน์"อ้างเป็นเรื่องดิสเครดิต**

ทางฟากเจ้าทรัพย์ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม หลังถูกคนร้ายที่ร่วมเข้าปล้นบ้านระบุว่า ได้เงินไปถึง 200 ล้าน และยังมีเงินสดอยู่ในบ้านอีกเป็นพันล้าน ก็จำเป็นต้องออกมาชี้แจงกับสังคมให้ทราบ ทว่าการชี้แจงดังกล่าว ก็ชี้แจงผ่าน"สื่อ"ที่สนิทเพียงเท่านั้น โดยนายสุพจน์ ระบุว่า เป็นเรื่องดิสเครดิตกันมากกว่า เพราะเรื่องดังกล่าวต้องไปดูตามข้อเท็จจริง ว่า เงินพันล้านจะเก็บอย่างไร และที่บ้านก็ไม่ใช่ปราสาทหรือ าชวัง ที่จะมีที่เก็บเงินขนาดนั้น

“ก็ต้องดูกันเองตามข้อเท็จจริงว่าจะเชื่อได้หรือไม่ ซึ่งหากมีจริงคนร้ายขับรถกระบะมาแล้วทำไมถึงนำเงิน 1,000 ล้านไปได้ไม่หมด ก็อยากจะให้ดูตามข้อเท็จจริงก่อน”

ส่วนเงินที่ทางคนร้ายได้ไปจำนวน 200 ล้านบาทนั้น นายสุพจน์ ยืนยันว่า เป็นเงินสินสอดและเงินรับไหว้ของลูกสาว แต่ถ้าถามว่าจำนวนเท่าไรนั้น ก็ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะยังไม่ได้นับ แค่นำมารวมๆ กันไว้ แต่ยืนยันได้ว่า ไม่มีเงินส่วนตัวของตนแน่นอน เพราะจะไม่เก็บเงินส่วนตัวไว้ที่บ้านอยู่แล้ว

“คุณก็ต้องดูว่า เงินพันล้านมันต้องเก็บยังไง แล้วเงินมันก็เหมือนกับเป็นการดิสเครดิตกันอะไรกัน ส่วนเงิน 200 ล้านที่บอกว่าได้ไป มันไม่ใช่ มันมีที่ไหน มันก็เอามาพูดกัน มันไม่ใช่ต้องพูดว่า ถ้ามีเป็น 1,000 ล้าน หรือ 200 ล้าน ถ้ามีจริงแล้วมันจะเก็บยังไง เงิน 200 ล้าน นี่มันเงินขนาดเท่าไร แบงก์ 1,000 ปึกละ 1,000 นี่ 200 ปึกแล้ว จะเก็บยังไง ถ้าดูตามข้อเท็จจริงแล้วคนที่มาบอกว่าเอาไป 200 ล้าน เพราะเอาไปไม่หมด ทั้งๆ ที่ขับรถปิกอัพมา ถ้ามีจริงทำไมจะเอาไปหมดไม่ได้ มันดูตามข้อเท็จจริงก่อน ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง”

การที่นายสุพจน์ระบุว่า เป็นการดิสเครดิต ก็ยิ่งทำให้เกิดความสงสัยว่า คนระดับปลัดกระทรวงเกรดเอ จะถูก"โจร"ดิสเครดิตได้อย่างไร มันคนละระดับชั้นกัน หรือว่า นายสุพจน์ รู้จุดประสงค์ปฏิบัติการปล้นครั้งนี้ ที่โจรมิได้ประสงค์ทรัพย์ เพียงแต่เงินจำนวนมหาศาลที่ได้ไป เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น ก็ไม่อาจทราบได้

พ.ต.อ.ธวัช วงศ์สง่า ผกก.สน.วังทองหลาง บอกว่า เรื่องจำนวนเงินที่ผู้ต้องหาให้การว่าเอาไป 200 ล้านบาท และเหลือในบ้านอีกกว่า 700-1,000 ล้านบาทนั้น ทางปลัดกระทรวงคมนาคมยังไม่ได้ยืนยันมา ทางเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบเรื่องจำนวนเงินอีกครั้งหนึ่ง เพราะถือว่าเป็นคำให้การของผู้ต้องหา

**จับเพิ่มยึดเงินเพิ่ม**

ต่อมาตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้เพิ่มอีก 4 คน ประกอบด้วย นายสมบูรณ์ หรือ บูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 ม.5 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย, นายวณัญกฤต หรือ จ่อย บุตรกันหา อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9 ถ.นครพนม-ท่าอุเน ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม, นายบุญสืบ หรือ สืบ โจมกัน อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/107 ซ.ช่างอากาศอุทิศ 8 แยก 1 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. และนายวุฒิชัย หรือ วุฒิ พันธวารี อายุ 33 ปี ที่อยู่ 79/148 ม.6 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กทม.พร้อมกับสามารถยึดเงินสดของกลางได้เพิ่มเติมอีก จำนวน 13,701,000 บาท

นอกจากนี้ นายเลอศักดิ์ วิริยะกระษาปณ์ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 21/1 ม.6 ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ซึ่งทราบเหตุการณ์ปล้นครั้งนี้จากสื่อมวลชน จึงได้แสดงความบริสุทธิ์โดยนำเงินที่ นายวีระศักดิ์ หรือ โก้ หัวหน้าแก๊ง เคยนำเงินมาฝากไว้โดยไม่ทราบว่าเป็นเงินที่ได้จากการปล้น จำนวน 1,500,000 บาท ส่งมอบคืนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ทั้งนี้ นายสมบูรณ์ ให้การว่า ก่อนหน้านี้ ทำนาอยู่ที่ จ.เชียงราย ต่อมา นายสิงห์ทอง ได้มาติดต่อว่าให้มาทำงานให้นายใหญ่ที่ กทม.โดยไม่รู้ว่าจะเข้าไปปล้นเงินที่บ้านนายสุพจน์จึงรับปากเข้ามาทำงานให้ แต่พอมาถึงจึงรู้ว่าจะเข้าไปปล้นเงิน ทั้งนี้ จากข้อมูลที่พวกตนได้มาระบุว่าภายในบ้านหลังนี้มีเงินซุกซ่อนอยู่ 165 ล้านบาท วันเกิดเหตุ ตนและพวกรวม 5 คนได้เข้าไปภายในห้องนั่งเล่นภายในบ้านของนายสุพจน์ โดยตนได้หยิบเงินสดซึ่งบรรจุอยู่ในลังกระดาษที่วางอยู่ในตู้เสื้อผ้าจำนวน 3 ลัง ซึ่งตนได้หยิบมาเพียง 1 ลังเท่านั้น ซึ่งภายในลังใบนี้มีเงินสดอยู่ 3 ล้านบาท ส่วนคนอื่นๆ หยิบเงินไปจำนวนเท่าใดนั้นตนไม่ทราบ นอกจากนี้ตนยังเห็นว่ามีกระเป๋าอยู่บนรถเข็นอีก 2 ใบ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีเงินอยู่ในนั้นด้วย

**อดีตเลขาฯ พาลูกชายมอบตัว**

ในวันเดียวกันนั้นเอง นางชุติมา จันทร์ผ่อง มารดา ซึ่งเป็นอดีตเลขานุการส่วนตัวของนายสุพจน์ และเพิ่งเออร์ลีรีไทร์ออกไปได้เพียง 6 เดือน พานายชยธัช หรือ เอก จันนะชัย อายุ 34 ปี บุตรชาย หนึ่งในผู้ต้องหา เข้ามอบตัวกับพล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

ประเด็นที่น่าสงสัย อยู่ต้องที่นายเอก ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นบุตรของอดีตเลขานุการส่วนตัวของนายสุพจน์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปล้นครั้งนี้ด้วย โดยมีรายงานระบุว่า นางชุติมา เพิ่งออกจากงานได้เพียง 6 เดือน ส่วนสาเหตุที่ออก เพราะถูกกลั่นแกล้ง โดยให้คนอื่นมาทำงานแทน ทำให้เกิดความอึดอัดใจ จนไปปรับทุกข์กับลูก ก่อนที่จะยื่นหนังสือลาออกจากงาน จึงอาจเป็นชนวนเหตุให้นายชยธัช เกิดความเจ็บแค้นและวางแผนการก่อเหตุดังกล่าวขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งล่าสุด ตำรวจได้กันตัวนางชุติมาไว้เป็นพยานด้วย

**"นายให้มาเอาของที่นายเอ็งเอามา"**

ทั้งนี้ในการแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย 2 คนแรกคือนายสิงห์ทอง หรือ ไก่ ใจชมชื่น และนายเสาร์แก้ว หรือ แก้ว นามวงศ์ได้นั้น ตำรวจนำภาพถ่ายระหว่างที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) เข้าไปเก็บลายนิ้วมือแฝง โดยเป็นภาพตำรวจพบ.หญิง ยืนพูดคุยกับแม่บ้านเจ้าทรัพย์ ซึ่งใต้ภาพบรรยายว่า "คนร้ายบังคับให้แม่บ้านทั้ง 2 คน นำขึ้นชั้นสองไปยังห้องของปลัดฯบอกว่า "นายให้มาเอาของที่นายเอ็งเอามา" แต่คำพูดที่ระบุว่า "นายให้มาเอาของที่นายเอ็งเอามา" จะเกี่ยวข้องกับนางชุติมาหรือไม่นั้น ตำรวจไม่ได้แถลงอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า"นาย"ของกลุ่มคนร้ายเป็นใคร

แต่ภายหลังพล.ต.ต.รณศิลป์ ให้สัมภาษณ์ว่า นายชยธัช หรือเอก ให้การยอมรับว่า เป็นคนบอกข้อมูลเกี่ยวกับบ้านของนายสุพจน์จริง แต่ไม่ได้เป็นคนสั่งการให้เข้าไปปล้น เพียงได้ยินแม่ตนเองที่เป็นอดีตเลขาฯ หน้าห้องของนายสุพจน์ เล่าให้ฟังถึงบ้านนายสุพจน์ จึงทำให้ทราบว่า บ้านสุพจน์มีเงินเป็นจำนวนมาก พอแม่ของตนถูกบีบให้พ้นจากตำแหน่งจนต้องออกจากงาน ตนจึงรู้สึกอัดอั้นตันใจกับเรื่องที่เกิดกับแม่ เลยไปพูดกับ นายบุญสืบ หรือ สืบ โจมกัน อายุ 43 ปี ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับบ้านของนายสุพจน์ ว่า มีเงินจำนวนมาก จนทำให้นายบุญสืบ และพรรคพวกวางแผนเข้าปล้นเงินภายในบ้านนายสุพจน์ จนเป็นข่าวใหญ่โต โดยตนไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ส่วนนางชุติมา ตำรวจเชื่อว่า ไม่น่าจะมีเจตนาทำให้เกิดเรื่องการปล้นบ้านของนายสุพจน์ขึ้น เพียงแต่เล่าให้ลูกชายฟังเกี่ยวกับเรื่องบ้านของนายสุพจน์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คนร้ายที่ตำรวจต้องการตัวและอยู่ระหว่างหลบหนี คือนายวีระศักดิ์ หรือ โก้ เชื้อลี ซึ่งเชื่อว่าเป็นหัวหน้าแก๊ง แต่ระหว่างนั้น กลับปรากฏชื่อ นายประพันธ์ หรือ พันธ์ เรียงเครือ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ พยายามติดต่อเข้ามอบตัวกับตำรวจ โดยระบุว่า จะนำเงินสดของกลางอีกจำนวน 9 ล้านบาทมาด้วย ทว่าตำรวจรออยู่ 2 วัน ยังไม่ปรากฏการเข้ามอบตัวของนายประพันธ์ จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 23 พ.ย. นายประพันธ์จึงเดินทางเข้ามอบตัว โดยมีพี่ชายซึ่งเป็นทนายความมาด้วย แต่นายประพันธ์ปฏิเสธถึงการเข้าร่วมปล้นครั้งนี้ พร้อมกับบอกว่า ไม่รู้เรื่องเงิน 9 ล้านบาทแต่อย่างใด และระหว่างการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้ซักถามนายประพันธ์ ซึ่งมีท่าทางตื่นเต้น และพูดจาติดขัด ก่อนจะให้พี่ชายซึ่งเป็นทนายความตอบคำถามแทนตลอด

**ตร.เชื่อโจรปล้นเงินไปกว่า 100 ล้าน**

หลังการจับกุมคนร้ายรวมทั้งการเข้ามอบตัวได้เกือบยกแก๊งแล้ว ตำรวจสามารถยึดเงินสดของกลางได้ทั้งหมด 17 ล้าน 8 แสนบาท แต่ทั้งนี้ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. แสดงความมั่นใจหลายครั้งว่า เงินที่คนร้ายปล้นไปครั้งนี้ ไม่น่าจะน้อยกว่า 100 ล้านบาท โดยพล.ต.ท.วินัย ยืนยันอีกครั้งเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ว่า การที่นายสุพจน์ ได้แจ้งถึงจำนวนเงินที่สูญหายไปเป็นจำนวนเพียง 5 ล้านบาทนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม จำนวนเงินของกลางที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดมาได้ มีจำนวนถึง 17 ล้าน 8 แสนบาท ซึ่งน่าจะเป็นข้อสังเกตต่อจำนวนเงินที่ถูกปล้นไปว่ามีเท่าไรกันแน่ แต่จากการให้การของผู้ต้องหาที่สามารถจับกุมมาได้ บอกว่าจำนวนเงินที่นายวีระศักดิ์ หรือโก้ หัวหน้าแก๊ง ได้นำไปนั้นมีจำนวน 35 ล้านบาท และนายโก้ ได้แบ่งให้นายจ่อย และนายบุญสืบ หรือสืบ อีกคนละ 10 ล้านบาท

"ข่าวลือที่ว่า ท่านปลัดติดการพนันนั้น ไม่เป็นความจริง อย่าไปเชื่อข่าวลือมาก ในขณะนี้การทำงานของตำรวจ ได้มีการตั้งสมมติฐานอยู่แล้ว แต่ผมยังพูดไม่ได้ และผมยืนยันได้ว่าเงินที่ถูกปล้นไปเกิน 100 ล้านบาทแน่นอน"พล.ต.ท.วินัยกล่าวยืนยัน

อย่างไรก็ตาม ในแวดวงสังคมไฮโซ ก็กำลังเมาท์กันมันปากถึงจำนวนเงินที่คนร้ายระบุว่า มีอยู่ในบ้านนายสุพจน์ถึง 1,000 ล้านบาท โดยบรรดาผู้คนในตระกูลเก่าแก่ที่มีอันจะกิน พากันวิเคราะห์ว่า ตระกูล"ทรัพย์ล้อม"ของปลัดกระทรวงคมนาคมนั้น มิได้เป็นตระกูลที่ร่ำรวยมาเก่าแก่ แต่จำนวนเงิน 20-30 ล้านอาจจะมีอยู่ได้ ส่วนเงินจำนวน 1,000 ล้านที่ถูกระบุว่าอยู่ในบ้านของนายสุพจน์นั้น ย่อมไม่ใช่เงินของต้นตระกูลที่มีอยู่เดิมแน่นอน

ประเด็นปัญหาที่ต้องน่าวิเคราะห์และติดตามก็คือ จำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท มีอยู่จริงในบ้านของนายสุพจน์หรือไม่ สายรัดเงินที่ตำรวจตามยึดเงินของกลางมาได้ ยังไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งหากมีการตรวจสอบแล้ว ก็ย่อมจะรู้ที่มาของเงินจำนวนนั้นว่า ใครเป็นผู้ไปเบิก จากแบงก์ไหน บัญชีของใคร เมื่อวันที่เท่าไหร่ ที่สำคัญ จุดประสงค์ของการปล้นปริศนาในครั้งนี้คืออะไร ปล้นเพื่อต้องการเงิน ปล้นเพื่อแก้แค้น หรือปล้นเพื่อต้องการประจานอะไรบางอย่าง ซึ่งเรื่องราวทั้งหมด จะถูกเปิดเผยระหว่างการไต่สวนคดีนี้ในชั้นศาล จากนั้นเราจะได้รู้ว่า ใครคือ"โจร"ที่แท้จริง แต่ที่แน่ๆ คดีปริศนาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ประเทศชาติได้ประโยชน์ การปฏิบัติการครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนหนึ่ง ปฏิบัติการ"ปล้นเพื่อชาติ" ก็อาจอนุมานได้!
นายประพันธ์ หรือ พันธ์ เรียงเครือ
นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น และนายเสาร์แก้ว หรือแก้ว นามวงศ์
กำลังโหลดความคิดเห็น