ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่มีข่าวว่าพวกของทักษิณ มีความพยายามจะใช้โอกาสในวาระเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเดือนธันวาคมนี้ ผ่านทางพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ทำให้ทักษิณได้รับประโยชน์จากการพระราชทานอภัยโทษพ้นโทษจำคุกไปเลย โดยเตรียมเรือนจำชั่วคราวเป็นที่พักระหว่างรอการอภัยโทษ ไม่ต้องไปติดคุกทั่วไปปะปนกับนักโทษในเรือนจำอื่น จะเตรียมไว้จริงหรือไม่ หรูหราหรือสะดวกสบายเพียงใดผมไม่ทราบ อาจเป็นเพียงข่าวลือก็ได้แต่ก็เป็นจริงได้เช่นกัน
ผมจึงขออธิบายความเป็นไปได้ทางกฎหมายให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพและขอเสนอผู้เกี่ยวข้องว่าไหนๆ ถ้าจะทำโดยไม่เกรงใจใครแล้วก็น่าจะเอาให้มันสุดๆ ไปเลย แต่พอเกิดปัญหาอุทกภัย ผมจำต้องพักไว้ก่อนเพราะเรามีรัฐบาลคุณภาพต่ำ ไม่สามารถเชื่อถือได้ต้องช่วยตัวเองเป็นหลัก เลยไม่ได้เขียนเสียที ตอนนี้พอตั้งหลักได้ ก็ขอเริ่มเลยครับ
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมาย ผมก็ขออธิบายสถานะทางกฎหมายของทักษิณก่อนเพื่อความเข้าใจเบื้องต้น
ในสายตาของกฎหมาย ทักษิณเป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว เนื่องจากเป็นคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีศาลเดียว ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาต่อ แต่ทักษิณยังไม่ได้ติดคุกและยังไม่ใช่นักโทษ การที่มีผู้เรียกทักษิณว่านักโทษหนีคุกจึงไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นคำที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจกัน ปัญหาเกิดขึ้นก็เมื่อทักษิณจะเอาประโยชน์โดยการไม่ยอมติดคุก ทั้งๆ ที่กระทำผิดจนมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก คำว่านักโทษในสายตาของกฎหมายจึงมีความสำคัญขึ้นมา
คำว่านักโทษ ในภาษากฎหมายมาจากคำเต็มๆ ว่า นักโทษเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ หมายความว่า บุคคลที่ถูกขังไว้ตามหมายจำคุกภายหลังคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้นคนที่จะเป็นนักโทษเด็ดขาดหรือเรียกสั้นๆ ว่านักโทษ จะต้องเป็น บุคคล และเป็นบุคคล ที่ถูกขังไว้ ตาม หมายจำคุก หลังจาก คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ทักษิณเป็นบุคคลคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ทักษิณยังไม่ได้ถูกขังไว้ในเรือนจำและหมายจำคุกคงยังไม่ได้ออกเพราะไม่มีตัวไปส่งให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการจำคุก
เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกทักษิณแล้ว วิธีที่ทักษิณจะไม่เข้าไปอยู่ในคุกก็คือตายหรือหนี ทักษิณอาจรู้แกวว่าจะถูกตัดสินจำคุก จึงหลบหนีไปก่อน ไม่ไปศาลเพื่อฟังคำพิพากษา เพราะถ้าไปฟังคำพิพากษา พอศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ ผู้คุมก็จะคุมตัวส่งเข้าเรือนจำไปเลย ไม่มีโอกาสไปเดินลอยชายอยู่แถวดูไบหรอก
วิธีอื่นๆ ที่ทักษิณจะไม่ยอมเข้าคุกก็คือใช้เสียงข้างมากของสภาแก้กฎหมายทำให้การกระทำประเภทที่ตนเคยกระทำไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ซึ่งจะมีผลย้อนหลังให้ตนพ้นผิดไปเลยไม่ต้องติดคุกเพราะเป็นการย้อนหลังของกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณ หลักสากลให้กฎหมายมีผลย้อนหลังได้ หรือไม่ก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรมคือกฎหมายยกโทษให้การกระทำประเภทของตนรวมถึงการกระทำอื่นๆ บางประเภทโดยเฉพาะที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้กระทำ เป็นการปิดปากฝ่ายตรงข้ามไปในตัว แต่ดูท่าจะทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะมีคนประกาศต่อต้านแล้ว
อีกสองวิธีที่ดูน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือการทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะตัวและการรอรับการพระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญๆ ที่จะมาถึง โดยอาศัยผู้ชำนาญการกฎหมายวางจังหวะและข้อกำหนดให้ดีๆ วิธีหลังนี้ต้องยอมติดคุกเป็นนักโทษตามรูปแบบ มีหมายจำคุก มีมลทิน แต่ก็ยังหาช่องเอาประโยชน์ให้ติดคุกสั้นที่สุดและสุขสบายที่สุดได้
วิธีการทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะตัวนั้นสามารถใช้ได้ทั้งผู้ที่กำลังติดคุกและยังไม่ได้ติดคุก ถ้าทักษิณเลือกติดคุกแล้วยื่นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ ก็ยื่นผ่านกรมราชทัณฑ์ได้ ในเรือนจำจะมีมือดีๆ แนะนำวิธีการรวมถึงการรับบริการร่างหนังสือทูลเกล้าฯ ให้ด้วย เท่าที่เคยอ่านหนังสือทูลเกล้าฯ ที่ยื่นผ่านกรมราชทัณฑ์ ที่ปรึกษาเหล่านี้สามารถร่างหนังสือทูลเกล้าฯ โดยใช้ถ้อยคำได้ไพเราะสละสลวยมีเหตุผลข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสนับสนุนเป็นอย่างดี น่าจะดีกว่าทนายความภายนอกเรือนจำด้วยซ้ำ
แต่ผู้เกี่ยวข้องของทักษิณเลือกใช้วิธียื่นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษโดยไม่ยอมติดคุกให้ได้ชื่อว่าเป็นคนขี้คุก โดยยื่นผ่านกระทรวงยุติธรรม ซึ่งทำได้ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะกฎหมายเขียนว่า ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้
ข้อสังเกตคือ กฎหมายเขียนว่าผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ไม่บอกว่าต้องกี่คน เพราะฉะนั้นคนเดียวก็ยื่นได้ จะเป็นทักษิณหรือลูกเมียก็ได้ แต่เมื่อยื่นจริง ตามข่าวบอกว่าใช้รายชื่อตั้งสองล้านรายชื่อโดยไม่มีญาติของทักษิณเลย กระทรวงยุติธรรมก็เล่นตามเกมใช้เวลาตรวจสอบรายชื่อจนบัดนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จ ผมจึงไม่เข้าใจว่าผู้ยื่นทูลเกล้าฯ มีเจตนาที่แท้จริงเช่นไร อย่างไรก็ตาม เมื่อยังไม่ถอนเรื่องทูลเกล้าฯ นี้ ขบวนการตามขั้นตอนก็เดินต่อไป
เนื่องจากในปีนี้เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนม์ 84 พรรษา ตามปกติก็จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษทั่วประเทศ เป็นที่รู้กันหรือคาดกันได้ โดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ตามกฎหมายที่ว่า ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นเป็นการสนควร จะถวายคำแนะต่อพระมหากษัตริย์ ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษก็ได้ การพระราชทานอภัยโทษตามวิธีนี้กฎหมายให้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีสามารถออกมาใช้ได้ เพราะฉะนั้นจึงร่างได้ตามใจปรารถนา พูดง่ายๆ ก็คือสามารถออกแบบตัดเสื้อให้เหมาะกับคนใส่คนใดคนหนึ่งที่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้ต้องทูลเกล้าฯ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธยก่อนจึงจะประกาศใช้ได้
การพระราชทานอภัยโทษนั้นจะพระราชทานอภัยโทษเพียงลดโทษหรืออภัยโทษปล่อยตัวไปเลยก็ได้ ในอดีต ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ติดคุกครั้งแรก เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีไม่ใช่คดียาเสพติดหรือคดีความมั่นคง โรคที่รักษาไม่หายและจะไม่มีชีวิตอยู่ยืนยาว จะได้รับการปล่อยตัวไปเลย แต่เนื่องจากปีนี้เป็นปีครบ 7 รอบของพระเจ้าอยู่หัว ถ้า ครม.จะอ้างโอกาสพิเศษ ขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษครั้งแรก โทษไม่เกิน 2 ปี ให้ปล่อยตัวไปเลยก็ย่อม
ได้
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ถ้อยคำกรณีขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะตัว กฎหมายใช้คำว่า ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ แปลว่าแค่เพียงถูกคำพิพากษาถึงที่สุดเท่านั้นก็มีสิทธิทูลเกล้าฯ แล้ว แต่ถ้าจะอาศัยประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ จะต้องเป็น ผู้ต้องโทษ คือกำลังรับโทษอยู่ ที่ผ่านๆ มาก็ตีความอย่างนี้ทั้งนั้น คงไม่มีคนพยายามตีความว่า ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษ กับ ผู้ต้องโทษ มีสภาพเหมือนกันนะครับ แต่จริงๆ แล้วตรงนี้ไม่น่ามีปัญหาเพราะพระราชกฤษฎีกาจะใช้คำว่านักโทษเด็ดขาดไปเลย คือต้องติดคุกอยู่ (หรืออยู่ระหว่างพักการลงโทษ) จึงจะได้รับประโยชน์จากการพระราชทานอภัยโทษวิธีนี้
ดังนั้นถ้าทักษิณจะรับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ก็จะต้องออกแบบเนื้อหาพระราชกฤษฎีกาให้ดีๆ และก็จะต้องเอาตัว (หรือชื่อ) ทักษิณมาติดคุกชั่วคราวระยะสั้นที่สุด และถ้าจะอำนวยความสะดวกก็ต้องอยู่ในเรือนจำที่พิเศษหน่อย จึงมีข่าวว่ามีการเตรียมเรือนจำชั่วคราวในโรงเรียนตำรวจนครบาลไว้ แต่จะหรูแค่ไหนไม่ทราบเพราะข่าวบอกว่าไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปดู
อาจมีผู้สงสัยว่าเรือนจำในโรงเรียนตำรวจนครบาลเป็นเรือนจำตามกฎหมายราชทัณฑ์ใช่หรือไม่ ใช้เพื่อประโยชน์ในการนี้ได้หรือไม่ ใช้ได้ครับเพราะเรือนจำนี้เป็นเรือนจำชั่วคราวตามกฎหมายราชทัณฑ์ มีกฎหมายรับรอง เรือนจำชั่วคราวปกติจะประกาศตั้งเพื่อการเฉพาะกิจ เมื่อหมดความจำเป็นก็ยกเลิกไป แต่เรือนจำนี้ตั้งมานานมากแล้วหลายสิบปียกเลิกไปแล้วหรือยังไม่ทราบ ถ้ายกเลิกแล้วก็ประกาศตั้งใหม่ได้ ไม่ยากอะไร
ผมก็เลยมีความเห็นว่าไหนๆ ก็จะอำนวยความสะดวกให้ทักษิณแล้วจะมัวกระมิดกระเมี้ยนอยู่ทำไม หาเรือนจำที่มันหรูและสะดวกกว่าเรือนจำชั่วคราวในโรงเรียนตำรวจนครบาลดีกว่า ผมเสนอว่าตอนนี้นักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว โรงแรมหรูๆ ระดับโลกมีอยู่หลายแห่งในกรุงเทพฯ ถ้าจะให้ทักษิณมาติดคุกด้วยตัวเองจริงๆ ก็ประกาศให้โรงแรมดังๆ สักแห่งที่ไม่รังเกียจเป็นเรือนจำชั่วคราว จะเอาห้องเดียว ทั้งฟลอร์หรือจะเอาทั้งโรงแรมเป็นเรือนจำก็ได้ ถ้าเอาทั้งโรงแรมก็ให้แขกอื่นออกไปก่อน ไม่กี่วันหรอกครับ อาจจะแค่วันเดียว โรงแรมก็ไม่ต้องดัดแปลงอะไรเลย เพราะกฎหมายเขียนไว้ว่า เรือนจำ หมายความว่า ที่ซึ่งใช้ควบคุมกักขังผู้ต้องขัง กับทั้งสิ่งที่ใช้ต่อเนื่องกัน และให้หมายความรวมตลอดถึงที่อื่นใดที่รัฐมนตรีได้กำหนดและประกาศในราชกิจจานุเบกษาวางอาณาเขตไว้โดยชัดเจน
เรือนจำชั่วคราวที่ประกาศตั้งขึ้นมาก็อาศัยมาตรานี้ทั้งนั้นครับ ถ้าตั้งในกรุงเทพฯ ก็ให้สังกัดเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีฐานะเป็นผู้บัญชาการเรือนจำนี้ ผู้คุมก็ใช้ผู้คุมของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ถ้าเกรงว่าจะไม่สะดวกพอก็ให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ใช้อำนาจตามกฎกระทรวงฯ ตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้คุมพิเศษคอยดูแลก็ได้เพราะเป็นตำรวจและอดีตตำรวจด้วยกัน น่าจะเข้าใจกันได้ดี
คราวนี้ประเทศไทยก็จะมีชื่อเสียงว่ามีเรือนจำที่หรู เยี่ยมที่สุดในโลก สะดวกสบายที่สุดในโลก ให้เกียรติและเคารพสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในโลก ใช้จำคุกนักโทษที่รวยที่สุดเทียบกับนักโทษทั้งโลก
ผมตั้งใจจบบทความของผมบรรทัดที่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ส่งมาตีพิมพ์ ก็ได้ข่าวว่า ครม.มีการประชุมลับเพื่อออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ โดยมีข่าวว่าออกแบบถึงขนาดที่จะไม่ให้ทักษิณต้องติดคุกเป็นนักโทษแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นการแหกหลักเกณฑ์และประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดมานานในการพระราชทานอภัยโทษและจะต้องแก้หลักการสำคัญในพระราชกฤษฎีกาซึ่งจะขัดกับหลักในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในประเด็นที่ว่าด้วยการอภัยโทษแก่ ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษ กับการอภัยโทษให้แก่ ผู้ต้องโทษ แต่ถ้ารัฐบาลนี้ไม่มีความละอายใดๆ และจะกระทำให้ได้ เพื่อประโยชน์ของคนคนเดียวหรือกลุ่มเดียว บางทีมันอาจจะเป็นการเริ่มต้นกลียุคของแผ่นดินโดยมีมหาอุทกภัยนำหน้ามาก่อนก็ได้
ผมจึงขออธิบายความเป็นไปได้ทางกฎหมายให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพและขอเสนอผู้เกี่ยวข้องว่าไหนๆ ถ้าจะทำโดยไม่เกรงใจใครแล้วก็น่าจะเอาให้มันสุดๆ ไปเลย แต่พอเกิดปัญหาอุทกภัย ผมจำต้องพักไว้ก่อนเพราะเรามีรัฐบาลคุณภาพต่ำ ไม่สามารถเชื่อถือได้ต้องช่วยตัวเองเป็นหลัก เลยไม่ได้เขียนเสียที ตอนนี้พอตั้งหลักได้ ก็ขอเริ่มเลยครับ
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมาย ผมก็ขออธิบายสถานะทางกฎหมายของทักษิณก่อนเพื่อความเข้าใจเบื้องต้น
ในสายตาของกฎหมาย ทักษิณเป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว เนื่องจากเป็นคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีศาลเดียว ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาต่อ แต่ทักษิณยังไม่ได้ติดคุกและยังไม่ใช่นักโทษ การที่มีผู้เรียกทักษิณว่านักโทษหนีคุกจึงไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นคำที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจกัน ปัญหาเกิดขึ้นก็เมื่อทักษิณจะเอาประโยชน์โดยการไม่ยอมติดคุก ทั้งๆ ที่กระทำผิดจนมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก คำว่านักโทษในสายตาของกฎหมายจึงมีความสำคัญขึ้นมา
คำว่านักโทษ ในภาษากฎหมายมาจากคำเต็มๆ ว่า นักโทษเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ หมายความว่า บุคคลที่ถูกขังไว้ตามหมายจำคุกภายหลังคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้นคนที่จะเป็นนักโทษเด็ดขาดหรือเรียกสั้นๆ ว่านักโทษ จะต้องเป็น บุคคล และเป็นบุคคล ที่ถูกขังไว้ ตาม หมายจำคุก หลังจาก คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ทักษิณเป็นบุคคลคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ทักษิณยังไม่ได้ถูกขังไว้ในเรือนจำและหมายจำคุกคงยังไม่ได้ออกเพราะไม่มีตัวไปส่งให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการจำคุก
เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกทักษิณแล้ว วิธีที่ทักษิณจะไม่เข้าไปอยู่ในคุกก็คือตายหรือหนี ทักษิณอาจรู้แกวว่าจะถูกตัดสินจำคุก จึงหลบหนีไปก่อน ไม่ไปศาลเพื่อฟังคำพิพากษา เพราะถ้าไปฟังคำพิพากษา พอศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ ผู้คุมก็จะคุมตัวส่งเข้าเรือนจำไปเลย ไม่มีโอกาสไปเดินลอยชายอยู่แถวดูไบหรอก
วิธีอื่นๆ ที่ทักษิณจะไม่ยอมเข้าคุกก็คือใช้เสียงข้างมากของสภาแก้กฎหมายทำให้การกระทำประเภทที่ตนเคยกระทำไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ซึ่งจะมีผลย้อนหลังให้ตนพ้นผิดไปเลยไม่ต้องติดคุกเพราะเป็นการย้อนหลังของกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณ หลักสากลให้กฎหมายมีผลย้อนหลังได้ หรือไม่ก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรมคือกฎหมายยกโทษให้การกระทำประเภทของตนรวมถึงการกระทำอื่นๆ บางประเภทโดยเฉพาะที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้กระทำ เป็นการปิดปากฝ่ายตรงข้ามไปในตัว แต่ดูท่าจะทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะมีคนประกาศต่อต้านแล้ว
อีกสองวิธีที่ดูน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือการทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะตัวและการรอรับการพระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญๆ ที่จะมาถึง โดยอาศัยผู้ชำนาญการกฎหมายวางจังหวะและข้อกำหนดให้ดีๆ วิธีหลังนี้ต้องยอมติดคุกเป็นนักโทษตามรูปแบบ มีหมายจำคุก มีมลทิน แต่ก็ยังหาช่องเอาประโยชน์ให้ติดคุกสั้นที่สุดและสุขสบายที่สุดได้
วิธีการทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะตัวนั้นสามารถใช้ได้ทั้งผู้ที่กำลังติดคุกและยังไม่ได้ติดคุก ถ้าทักษิณเลือกติดคุกแล้วยื่นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษ ก็ยื่นผ่านกรมราชทัณฑ์ได้ ในเรือนจำจะมีมือดีๆ แนะนำวิธีการรวมถึงการรับบริการร่างหนังสือทูลเกล้าฯ ให้ด้วย เท่าที่เคยอ่านหนังสือทูลเกล้าฯ ที่ยื่นผ่านกรมราชทัณฑ์ ที่ปรึกษาเหล่านี้สามารถร่างหนังสือทูลเกล้าฯ โดยใช้ถ้อยคำได้ไพเราะสละสลวยมีเหตุผลข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสนับสนุนเป็นอย่างดี น่าจะดีกว่าทนายความภายนอกเรือนจำด้วยซ้ำ
แต่ผู้เกี่ยวข้องของทักษิณเลือกใช้วิธียื่นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานอภัยโทษโดยไม่ยอมติดคุกให้ได้ชื่อว่าเป็นคนขี้คุก โดยยื่นผ่านกระทรวงยุติธรรม ซึ่งทำได้ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะกฎหมายเขียนว่า ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษ จะยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ได้
ข้อสังเกตคือ กฎหมายเขียนว่าผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ไม่บอกว่าต้องกี่คน เพราะฉะนั้นคนเดียวก็ยื่นได้ จะเป็นทักษิณหรือลูกเมียก็ได้ แต่เมื่อยื่นจริง ตามข่าวบอกว่าใช้รายชื่อตั้งสองล้านรายชื่อโดยไม่มีญาติของทักษิณเลย กระทรวงยุติธรรมก็เล่นตามเกมใช้เวลาตรวจสอบรายชื่อจนบัดนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จ ผมจึงไม่เข้าใจว่าผู้ยื่นทูลเกล้าฯ มีเจตนาที่แท้จริงเช่นไร อย่างไรก็ตาม เมื่อยังไม่ถอนเรื่องทูลเกล้าฯ นี้ ขบวนการตามขั้นตอนก็เดินต่อไป
เนื่องจากในปีนี้เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนม์ 84 พรรษา ตามปกติก็จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษทั่วประเทศ เป็นที่รู้กันหรือคาดกันได้ โดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ตามกฎหมายที่ว่า ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นเป็นการสนควร จะถวายคำแนะต่อพระมหากษัตริย์ ขอให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษก็ได้ การพระราชทานอภัยโทษตามวิธีนี้กฎหมายให้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีสามารถออกมาใช้ได้ เพราะฉะนั้นจึงร่างได้ตามใจปรารถนา พูดง่ายๆ ก็คือสามารถออกแบบตัดเสื้อให้เหมาะกับคนใส่คนใดคนหนึ่งที่ต้องการ แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายนี้ต้องทูลเกล้าฯ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธยก่อนจึงจะประกาศใช้ได้
การพระราชทานอภัยโทษนั้นจะพระราชทานอภัยโทษเพียงลดโทษหรืออภัยโทษปล่อยตัวไปเลยก็ได้ ในอดีต ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ติดคุกครั้งแรก เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีไม่ใช่คดียาเสพติดหรือคดีความมั่นคง โรคที่รักษาไม่หายและจะไม่มีชีวิตอยู่ยืนยาว จะได้รับการปล่อยตัวไปเลย แต่เนื่องจากปีนี้เป็นปีครบ 7 รอบของพระเจ้าอยู่หัว ถ้า ครม.จะอ้างโอกาสพิเศษ ขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษครั้งแรก โทษไม่เกิน 2 ปี ให้ปล่อยตัวไปเลยก็ย่อม
ได้
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ถ้อยคำกรณีขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะตัว กฎหมายใช้คำว่า ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษอย่างใดๆ แปลว่าแค่เพียงถูกคำพิพากษาถึงที่สุดเท่านั้นก็มีสิทธิทูลเกล้าฯ แล้ว แต่ถ้าจะอาศัยประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ จะต้องเป็น ผู้ต้องโทษ คือกำลังรับโทษอยู่ ที่ผ่านๆ มาก็ตีความอย่างนี้ทั้งนั้น คงไม่มีคนพยายามตีความว่า ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษ กับ ผู้ต้องโทษ มีสภาพเหมือนกันนะครับ แต่จริงๆ แล้วตรงนี้ไม่น่ามีปัญหาเพราะพระราชกฤษฎีกาจะใช้คำว่านักโทษเด็ดขาดไปเลย คือต้องติดคุกอยู่ (หรืออยู่ระหว่างพักการลงโทษ) จึงจะได้รับประโยชน์จากการพระราชทานอภัยโทษวิธีนี้
ดังนั้นถ้าทักษิณจะรับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ก็จะต้องออกแบบเนื้อหาพระราชกฤษฎีกาให้ดีๆ และก็จะต้องเอาตัว (หรือชื่อ) ทักษิณมาติดคุกชั่วคราวระยะสั้นที่สุด และถ้าจะอำนวยความสะดวกก็ต้องอยู่ในเรือนจำที่พิเศษหน่อย จึงมีข่าวว่ามีการเตรียมเรือนจำชั่วคราวในโรงเรียนตำรวจนครบาลไว้ แต่จะหรูแค่ไหนไม่ทราบเพราะข่าวบอกว่าไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปดู
อาจมีผู้สงสัยว่าเรือนจำในโรงเรียนตำรวจนครบาลเป็นเรือนจำตามกฎหมายราชทัณฑ์ใช่หรือไม่ ใช้เพื่อประโยชน์ในการนี้ได้หรือไม่ ใช้ได้ครับเพราะเรือนจำนี้เป็นเรือนจำชั่วคราวตามกฎหมายราชทัณฑ์ มีกฎหมายรับรอง เรือนจำชั่วคราวปกติจะประกาศตั้งเพื่อการเฉพาะกิจ เมื่อหมดความจำเป็นก็ยกเลิกไป แต่เรือนจำนี้ตั้งมานานมากแล้วหลายสิบปียกเลิกไปแล้วหรือยังไม่ทราบ ถ้ายกเลิกแล้วก็ประกาศตั้งใหม่ได้ ไม่ยากอะไร
ผมก็เลยมีความเห็นว่าไหนๆ ก็จะอำนวยความสะดวกให้ทักษิณแล้วจะมัวกระมิดกระเมี้ยนอยู่ทำไม หาเรือนจำที่มันหรูและสะดวกกว่าเรือนจำชั่วคราวในโรงเรียนตำรวจนครบาลดีกว่า ผมเสนอว่าตอนนี้นักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว โรงแรมหรูๆ ระดับโลกมีอยู่หลายแห่งในกรุงเทพฯ ถ้าจะให้ทักษิณมาติดคุกด้วยตัวเองจริงๆ ก็ประกาศให้โรงแรมดังๆ สักแห่งที่ไม่รังเกียจเป็นเรือนจำชั่วคราว จะเอาห้องเดียว ทั้งฟลอร์หรือจะเอาทั้งโรงแรมเป็นเรือนจำก็ได้ ถ้าเอาทั้งโรงแรมก็ให้แขกอื่นออกไปก่อน ไม่กี่วันหรอกครับ อาจจะแค่วันเดียว โรงแรมก็ไม่ต้องดัดแปลงอะไรเลย เพราะกฎหมายเขียนไว้ว่า เรือนจำ หมายความว่า ที่ซึ่งใช้ควบคุมกักขังผู้ต้องขัง กับทั้งสิ่งที่ใช้ต่อเนื่องกัน และให้หมายความรวมตลอดถึงที่อื่นใดที่รัฐมนตรีได้กำหนดและประกาศในราชกิจจานุเบกษาวางอาณาเขตไว้โดยชัดเจน
เรือนจำชั่วคราวที่ประกาศตั้งขึ้นมาก็อาศัยมาตรานี้ทั้งนั้นครับ ถ้าตั้งในกรุงเทพฯ ก็ให้สังกัดเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีฐานะเป็นผู้บัญชาการเรือนจำนี้ ผู้คุมก็ใช้ผู้คุมของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ถ้าเกรงว่าจะไม่สะดวกพอก็ให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ใช้อำนาจตามกฎกระทรวงฯ ตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้คุมพิเศษคอยดูแลก็ได้เพราะเป็นตำรวจและอดีตตำรวจด้วยกัน น่าจะเข้าใจกันได้ดี
คราวนี้ประเทศไทยก็จะมีชื่อเสียงว่ามีเรือนจำที่หรู เยี่ยมที่สุดในโลก สะดวกสบายที่สุดในโลก ให้เกียรติและเคารพสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในโลก ใช้จำคุกนักโทษที่รวยที่สุดเทียบกับนักโทษทั้งโลก
ผมตั้งใจจบบทความของผมบรรทัดที่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ส่งมาตีพิมพ์ ก็ได้ข่าวว่า ครม.มีการประชุมลับเพื่อออกพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ โดยมีข่าวว่าออกแบบถึงขนาดที่จะไม่ให้ทักษิณต้องติดคุกเป็นนักโทษแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นการแหกหลักเกณฑ์และประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดมานานในการพระราชทานอภัยโทษและจะต้องแก้หลักการสำคัญในพระราชกฤษฎีกาซึ่งจะขัดกับหลักในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในประเด็นที่ว่าด้วยการอภัยโทษแก่ ผู้ต้องคำพิพากษาให้รับโทษ กับการอภัยโทษให้แก่ ผู้ต้องโทษ แต่ถ้ารัฐบาลนี้ไม่มีความละอายใดๆ และจะกระทำให้ได้ เพื่อประโยชน์ของคนคนเดียวหรือกลุ่มเดียว บางทีมันอาจจะเป็นการเริ่มต้นกลียุคของแผ่นดินโดยมีมหาอุทกภัยนำหน้ามาก่อนก็ได้