ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จากกรณีคณะรัฐมนตรีที่มี “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เปิดประชุมลับ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) พระราชทานอภัยโทษเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษหนีคำพิพากษาจำคุกจากศาลฎีกา ในขณะที่ประชาชนกำลังประสบภัยพิบัติน้ำท่วมหนัก ต้อง “ทนทุกข์” อย่างแสนสาหัสอยู่ในเวลานี้นั้น ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวาง
ทั้งในประเด็นที่ ครม.มีมติตัดหลักเกณฑ์ในมาตรา 4 ซึ่งระบุถึงการที่ผู้ขอรับพระราชทานอภัยโทษต้องอยู่ในการควบคุมตัวของราชการ การตัดบัญชีลักษณะความผิดแนบท้ายในส่วนความผิดที่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นและยาเสพติดออก รวมกระทั่งถึงประเด็นสำคัญในเรื่องการก้าวล่วงพระราชอำนาจ เนื่องเพราะการออกกฎหมายอภัยโทษนั้นถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยตรงภายใต้การถวายคำแนะนำของครม. แต่ผู้คนทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำของระบอบทักษิณกลับมิสนใจไยดี แถมยังมีความชัดเจนที่จะให้ลงพระปรมาภิไธยพระราชทานอภัยโทษให้ นช.ทักษิณ ด้วยการใช้มวลชนกดดันอีกต่างหาก
แน่นอน ทันทีที่ปรากฏข่าวออกมา สายตาของสังคมย่อมจับตาไปที่ท่าทีของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหวต่อต้านความสามานย์แห่งระบอบทักษิณมาอย่างต่อเนื่องว่าเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างไร
และแน่นอนอีกเช่นกันว่า ท่าทีของบุคคลที่สำคัญยิ่งย่อมหนีไม่พ้น ท่าทีจาก “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ทั้งนี้ นายสนธิซึ่งอยู่ระหว่างการปราศรัยและพบกับพี่น้องพันธมิตรฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ผ่านรายการ “News Hour” ทางเอเอสทีวี โดยประกาศท่าทีต่อกรณีที่เกิดขึ้นเอาไว้อย่างชัดเจน
“การออกพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว สะท้อนถึงความเลวทรามต่ำช้าของนักการเมืองที่เล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เพราะเป็นการประชุมลับ ท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาน้ำท่วม เป็นการพิสูจน์ว่า นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยทุกคนเข้ามาเล่นการเมืองให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น ไม่ได้เล่นการเมืองให้ชาติบ้านเมือง จึงถือว่าเป็นการกระทำที่บัดซบเลวทรามต่ำช้ามาก”
ทั้งนี้ นายสนธิให้ความเห็นว่า การร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ เป็นการบังอาจใช้ช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมพรรษา 84 ปี มาสวมรอยในการทำลายหลักนิติรัฐ และเป็นการทำร้ายพระองค์ท่าน เพราะพระองค์ท่านทรงเน้นเรื่องนิติรัฐ ขณะเดียวกันการออก พ.ร.ฎ.นี้ พรรคประชาธิปัตย์ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะเขาเอาพื้นฐานการตั้งเรื่องสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มาทำต่อ ขอให้คอยดูว่า ร.ต.อ.เฉลิม จะต้องออกมาพูดว่า เขาไม่ได้ทำเอง แต่เป็นการทำต่อจากพรรคประชาธิปัตย์
นอกจากนั้น นายสนธิยังให้ความเห็นด้วยว่า ในโอกาสที่ปีนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมพรรษา 84 ปี ถ้าจะมีการขอพระราชทานอภัยโทษก็เป็นเรื่องธรรมดา และถ้าทำไปโดยไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวตั้ง ก็ทำไปตามปกติ แต่ถ้าเป็นการทำไปโดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวตั้ง ก็มีการเตรียมการโดยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์ รวมถึงการโยกย้ายแต่งตั้งคนของตัวเองไว้รอรับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา ด้วยการเอา “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย” มาเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผื่อว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้วจำเป็นต้องเข้าห้องขังระยะสั้น 1-2 วัน ก็จะได้รับการดูแลปกป้องอย่างดี
“ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ จริงใจ ร.ต.อ.เฉลิม จริงใจ หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความจริงใจ ควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม โดยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาติดคุกก่อน แล้วค่อยขอพระราชทานอภัยโทษ แต่วันนี้ ถึงเขาจะยอมติดคุกก่อน แต่ก็จะเข้ามาโดยที่รัฐบาลขอพระราชทานอภัยโทษให้ และมีการแก้เงื่อนไขให้นักโทษอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมันไม่สง่างาม” นายสนธิ กล่าว
ทั้งนี้ นายสนธิชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นพิสูจน์อีกครั้งว่า “พรรคเพื่อไทย” เข้ามาบริหารประเทศไม่ได้บริหารเพื่อชาติบ้านเมือง แต่เข้ามาเพื่อเอา “พ.ต.ท.ทักษิณ” กลับบ้าน ซึ่งนั่นจะนำไปสู่การแตกหัก
“หาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา จะนั่งเครื่องบินมาลงที่เชียงใหม่ เพื่อให้มีคนมาห้อมล้อม โดยที่มีการตั้ง พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ไว้รอรับอยู่แล้ว ขณะที่กรมราชทัณฑ์อาจเตรียมที่อยู่ไว้ให้อย่างดี หากจำเป็นต้องเข้าคุก หรืออาจจะมีการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาให้ไม่ต้องเข้าคุกก่อนก็ได้ ซึ่งจะถือว่าเป็นการตบหน้าประชาชนอย่างแรง และเป็นการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
“สำหรับผมแล้วถือว่าการกระทำครั้งนี้ ร้ายกาจถึงขั้นหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จริงอยู่ เป็นพระราชอำนาจของพระองค์ท่านในการพระราชทานอภัยโทษ แต่ว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการจงใจบีบคั้นพระองค์ท่าน เพราะพระองค์ท่านจะไม่เซ็นก็ไม่ได้ คนพวกนี้ก็จะหาว่าเป็นการกลั่นแกล้ง” นายสนธิ ให้ความเห็น
นอกจากนี้ นายสนธิยังกล่าวด้วยว่า การใช้โอกาส 84 พรรษา ที่พระองค์ท่านทรงมีพระเมตตาพระราชทานอภัยโทษให้นักโทษทั่วประเทศโดยเสียบชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ” เข้าไป เป็นการสะท้อนการเมืองที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด และเป็นการกระทำที่กระทบจิตใจของประชาชน แทนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะอยู่ต่างประเทศ รอให้คดีหมดอายุความก่อนค่อยกลับมา แต่ “ร.ต.อ.เฉลิม” คงคิดว่าหาก “น.ส.ยิ่งลักษณ์” เป็นนายกฯ ต่อไปไม่ไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อาจตั้งให้ตัวเองเป็น “นายกฯ” จึงรีบดำเนินการก่อน
“เรื่องนี้อยู่ในเงื่อนไขที่พันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหว เมื่อมีการพระราชทานอภัยโทษออกมา และเนื้อหาในพระราชกฤษฎีกามีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องติดคุก เราจะเคลื่อนไหวแน่นอน ถ้ามีการอภัยโทษเฉยๆ เราไม่ขวาง ถ้ารัฐบาลจะหัวหมอ อ้างว่า เงื่อนไขการพระราชทานอภัยโทษให้ผู้ต้องขังอายุ 60 ปีขึ้นไปนั้น พรรคประชาธิปัตย์เสนอไว้ก่อน เราจะยอมกัดฟันกลืนเลือด และพร้อมที่จะด่าพรรคประชาธิปัตย์ว่าเสนอเรื่องไว้ให้พรรคเพื่อไทยสวมตอ ซึ่งร่างนี้เกิดขึ้นสมัยที่ประชาธิปัตย์กำลังจะปรองดองกับเสื้อแดงตอนชุมนุมที่ราชประสงค์ แต่ถ้ามีเนื้อหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ต้องติดคุกแม้แต่นิดเดียว อันนี้มีเรื่อง โดยส่วนตัวจะออกมาเคลื่อนไหวแน่นอน แต่แกนนำพันธมิตรฯ ทั้งหมดจะมีการคุยกันอีกครั้ง”
อย่างไรก็ตาม นายสนธิให้ความเห็นว่า ทุกวันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อาจจะตะแบงได้ แต่ในเนื้อหาสาระ ข้อเท็จจริง การทำเพื่อคนคนเดียว ถ้าทำเช่นนี้ ขึ้นอยู่กับ พ.ร.ฎ. ร่างออกมาแล้วมีเนื้อหาที่จงใจช่วย พ.ต.ท.ทักษิณโดยเฉพาะ แตกต่างจากร่างทั่วไปแล้ว ต้องถือว่าได้ละเมิดเงื่อนไขที่พันธมิตรฯ ตั้งเอาไว้ ดังนั้น เรื่องนี้พันธมิตรฯ ไม่นิ่งเฉยแน่นอน โดยทางแกนนำพันธมิตรฯ กำลังจะพิจารณาเนื้อหาสาระของ พ.ร.ฎ. นิรโทษกรรมอย่างรอบคอบ และจะประชุมกันเพื่อกำหนดท่าทีโดยเร็วที่สุด
“เราจะไม่อยู่เฉย เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ และถือเป็นการกดดันสถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเราก็พูดมานานแล้วว่า ถ้าไม่ละเมิดสถาบัน หรือช่วยทักษิณ เราก็จะอยู่เฉยๆ แต่การทำอย่างนี้ถือเป็นการท้าทายประชาชน รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ที่รักความเป็นธรรม และรักพระเจ้าอยู่หัวทั้งประเทศ ผมเตือนว่าพรรคเพื่อไทยต้องยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายหลัง พวกเราจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่นอน” นายสนธิกล่าวทิ้งท้าย