xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อภัยโทษ “ทักษิณ” แดงประกาศสงคราม ท้าทายพระปรมาภิไธย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ขณะที่หลายคนกำลังซาบซึ้งและดูดดื่มกับถ้อยคำอันถูกอกถูกใจของ “เกจินู้ด-นิวัติ กองเพียร” ที่กล่าวถึงผู้บริหารประเทศไทยที่มาจากกรรมการ ผู้จัดการบริษัททางธุรกิจ ที่ไม่มีประสบการณ์ในชีวิตนอกเหนือจากงานที่ทำอยู่เลย ซึ่งแม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อให้เห็นกันชัดๆ ว่าเป็นใคร แต่เชื่อว่าทุกคนคงเดาถูกได้ว่า หมายถึงใคร

โดยเฉพาะท่อนฮุกที่แสบซี้ดเข้าไปถึงปลายลำไส้ใหญ่อย่าง....

“การพูดต่อหน้าสาธารณะบอกให้ผมรู้ว่าเธอไม่อ่านหนังสือ ท่าทางการแสดงออกบอกให้รู้ว่าเธอไม่ดูหนัง เสียงของเธอไม่น่าฟังแสดงว่าเธอไม่ฟังเพลง คนคนหนึ่งคนใดจะเข้ามาบริหารประเทศด้วยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะเป็นคนไหนก็ได้ เริ่มต้นตั้งแต่การต้องรู้จักตัวเองว่า จะทำงานนี้ได้ไหม และงานต้องทำอะไร การบริหารประเทศไม่ใช่การฝึกงานหรือมาทำแทนใครได้”

หรือหมัดตามที่ยิงตรงเข้าที่ปลายคางอย่างจั๊งหนับว่า.....

“มันเป็นความผิดมหันต์นะครับที่มารับหน้าที่ที่ตัวเองไม่สามารถทำได้ มันจะเป็นอนุสาวรีย์ขายความอายต่อชาติตระกูลที่แทบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว มันทำร้ายประชาชนทั้งประเทศให้เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส เธอไม่มีสิทธิที่จะพูดว่าประชาชนเลือกเธอมา และไม่น่าจะมีสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรีได้ถ้าเธอรู้จักตัวเอง”

              แต่ไม่ว่าใครจะก่นด่าหรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร สำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษชายหนีคดีผู้เป็นพี่ชายของเธอแล้ว การตัดสินใจเลือกน้องสาวที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี รวมถึงการส่งคนหมดราคาอย่าง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ให้มาเป็นใหญ่ในเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี คุมตำรวจทั้งประเทศนั้น เป็นการตัดสินใจที่ “ถูกต้อง” เป็นอย่างยิ่ง

เพราะคนทั้งสองคนสามารถรับใช้และดลบันดาลให้เป้าหมายสูงสุดของ นช.ทักษิณ นั่นคือการไม่ต้องรับโทษ ไม่ต้องติดคุกและสามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้อย่างสง่าผ่าเผย

ละครน้ำเน่าที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พ.ย.54 ที่ผ่านมาด้วยการหมกเม็ดและลักไก่ผ่าน “ร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ.....” คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดถึงเป้าหมายเดียวและเป้าหมายสุดท้ายที่ทั้ง “ปูแดง” และ “เป็ดเหลิม” รับบัญชามาตั้งแต่ต้นว่ายังมิได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

เพราะขณะที่ประชาชนนับล้านๆ คนในกว่า 30 จังหวัดทนทุกข์ทรมานกับมหาอุทกภัย

เพราะขณะที่ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และแรงงานอีกจำนวนนับไม่ถ้วนพินาศฉิบหายย่อยยับไปกับสายนทีจนไม่อาจประเมินค่าได้

พวกเขายังคงมุ่งมั่นและตั้งใจปฏิบัติการช่วยพี่ชายและนายใหญ่ ชนิดที่ไม่ต้องงกๆ เงิ่นๆ รวมทั้งทำโง่ๆ เหมือนการแก้ปัญหาน้ำท่วมเลยแม้แต่น้อย

วันนี้ ความจริงที่คนไทยต้องยอมรับกันก็คือ “ฯพณฯทักษิณ ชินวัตร” กำลังจะกลับบ้านโดยไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ที่ก่อไว้ให้กับชาติบ้านเมือง แถมยังมีประชาชนคนเสื้อแดงแห่งรัฐไทยใหม่เตรียมส้มสูกลูกไม้ รวมทั้งประดับประดาธงทิวต่างๆ เอาไว้รอต้อนรับผู้นำสูงสุดของพวกเขากันอย่างเอิกเกริกอีกต่างหาก

นี่คือการท้าทายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์และคือการประกาศสงครามครั้งใหญ่ที่สุดของลัทธิแดงที่มีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

พะนะหัวเจ้าท่านทักษิณจงเจริญ
พะนะหัวเจ้าท่านทักษิณจงเจริญ

** “ปู-เหลิม”เล่นละคร ปฏิบัติการลักไก่ช่วย “แม้ว”

ถ้าจะเปรียบปฏิบัติการช่วยเหลือ นช.ทักษิณด้วยการให้ครม.ประชุมลับผ่าน พ.ร.ฎ.อภัยโทษเพื่อช่วย นช.ทักษิณ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.54 เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูดแล้ว คงต้องบอกว่า เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทั้ง “ชุ่ย เพียบพูนด้วยเล่ห์ โง่และแสนทราม” เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

เพราะแผนการทั้งหลายทั้งปวงที่วางเอาไว้ แม้จะเพียบพูนด้วยเล่ห์และแสนทรามสักเพียงใด แต่ในที่สุดก็สำแดง “ความชุ่ย” และ “ความโง่” ให้เห็นจนได้

ในครั้งแรก เหตุการณ์อันพิลึกกึกกือที่สังคมงุนงงและไม่เข้าใจชนิดทำเอาไมเกรนขึ้นสมองอย่างปัจจุบันทันด่วนก็คือ ไม่เข้าใจว่า ด้วยเหตุอันใด นายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่เดินทางไปตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยที่ จ.สิงห์บุรี พร้อมกับนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ถึงได้ตัดสินใจพักค้างอ้างแรมที่ จ.สิงห์บุรี โดยไม่เดินทางกลับกรุงเทพฯ

เพราะเหตุผลที่อ้างว่า เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์รุ่นเอ็มไอ 17 ของประเทศรัสเซีย อันเป็นพาหนะที่ใช้ในการเดินทางไม่มีเรดาร์ตรวจจับสัญญาณสำหรับการบินตอนกลางคืน ทำให้ไม่สามารถรับรองความปลอดภัยขณะเดินทางกลับในตอนกลางคืนนั้น ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลที่เลื่อนลอย

ทั้งนี้ เนื่องจากในความเป็นจริงแล้วเฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวมีสมรรถภาพเพียงพอ และมีเรดาร์สามารถบินช่วงกลางคืนได้ ที่สำคัญคือ แม้หากเรดาร์ไม่สามารถใช้การได้จริง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็สามารถประสานขอเครื่องลำอื่นไปทดแทนได้ ซึ่งกองทัพพร้อมที่จะจัดให้อยู่แล้ว ทว่า กลับไม่มีการร้องขอมา เสมือนหนึ่งมีเจตนาที่จะไม่กลับ กทม.

ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากกำหนดการที่คณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นเครื่องเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ช้ากว่ากำหนดเดิมถึงเกือบ 1 ชั่วโมง เหมือนเป็นการถ่วงเวลาให้เข้าสู่ช่วงกลางคืน แล้วอ้างเรดาร์ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ ก็ยิ่งชวนให้น่าสงสัยหนักเข้าไปอีก

ทว่า ในขณะนั้น สังคมก็ยังไม่กระจ่างชัดว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์และรองนายกฯ ยงยุทธต้องการอะไร รู้เพียงแต่ว่า คณะของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังอยากอยู่ที่ จ.สิงห์บุรีต่อ ไม่เช่นนั้นคงไม่มอบหมายให้ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 สวมหัวโขน “ผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรี” นั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นในวันที่ 15 พ.ย.54 แทน

จากนั้นสังคมก็เริ่มผิดสังเกตเป็นครั้งที่สองตามมาในเช้าวันรุ่งขึ้น (15 พ.ย.) เพราะทันทีที่คณะของนายกฯ และสื่อมวลชนเดินทางมาถึงกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2 รอ.) ทุกคนในคณะต่างสวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนข้อความและตราสัญลักษณ์ของสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยสีน้ำเงินชัดเจน แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมความพร้อมที่จะให้คณะพักค้างคืนที่ จ.สิงห์บุรี ไว้แล้ว

และที่เด็ดที่สุดก็คือ หลังจากน.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางมาถึง พล ม.2 รอ.ในเวลา 11.00 น.และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนประมาณ 20 นาที ก็ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังคงประชุมอยู่ แต่ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับไม่เข้าร่วมประชุม แต่ใช้เวลาช่วงดังกล่าวบันทึกเทปสัมภาษณ์พิเศษโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ก่อนเดินทางเข้าร่วมประชุมอาเซียน จนล่วงเลยไปถึงเวลา 14.20 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงได้เดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐสภา

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายสังคมก็ได้ถึงบางอ้อว่า ทำไมนายกฯ ยิ่งลักษณ์ถึงไม่เข้าประชุม ครม. เพราะในความเป็นจริงแล้วเธอรับรู้มาตั้งแต่ต้นว่า การประชุม ครม.วันที่ 15 พ.ย.นั้น จะมีปฏิบัติการลับสุดยอดเพื่อช่วยเหลือพี่ชายของตนเอง และเธอก็ได้รับคำสั่งไม่ให้เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ เพื่อดึงความสนใจของสังคมให้ไปอยู่ที่ภารกิจของนายกฯ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ “ร.ต.อ.เฉลิม” ที่นักโทษชายหนีคดีวางตัวเอาไว้ทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ เนื่องจากรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 คือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็ติดราชการอยู่ที่การประชุมเอเปกเช่นกัน ด้วยเชื่อมั่นว่า ความเก๋าทางการเมือง และการมีวาจาเป็นอาวุธจะสามารถรับหน้าเสื่อจากแรงกดดันของสังคมแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายยงยุทธที่ไร้เดียงสาและอ่อนหัดเกินกว่าจะมานั่งตอบคำถามเรื่องหนักๆ แบบนี้ได้

ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นการตัดตอนไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อหวังหลีกเลี่ยงข้อครหาจากสังคมว่า นายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้พี่ชายของตัวเองและอาจมีความผิดได้

แน่นอน เป็ดเหลิมย่อมไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อประกาศต่อผู้สื่อข่าวที่พยายามซักถามว่า “ไม่พูด ไม่คุย ไม่ต้องมาถามแล้วก็ไมต้องมาหาด้วย” ตามต่อด้วยการโชว์เหนือในวันถัดมา (16 พ.ย.) ว่า “เรื่องดังกล่าวเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ และไม่ใช่อำนาจของคณะรัฐมนตรีเพียงอย่างเดียว จึงทำให้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ผมยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้จะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อหลักกฎหมาย ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรมที่จะต้อง ตั้งคณะกรรมการไม่ต่ำกว่า 20 คน โดยที่ไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกแซงการทำงานได้ และคณะกรรมการชุดนี้จะมาศึกษาข้อกฎหมาย หลักเกณฑ์ของผู้ที่มีสิทธิได้รับการอภัยโทษ”

ที่สำคัญคือ เป็ดเหลิมฉลาดสมกับหน้าที่ที่ได้รับเมื่อไม่ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้ประโยชน์โดยไม่ต้องรับโทษหรือไม่ รวมทั้งไม่ตอบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใน พ.ร.ฏ.การขอพระราชทานอภัยโทษของปี 2553 ที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้ร่างไว้

        แต่กลับฝากไปถึงรัฐมนตรีบางคนออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ทั้งๆ ที่เป็นความลับว่า “ผมถือว่าไม่มีสปิริตที่เก็บความลับไม่อยู่ แต่รู้ตัวแล้วว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่ได้มีการติติงอะไร และไม่ได้มีมาตรการใดต่อเรื่องนี้”

ทว่า เรื่องใหญ่ๆ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกก่นด่าเยี่ยงนี้ มีหรือที่นักเลงบางบอนจะทำให้ฟรีๆ ดังนั้น จึงเชื่อว่างานนี้ นักเลงบางบอนคงจะหัวร่อหัวใคร่อย่างอารมณ์ดีกับถุงขนมที่ได้รับไปอีกนาน เพียงแต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ดีใจอย่างออกนอกหน้าในช่วงแรกช่วงนี้ไปก่อนเท่านั้น

และเมื่อความแตก นายกฯ หนูไม่รู้ ที่คอยแต่จะจ้องหนีผู้สื่อข่าว แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอดก็ทำหน้างงๆ พร้อมให้สัมภาษณ์เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาว่า “ไม่รู้รายละเอียด เพราะไม่ได้เข้าร่วมประชุม และขอให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงเป็นผู้ชี้แจง”

พระเจ้าช่วยกล้วยทอด เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ใครจะไปเชื่อว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยไม่รู้เรื่อง

ขณะที่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลคนอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่บื้อใบ้รับประทานไม่ต่างกัน
 

**หลักฐานชัด มุ่งช่วย “พี่แม้ว”


ทั้งนี้ ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไรว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ......นั้น มิได้ต้องการช่วยเหลือนักโทษชายทักษิณให้พ้นความผิด เพราะเมื่อพิจารณาจากเนื้อหาสาระและรายละเอียดแล้ว จะเห็นชัดเจนว่า มุ่งเน้นที่จะช่วยเหลือ นช.ทักษิณเป็นสำคัญ มิฉะนั้นคงไม่มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวมทั้งเสนอเข้ามาในวาระจร เป็นการประชุมลับ พร้อมทั้งเชิญเจ้าหน้าที่ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกทั้งหมด เหลือเพียงคณะรัฐมนตรีเท่านั้น รวมทั้งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเนื้อหาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และยังมีการดึงเอกสารออก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ตามระบบปกติอีกด้วย

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่สุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม อยู่ตรงที่การกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับ “คุณสมบัติของนักโทษ” ที่จะเข้าข่ายในการเข้ารับพระราชทานอภัยโทษ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 

       กล่าวคือคุณสมบัติของนักโทษที่เข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว คือ เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี นอกจากนั้นยังมีการตัดคำแนบท้ายของ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ. 2553 ฉบับที่เขียนสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเนื้อหาระบุว่า ผู้คนที่เข้าข่ายได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด และไม่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันออก ทั้งยังไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับการรับโทษ ซึ่งเท่ากับว่า นช.ทักษิณเข้าข่ายได้รับการขอพระราชทานอภัยโทษไปโดยปริยาย

“การแฝงประโยชน์ของพวกตัวเองเข้าไปในเรื่องประโยชน์ของประชาชนทั่วไป ที่จะได้อภัยโทษ ถือเป็นเรื่องน่าเกลียด แถมยังทำเป็นประชุมลับ ยิ่งแสดงว่ามีวาระซ่อนเร้น ส่วนที่นายกฯ เลี่ยงไม่เข้าประชุม ครม.ก็เพราะมีส่วนได้เสียโดยตรง”นายวันชัย สอนศิริ กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา อดีตเลขาธิการสภาทนายความ ให้ความเห็น

หรือดังที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้ความเห็นว่า การออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษครั้งนี้ของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ถือเป็นเรื่องที่เลวทรามมาก เพราะเห็นได้ชัดว่ามุ่งที่จะเอื้อประโยชน์ให้คนคนเดียว ทั้งนี้ เนื่องจากถ้าเจตนารมณ์ในการออกฎหมายดังกล่าว ต้องการจะทำเรื่องการพระราชทานอภัยโทษในวาระพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา เนื่องในวโรกาส 5 ธันวาคม 2554 ก็จะต้องไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อให้ประโยชน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และจะถือว่าเป็นการจงรักภักดีอย่างแท้จริง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน “อภัยโทษทักษิณ ชินวัตร สนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศพร้อมรบ หน้า 7)

แน่นอน การออกร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.....ไม่ได้ทำเพื่อ นช.ทักษิณเพียงคนเดียวตามที่ผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีเฉลิมกล่าวอ้าง หรือตามที่ผู้คนในระบอบทักษิณหาคำแก้ตัวได้อย่างเป็นคุ้งเป็นแคว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า เป็นกฎหมายที่ นช.ทักษิณได้รับคุณูปการสูงสุดโดยมีผู้ได้รับโทษอีก 2.6 หมื่นคนเป็นฉากบังหน้าเพื่อความชอบธรรม

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมจะต้องจับตามองกันต่อไปก็คือ นช.ทักษิณจะเลือกวิธีไหนในการเดินทางกลับประเทศไทย ยอมรับโทษและยอมติดคุกในช่วงระยะสั้นๆ เพื่อรอให้พระราชทานอภัยโทษ หรือหักดิบด้วยการกลับเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยโดยไม่ยอมอยู่ในคุกเลยแม้แต่วันเดียว

**ลัทธิแดงประกาศสงคราม บีบในหลวงลงพระปรมาภิไธย

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่สุดอีกคำถามหนึ่งที่ตามมาก็คือ ทำไมนักโทษชายหนีคดีจึงกล้าตัดสินใจลงมือปฏิบัติการในห้วงเวลาที่รัฐบาลของน้องสาวกำลังตกต่ำถึงขีดสุดจากผลงานความผิดในการบริหารจัดการน้ำที่ฉุดให้คะแนนนิยมต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปทุกวัน

นักโทษชายหนีคดีทนรอไม่ไหวอีกต่อไป

หรือนักโทษชายหนีคดีต้องการกลับมาบริหารราชการแผ่นดินแทนน้องสาวที่สุดจะอุ้มให้ตลอดรอดฝั่งได้อีก

หรือนักโทษชายหนีคดีต้องการที่จะแตกหักกับ “อำมาตย์”

      ความจริง ถ้าย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หากแต่มีการวางหมากและเตรียมแผนปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีก็มีเจตจำนงอย่างต่อเนื่องที่จะผลักดันเรื่องการพระราชทานอภัยโทษมาโดยตลอด

กล่าวคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีในเรื่องการออกกฎหมายอภัยโทษ ซึ่งเวลานั้นถูกวิจารณ์ว่า จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ นช.ทักษิณ จากการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้

ขณะที่ทางด้านกระทรวงยุติธรรม ก็ได้มีการโยกย้ายอธิบดีกรมราชทัณฑ์ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน พร้อมกับยังมีการปรับปรุงโรงเรียนพลตำรวจบางเขน ให้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษในคดีการเมือง เพื่อเตรียมใช้เป็นสถานที่คุมขัง นช.ทักษิณที่เตรียมเดินทางกลับไทยในระยะสั้นๆ อีกด้วย

เชื่อว่า หลายคนยังคงจำกันได้กับปฏิบัติการตะแบงของผู้สำเร็จราชการฯ เฉลิมที่งัดข้อกฎหมาย(ของกูเอง) ออกมาแจกจ่ายพร้อมทั้งให้สัมภาษณ์ตอกย้ำคัดง้างกับทุกข้อคัดค้าน โดยยืนยันว่า นักโทษหนีคดีก็สามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้

รวมกระทั่งถึงจำการเด้งรับของ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ประกาศตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาข้อกฎหมายและรายละเอียดในการดำเนินงานเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษได้เป็นอย่างดี และจำรายชื่อคณะกรรมการที่ล้วนแล้วแต่ใกล้ชิดกับระบอบทักษิณเป็นอย่างดี ทั้ง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดี ม.รามคำแหง นายจุมพล ณ สงขลา อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือนายธงทอง จันทรางศุ ที่ล่าสุดเพิ่งได้รับการปูนบำเหน็จเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

เพียงแต่แผนการดังกล่าวมีอันต้องหยุดชะงักไปเนื่องจากติดปัญหาเรื่องมหาอุทกภัย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่อาจเพิกเฉยและตั้งหน้าตั้งตาช่วย นช.ทักษิณตามภารกิจหลักที่ได้รับมอบหมายได้

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ต้องเร่งมือ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะรัฐบาลยังต้องการอาศัยช่วงชุลมุนที่พรรคฝ่ายค้านและประชาชนยังให้ความสนใจเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในการเดินหน้าเรื่องดังกล่าว รวมทั้งเห็นว่าหากรอให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ การเดินเรื่องขออภัยโทษให้ นช.ทักษิณจะกระชั้นชิดเกินไป และอาจไม่สำเร็จ เนื่องจากใกล้วันที่ 5 ธ.ค.ทุกที

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า สาเหตุของการเร่งรีบครั้งนี้เพราะ นช.ทักษิณต้องการปิดเกม โดยมิได้สนใจหรือใส่ใจว่าจะก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือบีบบังคับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร

เพราะต้องไม่ลืมว่า โดยขั้นตอนของกฎหมายนั้น หากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นชอบก็จะส่งกลับมาให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำความขึ้นกราบบังคมทูล ซึ่งก็จะผ่านขั้นตอนขององคมนตรี ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงลงพระปรมาภิไธย

ดังเช่นที่ขุนพลคู่ใจฝ่ายเหนือที่ปัจจุบันได้รับการปูนบำเหน็จเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” ที่อ้างว่า “ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะผู้ได้รับการพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้มีถึง 2.6 หมื่นคน ผมไม่รู้ว่ารวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ และขั้นตอนสุดท้ายขึ้นอยู่กับพระราชอำนาจว่าจะพระราชทานอภัยโทษให้หรือไม่” ซึ่งเป็นการชี้เป้าให้มวลชนคนเสื้อแดงตระหนักว่า ผู้ที่จะทำให้นายใหญ่หลุดคดีได้หรือไม่นั้น เป็นใคร

              เช่นเดียวกับนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ที่พูดไปในท่วงทำนองเดียวกันว่า “เรื่องนี้เป็นเพียงการเสนอความเห็นของ ครม. และขึ้นอยู่กับพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปีนี้เป็นปีมหามงคล รัฐบาลก็คิดที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความปลอดโปร่ง สามัคคีปรองดอง พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน และก็เคยทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ”

และเพื่อสร้างความชอบธรรม รวมถึงสร้างภาพว่า มีผู้ให้การสนับสนุนการพระราชทานอภัยโทษให้กับ นช.ทักษิณ ก็ย่อมจำเป็นที่จะต้องนำ “ม็อบจัดตั้ง” ออกมาปะทะในด่านหน้า ซึ่งงานนี้ก็ได้ขุนพลฝ่ายอีสานอย่าง “นายขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดร ตระเตรียมเอาไว้หมดแล้ว

“เราอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน 5 ปีที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณถูกกลั่นแกล้งจนต้องเดินทางไปต่างประเทศ ถ้ากลุ่มอำมาตย์หน้าแหลมฟันดำยังไม่หยุด เอาม็อบออกมาค้าน ปัญหาก็ไม่จบ โดยกลุ่มของผม 20 จังหวัดจะออกมาปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณแน่นอน โดยคาดว่าจะระดมคนได้จังหวัดละ 1 หมื่นคน รวม 2 แสนคน”นายขวัญชัยประกาศกร้าว
       

 ชัดเสียยิ่งกว่าชัด จนไม่ต้องอธิบายความใดๆ เพิ่มเติมว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณทุ่มสรรพกำลังครั้งสำคัญเพื่อนำพา นช.ทักษิณกลับบ้าน ในขณะที่ประชาชนที่ประสบอุทกภัยจำนวนมากยังคงเป็นผู้อพยพและไม่สามารถกลับถิ่นฐานบ้านช่องของตนเองได้

นี่หรือคือรัฐบาลที่อ้างว่ามี 15 ล้านเสียงจากประชาชนให้การสนับสนุน

ดังนั้น จึงไม่แปลกใจอะไรที่สังคมจะเข้าใจว่า การกระทำเยี่ยงนี้ถือเป็นการกดดันสถาบันเบื้องสูงและบีบบังคับให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธย ซึ่งท้าทายพสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดีทั้งประเทศ        
กำลังโหลดความคิดเห็น